ภาคอวสาน ตอนที่ 7 จอมเวท (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ที่นี่ก็คือตำหนักราชันสวรรค์บนยอดเขาคุนหลุนแล้ว ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาเทพเฝ้าอารักษ์  

 

 

เสวียนจีก้าวเข้าไปสองก้าว ก็รู้สึกดอกไม้ประหลาดน่าหลงใหลตรงหน้าทำเอาตาลายไปหมด ไม่รู้ควรไปทางไหนดี หลิ่วอี้ฮวนดึงแขนเสื้อนาง ยกนิ้วมือชี้ไปยังท้องฟ้าไกล กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เห็นตรงนั้นไหม” 

 

 

เสวียนจีเงยหน้ามองไป ก็เห็นแสงทะลุก้อนเมฆ ไกลออกไปกลางท้องฟ้ามีตำหนักงดงามอลังการลอยอยู่ไหวๆ ในใจบอกไม่ถูก มิน่ามกรบอกว่าทิวทัศน์ใต้หล้าไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง จริงที่ทิวทัศน์ใดในโลกมนุษย์มาถึงที่นี่ก็ล้วนเป็นแค่กระเบื้องกระจอกๆ เศษไม้เน่าๆ 

 

 

“พวกเราไปทางนั้น หากราชันสวรรค์มาชมเขาคุนหลุน ย่อมต้องพำนักที่นี่”  

 

 

แม้ว่าหลิ่วอี้ฮวนกล่าวเช่นนี้ แต่ตำหนักลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไป ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเส้นทางใดจะไปถึง ทั้งสองเดินไประยะหนึ่ง ตำหนักนั่นยังคงลอยอยู่ไกลๆ มองเห็นแต่ไปไม่ถึง 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนนิ่งเงียบกล่าวว่า “ครั้งก่อนข้ามาไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ ตามหลักเดินมาระยะหนึ่ง ก็ควรได้เห็นทางขึ้นไปแล้ว ในตำหนักมีบันไดตรงขึ้นแดนสวรรค์ แปลกมาก ข้าไม่ได้มาผิดทางนี่…” 

 

 

เขาวนรอบเป็นนานก็หาทางไม่เจอ เริ่มร้อนใจราวกับแมลงวันไร้หัวแล้ว เห็นที่สูงก็ปีนขึ้นไป สุดท้ายปีนได้แต่เนิน มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้หลากหลายเต็มไปหมด เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงกับบอกไม่ถูกว่าสีอะไร รู้สึกเพียงแค่สีสันหลากหลายงดงามทำเอาคนมองจนตาลายไปหมด 

 

 

ชายขอบต้นไม้ดอกไม้พวกนี้เป็นทะเลสาบใหญ่สีครามมรกตใสแจ๋ว ริมทะเลสาบเหมือนมีภูเขาสูงตระหง่าน ยอดเขางดงาม ลมพัดมาจากทะเลสาบผืนกว้างแผ่วพลิ้วพาเอากลิ่นหอมหวานอ่อนๆ มาด้วย ทำเอาจิตใจทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย 

 

 

ทั้งสองได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้เป็นครั้งแรก พลันตัดใจละสายตาจากไปไม่ได้  

 

 

เสวียนจีอดก้าวเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวไม่ได้ ยกมือไปลูบดอกไม้งดงามที่ราวกับไม่ใช่ของจริงตรงหน้าเหล่านั้น ในใจอยู่ๆ ก็ตกใจ ราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก มีบางสิ่ง…ไม่ไกลจากตรงหน้านัก! 

 

 

“เสวียนจี?” หลิ่วอี้ฮวนเห็นสีหน้านางไม่ถูกต้อง อดเอ่ยถามไม่ได้ 

 

 

เสวียนจีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้า…ข้าราวกับรู้สึกถึงมกร! เขาอยู่แถวนี้” 

 

 

มกรเป็นสัตว์ภูตของนาง ตอนอยู่ข้างกายไม่รู้สึก พอจากไป นางก็รู้สึกว่าราวกับขาดของสำคัญไปอย่างหนึ่ง ตอนนี้มีความรู้สึกเคยคุ้นเข้าโจมตีจิตใจ นอกจากมกรแล้วไม่มีสอง ต้องเป็นเขา! นี่คือการรับรู้พิเศษระหว่างสัตว์ภูตกับเจ้านาย ไม่อาจบอกกล่าวผู้ใดให้รับรู้สัมผัสได้ 

 

 

“อยู่…อยู่นั่น” เสวียนจีชี้ไปทางหนึ่ง ก่อนจะยกเท้ารีบวิ่งไปทันที หลิ่วอี้ฮวนร้องเรียกนางหลายที นางก็ไม่สนก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ตามไป  

 

 

ทั้งสองวิ่งทะยานมาทางชายขอบแนวต้นไม้ วนรอบทะเลสาบรอบใหญ่ พลันเห็นท้องฟ้าผืนกว้างเบื้องหน้ามีสัตว์มีขนปุกปุยตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังใช้พลั่วตักดินที่พื้น พอทั้งสองเห็นสัตว์ประหลาดนั่นก็รีบหยุดชะงักทันที 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนมองสัตว์ประหลาดนั่น สูงราวคนสามคนต่อตัวกัน แม้ว่ามีร่างมนุษย์ แต่ทั้งตัวมีแต่ขนสีเหลืองดำสลับ ตรงเอวยังมีกระโปรงผ้าดูไม่เข้าที มองจากด้านหลัง ศีรษะสัตว์ประหลาดนี้ใหญ่ราวกับกระบวย ไม่เหมือนมนุษย์ แต่เหมือนสัตว์ประหลาด เขาอดไม่ได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไอ้นี้มัน…เกรงว่าไม่ใช่ของดี ระวังหน่อย” 

 

 

วาจาเพิ่งกล่าวจบก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ หนักๆ กล่าวว่า “เจ้าหนุ่มมาจากไหน กล้ามาดูแคลนเซียนลู่อู๋[1]!” 

 

 

ทั้งสองตกใจสะดุ้งโหยง เห็นเพียงสัตว์ประหลาดนั่นโยนพลั่วทิ้ง หันหน้ามา ดังคาด ร่างเป็นมนุษย์ แต่ว่าหัวกลับเป็นพยัคฆ์ ยามนี้ดวงตาบนศีรษะทั้งสองส่องแสงสีทองวิบวับจ้องมองเขาสองคนเขม็ง ฟันคมวาววับเผยท่าทางดุร้าย 

 

 

“ใคร? ใครกล้าบังอาจ กล้าวิ่งไปมาบนเขาคุนหลุน!” ลู่อู๋ถามเสียงดุดัน 

 

 

“มารปีศาจเสือ!” เสวียนจีตกใจยิ่ง เสือก็เป็นมารปีศาจได้ ถึงกับยังเป็นเซียนในเขาคุนหลุน! 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง กระซิบข้างหูนางเสียงแผ่วว่า “นี่ไม่ใช่มารปีศาจเสือ เขาชื่อลู่อู๋ เป็นเซียนดูแลอุทยานปลูกดอกไม้ให้ราชันสวรรค์โดยเฉพาะ” 

 

 

เห็นว่าวาจาเสวียนจีที่เรียกมารปีศาจเสือทำลายศักดิ์ศรีเซียนสูงส่งท่านนี้จนเขากัดฟันกรอด ทำท่าเหมือนกำลังจะเข้ามาลงมือ หลิ่วอี้ฮวนรีบยิ้มเอาใจกล่าวว่า “ที่แท้คือท่านเซียนลู่อู๋ชื่อเสียงโด่งดัง! พวกเรามีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดอภัย! ข้าก็ว่าทำไมเมื่อครู่เห็นที่นี่มีกลิ่นอายมงคลพันกระแส แสงมงคลหมื่นสาย ที่แท้เป็นท่านเซียนกำลังบำเพ็ญอยู่ที่นี่” 

 

 

ภาษิตว่า พลังหมื่นพันวาจาใดก็ไม่อาจสู้พลังยกยอปอปั้นได้ อะไรกลิ่นอายมงคลแสงมงคล พวกเขาไม่ได้เห็นอะไรผายลมพวกนั้นหรอก แต่คนเราย่อมต้องยกยอให้ยิ่งสูง นับประสาอันใดกับเซียนที่ไม่ประสีประสาทางโลก ลู่อู๋ถูกเขายกยอจนอยู่ๆ ก็แย้มยิ้มพึงใจ แยกเขี้ยวยิงฟันหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “พวกเจ้าสายตาดีจริง! เป็นเซียนน้อยที่เพิ่งสำเร็จผลกระมัง อืม ระยะนี้ไม่ค่อยได้เห็นเซียนน้อยที่มีอนาคตเช่นพวกเจ้าเลย!” 

 

 

ทั้งสองพากันพยักหน้าหงึกๆ หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอีกว่า “พวกเราได้มาพบกับท่านเซียนบำเพ็ญเพียรโดยไม่ตั้งใจ เพียงแต่ว่ามาเขาคุนหลุนครั้งแรก ทิวทัศน์เทพเซียนงดงาม พวกเรามองจนตาลายเลยหลงทาง…” 

 

 

ลู่อู๋ทำท่าทางเหมือนว่า “ข้าเข้าใจยิ่ง” โบกมือกล่าวว่า “ปกติมาก! ความงามเขาคุนหลุนมากมายนัก! เมื่อก่อนพวกเจ้าเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ ได้มาเห็นครั้งแรกย่อมตกตะลึงเป็นธรรมดา วันนี้ได้มาพบข้า ก็ย่อมเป็นวาสนาพวกเจ้า ข้าชี้ทางให้พวกเจ้าแล้วกัน” 

 

 

เขาชี้นิ้วมือกลับไปด้านหลัง “ตามทะเลสาบนี้ไปทางใต้ ข้ามสะพานไปก็จะเห็นเส้นทางไปตำหนักเสินกง พวกเจ้ามาใหม่อย่าได้ไปสาย รีบไปลงชื่อในสมุดรายชื่อ” 

 

 

ทั้งสองคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นเช่นนี้ ลู่อู๋ไม่เพียงไม่รู้สถานะพวกเขา กลับยังชี้ทางให้พวกเขาอีก หลิ่วอี้ฮวนรีบกล่าววาจางามต่ออีกยกใหญ่ แทบจะยกยอเขาจนไม่รู้จะขุดอะไรมายกยออีกแล้ว เซียนลู่อู๋ท่านนี้เห็นชัดว่านิยมชมชอบวาจายกยอ หลิ่วอี้ฮวนปากหวาน ยกยอจนเขาตัวแทบลอย ปากยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว 

 

 

กว่าจะกล่าววาจายกยอชุดใหญ่จบได้ หลิ่วอี้ฮวนก็ลากแขนเสื้อเสวียนจี ทั้งสองกำลังคิดหันหลังหลบออกไปเงียบๆ พลันได้ยินลู่อู๋ด้านหลังกล่าวว่า “ไม่ใช่สิ! พวกเจ้าอย่าเพิ่งไป! ข้าได้ยินไป๋ตี้ว่าระยะนี้มีเซียนบำเพ็ญสำเร็จขึ้นแดนสวรรค์ พวกเจ้าเป็นเซียนสำเร็จผลจริงหรือ” 

 

 

ทั้งสองอยู่ๆ พลันนิ่งตัวแข็งค้าง ลู่อู๋เดินมา ก้มหน้าดมเขาทั้งสองคน ก็ยิ่งแปลกใจ “พวกเจ้าไม่มีกลิ่นอายเซียนเลย มีแต่กลิ่นมนุษย์ธรรมดา! มนุษย์ธรรมดาบุกมาเขาคุนหลุนมีความผิดมหันต์! พวกเจ้ารีบรายงานตัวมา ตามข้าไปเฝ้าไป๋ตี้!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนร้องแย่แล้วในใจ เจ้าลู่อู๋ควรตายนี่ ได้ฟังวาจายกยอไปถึงกับไม่ได้ฟังจนลืมตัว เขาคงดูแคลนเทพเซียนเกินไป 

 

 

ลู่อู๋เห็นเขาสองคนเป็นนานไม่กล่าวอันใดก็ยิ่งสงสัยหนัก ดวงตาสีทองก็เผยความดุดันออกมา กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “หากพวกเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่บุกรุกเขาคุนหลุน ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า ต้องจับพวกเจ้าไว้แล้ว!” 

 

 

กล่าวจบก็ยกกรงเล็บแหลมคมขึ้นแผ่กลิ่นไอสังหารขึ้นทันที 

 

 

  

 

 

***** 

 

 

มังกรเขียว ‘เริงเล่นน้ำยั่วยวน’ ของนางต่อ เสียงฆ้องปากแตกถึงกับเริ่มครวญเพลงขึ้นอีกครั้ง มกรรู้สึกเพียงแค่ปวดหัวตุบๆ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หันกลับไปเห็นหงส์แดงจูเชวี่ย จึงได้รู้ว่าสหายร่วมทุกข์ท่านนี้ได้ใช้ผ้าอุดหูหลับตาหลับไปแล้ว 

 

 

เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก! มกรแอบด่าในใจ หงส์แดงจูเชวี่ยไม่มีน้ำใจดังคาด ถึงกับไม่เตือนเขาสักหน่อย เขารีบฉีกแขนเสื้อลนลานอุดหู อยู่ๆ ใจก็เต้นแรง พริบตาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นของเสวียนจี 

 

 

นางมาแล้ว?! มกรตะลึงหยุดนิ่งกับที่ ในใจทั้งดีใจแทบคลั่ง ทั้งโมโหแทบปะทุ ไม่รู้รสชาติใดกันแน่ เสียงเพลงปวดขมับของมังกรเขียวราวกับไม่ส่งผลต่อเขาอีกแล้ว 

 

 

ในฐานะสัตว์ภูต เพราะห่างเจ้านายปกป้อง ดังนั้นพลังจึงอ่อนกำลังลง แต่ตอนนี้นางมาแล้ว และยังอยู่ใกล้ๆ! มกรรู้สึกเพียงแค่พลังเทพในร่างกายที่แห้งเหือดไปเริ่มฟื้นคืนมาราวกับน้ำพุ! เขาถึงกับไม่สนใจอันใด โดดออกจากห่างมังกรเขียวพุ่งไปริมทะเลสาบ มองหน้าลงส่องในทะเลสาบ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องดังของมังกรเขียวด้วยความโมโห 

 

 

ผมสีแดงหม่นของเขาเริ่มกลับคืนเป็นสีเงินยวงอีกครั้ง! พลังเขากลับคืนมาแล้วจริงๆ! 

 

 

มกรโลดเต้นดีใจ กระโดดหันหลังไปหาเสวียนจีทันที พลันได้ยินเสียงลมดังมาด้านหลัง เขารีบหลบ ผู้ใดจะรู้ว่าที่พุ่งมาไม่ใช่อาวุธลับ แต่เป็นระลอกน้ำฟาดท้ายทอยเขาเปียกโชกทันที มังกรเขียวด้านหลังสาดน้ำใส่เต็มแรง ตามมาด้วยแผดเสียงราวฆ้องปากแตกดังลั่น “ปีศาจบ้ากาม! โจรราคะ! ไปตายเสีย!” 

 

 

ไม่กี่ทีร่างเขาก็เปียกปอน มกรหันกลับไปมองอย่างอดกลั้นเต็มทน โมโหคำรามว่า “เจ้าหน้าตาน่าปวดใจเช่นนี้ ผู้ใดอยากมองเจ้า! เก็บแรงไว้เหอะ! ขอร้องข้า ข้าก็ไม่มอง!” 

 

 

น้ำเสียงพลันหยุดชะงัก เขาถลึงตาจ้องมองไปยัง ‘คนงาม’ ในน้ำ ตาแทบถลนหลุดออกมา 

 

 

สตรีที่ยองตัวอยู่ในน้ำท่าทางเขินอาย ผิวกายผ่องราวหิมะ ตาหงส์เรียวยาวเย้ายวนดึงดูดใจ ชุดเขียวบางแนบร่างนางชั้นหนึ่ง แม้ว่าร่างผอมบางไปสักหน่อย แต่ก็นับว่าอรชรอ้อนแอ้น 

 

 

สาวงามตัวจริง และเป็นสาวงามมากๆ ทั้งหวานหยดและมีเสน่ห์ ไม่แพ้เสือขาวสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนสวรรค์ในตำนานเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ว่ากันว่ามังกรเขียวกับเสือขาวเป็นสาวคนละขั้วมาตลอด สี่สัตว์เทพมีสองสตรี เสือขาวงดงามน่าตะลึง มังกรเขียวอัปลักษณ์น่าตะลึง มังกรเขียวแอบมองเสือขาวเป็นคู่ต่อสู้มานานหลายปีแล้ว แต่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ไหวจริงๆ อย่าว่าแต่เซียนหนุ่มไม่อยากเข้าใกล้นาง แม้แต่เซียนหญิงก็ขี้เกียจเสวนากับนาง ดังนั้นหลายปีมานี้ นางจึงแพ้ให้เสือขาวมาตลอด 

 

 

มังกรเขียวเห็นมกรเอาแต่มองตนเองด้วยสายตาราวฟ้าถล่มดินทะลาย ก็เสียงอ่อนยวบถามว่า “อาบ…อาบสะอาดแล้ว งดงามไหม เจ้าว่า…มังกรอิงหลงเห็นข้าจะเป็นลมไหม” 

 

 

น้ำเสียงฆ้องปากแตกก็คือมังกรเขียวคนเดิม มกรรีบขยี้ตาเต็มแรงมองอีกที ยังคงเป็นสาวงาม 

 

 

เสียงกร๊อบดังขึ้น คางเขาหลุดลงไปกองที่พื้นแล้ว มองจนราวเห็นผี พลิกฝ่ามือไปผลักหงส์แดงจูเชวี่ย พลางร้องตะโกนหวาดกลัว “นี่! เจ้ารีบตื่นเร็ว! เห็นผีเข้าแล้ว!” 

 

 

หงส์แดงจูเชวี่ยตื่นขึ้นมาก็กระโดดตัวลอย เสียงดังกล่าวว่า “ผีโขมดอะไรที่ไหน? กล้ามาบังอาจที่เขาคุนหลุน?!” 

 

 

มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไร เขามองมกรแปลกใจ “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ” 

 

 

มกรบุ้ยใบ้ไปทางมังกรเขียว หงส์แดงจูเชวี่ยพลันหันกลับไป ยามนั้นมังกรเขียวสวมเสื้อคลุมตัวนอกเดินขึ้นฝั่งมาแล้วด้วยท่าทางเอียงอาย เท้าเปล่าสีขาวราวหิมะเหยียบลงพื้น เหมือนดอกบัวบานสองดอก เสียง ตึง ดังขึ้น กระบี่หงส์แดงจูเชวี่ยร่วงลงพื้น เขาเป็นคนซื่อ หันกลับไปเอาหัวโขกต้นไม้ พึมพำกล่าวว่า “ข้ายังไม่ตื่นดี!” 

 

 

โขกจนต้นไม้ยุบลงไป เขาจึงได้วางใจหันกลับไปอีก พอเห็นดวงตาเรียวหงส์เย้ายวนของมังกรเขียวคู่นั้น เขาตกใจจนผมบนหัวชี้โด่ 

 

 

“เห็นผีแล้วจริงด้วย…” หงส์แดงจูเชวี่ยพึมพำ 

 

 

มังกรเขียวปัดผมออก ใบหน้างดงามยิงฟันยิ้มถามว่า “งดงามไหม” 

 

 

มกรกับหงส์แดงจูเชวี่ยไม่อาจไม่พยักหน้า สาวงามแท้ๆ กลับทำร้ายตนเองเช่นนั้นได้ เป็นเรื่องอัศจรรย์จริง 

 

 

มังกรเขียวได้ใจยิ้มกล่าวว่า “ทีนี้มังกรอิงหลงเห็นข้าน่าจะไม่หนีแล้วกระมัง” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ พลันรู้สึกได้ถึงพลังปีกเพลิงบนหลังของมกรเปล่งรัศมีม้วนรัดนางกับหงส์แดงจูเชวี่ยติดกัน 

 

 

มกรลูบคางหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เจ้านี่มันอะไรกัน พลังข้าฟื้นคืนมาแล้ว จึงเรียกว่าเห็นผีของจริง ตามข้าไปละกัน ไปดูว่านังหนูนั่นแท้จริงกำลังทำอะไรอยู่” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] สัตว์เทพในตำนานประจำเขาคุนหลุน หน้าเป็นคน อุ้งเท้าและลำตัวเป็นเสือ มีเก้าหาง รับใช้ราชันสวรรค์