บทที่ 134 ผมขอยอมรับผิดกับคุณ(2)
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนั้น?
เหมยผิงรู้สึกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเย่เฉินอย่างแน่นอน เขาจึงไม่คำนึงถึงเกียรติอีกต่อไป และคุกเข่าต่อหน้าสาธารณชน
เซียวชูหรันที่ไม่รู้รายละเอียดที่เขาคุยโทรศัพท์กัน อดสงสัยไม่ได้จึงถามว่า “เหมยผิง บริษัทคุณก็ปกติดีไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างที่บริษัทคุณล้มละลายมันเกี่ยวอะไรกับเย่เฉินเหรอ? ”
เหมยผิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวว่า “ พี่หรัน เมื่อกี้ผมทำให้คุณขุ่นเคืองใจ ผมขอโทษคุณ ตอนนี้บริษัทโทรมาบอกว่าลูกค้ายกเลิกสัญญา การร่วมลงทุนถูกยกเลิก ธนาคารเร่งรัดหนี้สิน ผมจบแล้ว … ขอร้องคุณช่วยพูดดี ๆ ต่อหน้า ท่านเย่สักคำได้ไหม ไม่งั้นผมไม่มีทางรอดจริง ๆแล้ว ”
เซียวชูหรันตะลึงไปชั่วขณะ แล้วกล่าวว่า “ฉันคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว เย่เฉินไม่มีอำนาจขนาดนั้น”
เย่เฉินก็กล่าวด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “เหมยผิง ในโลกนี้ทุกสิ่งล้วนมีผลแห่งกรรม คุณมาขอร้องผมก็ไม่มีประโยชน์ คุณกลับไปคิดไตร่ตรองเอาเองแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ ก็พาเซียวชูหรันขึ้นรถไป
หลังจากที่เย่เฉินขับรถออกไปแล้ว เหมยผิงก็ยังคุกเข่าอย่างมึนงงอยู่ที่ริมถนน
ผู้คนรอบข้างยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ ทุกคนมองเขาด้วยความประหลาดใจ และพูดกระซิบต่อเนื่อง
แต่เหมยผิงไม่สามารถสนใจอะไรได้อีกต่อไป
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาผู้ที่ประสบความสำเร็จจะกลายเป็นขอทานข้างถนน!
ไม่ ยิ่งกว่าขอทานเสียอีก!
ไม่เพียงแต่เขาไม่มีเงิน ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาหลายร้อยล้าน!
โทรศัพท์ยังคงดังอยู่ ได้ยินเสียงลุกลี้ลุกลนของผู้ช่วยดังมาจากปลายสาย
“ประธานเหมย……… มีโทรศัพท์จากบริษัทปล่อยเงินกู้(หนี้นอกระบบ)โทรเข้ามา บอกว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า และจะมาเก็บหนี้วันพรุ่งนี้ หากคุณไม่สามารถจ่ายเงินได้ก็จะตัดมือขวาของคุณ …… ”
“ประธานเหมย เจ้าของอาคารสำนักงานที่เราเช่าโทรมาบอกว่าจะเพิ่มค่าเช่า 20 เท่า ถ้าหากเราไม่จ่าย ก็ให้คุณย้ายออกก่อนพรุ่งนี้!”
“ประธานเหมย………”
โทรศัพท์หลุดจากมือของเหมยผิงตกลงพื้น เขาคุกเข่าลงบนพื้น ท่าทางเศร้าซึม
ทันใดนั้น เหมยผิงกรีดร้องอย่างดุเดือด “โอ้สวรรค์ คนที่ผมล่วงเกินเขาคือใครกันแน่! ”
เขาใช้กำปั้นทุบลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง ในขณะเดียวก็ก้มหัวโขกลงบนพื้น จนหน้าผากมีเลือดไหลออกมา
เหมยผิงไม่สามารถยอมรับเรื่องที่กระทบจิตใจขนาดนี้ ทำให้เขาจิตใจแตกสลาย มีฟองไหลออกมาจากปาก ตาลอยแล้วก็เป็นลมล้มฟุบลงไปกับพื้น
……
ขณะที่เย่เฉินขับรถอยู่ สีหน้าเรียบเฉย
เซียวชูหรัน ยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งรู้สึกแปลก อดไม่ได้จึงถามว่า “คุณทำอะไรกับเหมยผิง เขาถึงกลัวคุณมากขนาดนั้น? ”
เย่เฉินพูดเบา ๆ “ผมไม่ได้ทำอะไรเขา ผมรอคุณอยู่ข้างนอก ผมจะไปทำอะไรเขาได้ ผมเดาว่าเขาล่วงเกินคนตั้งมากมาย คนพวกนั้นไม่ปล่อยเขามั้ง”
เซียวชูหรันครุ่นคิดสักครู่ ปัดข้อสงสัยมากมาย เหมยผิงอาจจะล่วงเกินผู้มีอำนาจใหญ่โตบางคน แต่เขาก็ไม่ควรเอาบัญชีนี้มาคิดที่ตัวของเย่เฉิน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซียวชูหรันก็พูดด้วยความโกรธว่า “ไอ้เหมยผิงคนนี้มันเป็นคนไร้ศีลธรรม สมน้ำหน้าที่มันล้มละลาย มันก็สมควรแล้ว”
เย่เฉินยิ้มอย่างใจเย็น
ควรสมน้ำหน้าเหมยผิงจริง ที่มาแส่หาเรื่องตนเอง การล้มละลายคือจุดจบที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว มิฉะนั้นก็จะทำให้เขาหายไปจากโลกนี้
เซียวชูหรันอุทานเสียงเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ดูแล้วคงต้องหาผู้ร่วมลงทุนใหม่แล้ว ว่าจะสามารถหางานออกแบบให้กับออฟฟิศได้หรือเปล่า”
เมื่อเย่เฉินได้ยินประโยคนี้ เขาเตรียมที่จะคุยกับหวังตงเสวี่ยน เพื่อที่ตี้เหากรุ๊ปจะได้ลงออเดอร์กับภรรยาของเขามากขึ้น
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว เซียวชูหรันก็ยังคงพูดคุยกับเย่เฉินว่าต่อจากนี้ไปจะวางแผนทำงานอย่างไร
ทั้งสองคนพึ่งจะก้าวเข้าประตูบ้าน เซียวฉางควนถูมือของตนเองและเดินมาหยุดตรงหน้า และมองหน้าทั้งสองคนอย่างอึดอัดใจ แล้วกล่าวว่า “เรื่อง ๆ……..ชูหรัน แม่บอกให้หนูกลับไปทำงานที่บริษัทเซียวซื่อในวันพรุ่งนี้”
“อะไรน่ะ?” เซียวชูหรันตะลึง
เย่เฉินขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พวกเราตัดขาดจากตระกูลเซียวแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“อั้ย!” เซียวฉางควนมีสีหน้าที่ลำบากใจ และพูดอย่างจำใจว่า “แม่ของหนูโดนพวกเขาเป่าหู ในใจคิดแต่เรื่องตระกูลเซียว ดังนั้น……… ”
ยังไม่ทันที่เซียวฉางควนจะพูดจบ เซียวชูหรันก็พูดกับหม่าหลันด้วยความโกรธว่า “แม่ ตระกูลเซียวรังแกพ่อ แล้วยังจะแย่งคฤหาสน์ของเย่เฉิน ทำไมพวกเราต้องกลับไปด้วย? ”