หลิงฮันเดินออกมาจากรถม้าและเห็นคนสองคนกำลังปะทะกันอยู่
จอมยุทธที่สามารถเหาะเหินบนท้องฟ้า… ทั้งสองควรเป็นระดับบุปผาผลิบานเป็นอย่างน้อย
ด้วยระยะห่างที่ไกลหลิงฮันจึงไม่สามารถสัมผัสระดับพลังของทั้งสองได้ แต่หากให้กะด้วยสายตา ทั้งสองคนนั้นเป็นรุ่นเยาว์ที่มีอายุประมาณยี่สิบปี
‘ตูม!’
การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน หนึ่งเป็นผู้ใช้ดาบในขณะที่อีกหนึ่งใช้กระบี่ ทั้งสองล้วนแต่ปลดปล่อยปราณดาบและปราณกระบี่สิบเก้าเล่มออกมาราวกับจะสะบั้นสรวงสวรรค์ทิ้ง
หลิงฮันตกตะลึง เขาเองก็สร้างปราณดาบได้สิบเก้าเล่มเช่นกัน ซึ่งก็หมายถึงรุ่นเยาว์ทั้งสองบนท้องฟ้านั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย
โลหิตในร่างของหลิงฮันเดือดผล่านพร้อมกับจิตใจที่อยากจะทะยานขึ้นไปเข้าร่วมต่อสู้
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
บนท้องฟ้า รุ่นเยาว์ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ เจตจำนงที่พวกเขาปล่อยออกมาสามารถบดขยี้จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย เนื่องจอมยุทธระดับบุปบาผลิบานมีบุปผาแห่งเต๋าในตันเถียนที่สามารถชักนำพลังแห่งสวรรค์และปฐพีมาช่วยโจมตี พลังทำลายล้างของกระบวนท่าพวกเขาจึงน่าสะพรึงกลัวมาก แม้ทั้งสองจะสู้กันอยู่บนท้องฟ้า แค่คลื่นพลังปั่นป่วนก็สามารถทำลายภูเขาให้พลังทลายได้เป็นแถบๆ
‘ตูม’ ยอดเขาแห่งหนึ่งพังทลายและร่วงลงมาใส่หัวหลิงฮัน แต่หลิงฮันก็ใช้ดาบผ่ายอดเขาออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถูกลูกหลงแบบนี้ ในที่สุดหลิงฮันก็มีเหตุผลที่จะเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ร่างของเขาทะยานขึ้นฟ้าและตะโกนออกไป “พวกเจ้าทั้งสอง กล้าดีอย่างไรมาโจมตีข้าด้วยยอดเขา? รับดาบของข้าให้ดี!” หลิงฮันชักดาบและโจมตีให้ชายหนุ่มทั้งสอง
ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดและไม่เคยคิดคิดว่าจะมีมือที่สามเข้ามาแทรกแซง แต่ดาบที่หลิงฮันนั้นโจมตีมานั้นทรงพลังเกินไป ทั้งสองจึงต้องหยุดการต่อสู้กันชั่วคราวและร่วมมือกันป้องกันการโจมตีของหลิงฮัน
‘ตูม!’
เมื่ออัจฉริยะทั้งสองร่วมมือกัน พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจึงมหาศาลเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดอย่างหลิงฮันก็ยังต้องก้าวถอย
ชายหนุ่มทั้งสองมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบานขั้นเจ็ดซึ่งสูงกว่าหลิงฮันที่เป็นระดับบุปผาผลิบานขั้นสองอยู่ห้าขั้น แต่พลังของทั้งสองคนนี้กลับมาสามารถต่อต้านเขาได้ คู่ต่อสู้เช่นนี้นับว่าหายากมาก
หลิงฮันไม่อาจยอมให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไปง่ายๆ เขาคำรามลั่นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายและจิตสังหารออกมาจนแทบจะเผาผลาญท้องนภากลายเป็นเถ้าถ่าน
ชายสองคนทั้งตกตะลึงและโมโห พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดแท้ๆแต่ดันถูกขัดจังหวะเสียได้
“จัดการเจ้าหนูนี่ก่อนแล้วค่อยมาตัดสินกันใหม่!”
“ก็ดีเหมือนกัน!”
ทั้งสองตกลงใจร่วมมือกันจัดการหลิงฮันเป็นอันดับแรก
‘ตูม’ ดาบของชายหนุ่มคนหนึ่งปลดปล่อยเปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาพร้อมกับอีกคนที่ปลดปล่อยประกายแสงสีทองนับพัน พลังต่อสู้ของทั้งสองเรียกได้ว่าเกือบจะอยู่เหนือกว่าระดับบุปผาผลิบานไปแล้ว
แม้จะรู้สึกกดดันแต่หลิงฮันก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขาโคจรปราณก่อเกิดและใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจพร้อมกับสะบั้นดาบโจมตีออกไปอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นพลังต่อสู้ที่น่าตกตะลึงของหลิงฮัน อัจฉริยะทั้งสองก็เลิกร่วมมือกันและสถานการณ์ได้กลายเป็นการต่อสู้ตะลุมบอนสามคน
ทั้งสองคนเป็นอัจฉริยะที่มีความทะนงตนว่าสามารถจัดการคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังเท่ากันได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการร่วมมือกันเพื่อโค่นศัตรูที่ควรค่าแก่การสู้ด้วย
บนท้องฟ้า การต่อสู้ของทั้งสามคนดำเนินไปอย่างดุเดือด คลื่นพลังทำลายล้างกระจัดกระจายออกมานับไม่ถ้วนจนทำให้พื้นที่บริเวณรอบๆพังทลาย
จูเสวียนเอ๋อสร้างโล่ป้องกันขึ้นมา ถึงแม้นางจะเป็นเพียงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่นางมีความสามารถพอที่จะต้านทานคลื่นกระแทกจากจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้
ฮูหนิวจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับแยกเขี้ยว ดูเหมือนว่านางเองก็อยากจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้เช่นกัน ส่วนเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้นมีสีหน้าที่หวาดกลัวและเอ่ยถาม “หลิงฮันจะบาดเจ็บรึเปล่า?”
“ฮ่าๆ บาดเจ็บก็ดีแล้ว ใครใช้ให้เขาทำตัวผลีผลามแบบนั้นล่ะ” หยินหงมองดูอย่างพึงพอใจ
“เจ้าคือคนไม่ดี!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพึมพำ
“พี่สาวคนนี้โตแล้วย่อมสามารถทำตัวเป็นคนไม่ดีได้!” หยินหงยืนยืนเชิดหน้าในขณะที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนมีสีหน้าอับอาย ทำไมสตรีนางนี้ถึงได้มีนิสัยอันธพาลขนาดนี้?
“ฮ่าๆๆๆ!” บนท้องฟ้า ทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกันและหยุดมือ
“สนุกจริงๆ! เป็นการต่อสู้ที่สนุกยิ่งนัก!” ชายผู้ใช้ดาบเอ่ยออกมา “ชื่อของข้าคือเฟยหง ไม่ทราบว่าน้องชายมีนามว่าอะไร?”
ที่แท้ก็เป็นเฟยหงนี่เอง เขาคือหนึ่งในรุ่นเยาว์หน้าใหม่ที่โดดเด่น น่าแปลกยิ่งนักที่โลกแสนกว้างใหญ่แต่พวกเขายังมาพบกัน
“ฮันหลิง” หลิงฮันพูดและมองไปยังชายผู้ใช้ดาบ “แล้วพี่ชายล่ะ?”
“หลางหวู่ซิน” ชายคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวสุขุม แต่หากดูจากการต่อสู้ของเขาแล้วจะพบว่าเขานั้นเป็นคนที่เลือดร้อนและน่าสะพรึงกลัว
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของน้องชายฮันมาก่อน!” เฟยหงประหลาดใจ “อัจฉริยะอย่างน้องชายฮันสมควรเป็นรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่รึไง”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “ข้ากำลังจะไปสร้างชื่อเสียงขึ้นที่ภูมิภาคกลางอยู่นี่ไงล่ะ”
เฟยหงหัวเราะในขณะที่หลางหวู่ซินยังคงไร้สีหน้า
“พวกท่านทั้งสองควรเป็นคนของภูมิภาคกลาง ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?” หลิงฮันถาม
“หลังจากปะทะกับหมอนี่อยู่เป็นเวลานานถึงครึ่งเดือน ข้าก็พบว่าข้ามาอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัวแล้ว” เฟยหงยิ้ม
จากภูมิภาคกลางมาภูมิภาคเหนือเลยงั้นรึ? สองคนนี้สู้กันโดยไม่สนอะไรเลยจริงๆ
“เอาล่ะ มาดื่มกัน!” หลิงฮันพาทั้งสองคนมาทักทายพรรคพวกที่รถม้า เขานำไวน์อมฤตที่ผลิตจากหยดวิญญาณสมุนไพรออกมาจากหอคอยทมิฬ
ไวน์นี้ไม่ใช่ไวน์ธรรมดา มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
ไวน์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำให้จอมยุทธมึนเมาได้ แต่ไวน์อมฤตนั้นต่างออกไป มันมีฤทธิ์ที่รุนแรงมากพอจะสร้างความึนเมาให้กับจอมยุทธ
เพียงแค่ดื่มแก้วเดียว สติของเฟยหงก็เริ่มรู้สึกเคลิ้มๆทันที ส่วนทางด้านของหลางหวู่ซินนั้นทำหน้าตาขึงขังราวกับท่อนไม้
“น้องชายฮัน เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักสมบัติวิญญาณสินะ งั้นเจ้าก็ควรระวังตัวไว้ให้ดี ข้าได้ยินว่าคนที่เป็นตัวแทนของตำหนักสมบัติวิญญาณภูมิภาคใต้คือ ซวนหยวนจื่อกวง” หลังจากดื่มไปหลายแก้ว เฟยหงก็ใช้ไหล่ของหลิงฮันเป็นที่ยันตัว
“เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?” หลิงฮันถาม เขาไม่ได้บอกไปว่าการแข่งขันที่เขาจะเข้าร่วมคือการแข่งขันปรุงยา แต่แน่นอนว่าถ้าเขารู้สึกสนใจเขาก็จะเข้าร่วมการแข่งขันประลองยุทธด้วยเช่นกัน
“แข็งแกร่งมาก” หลางหวู่ซินพูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้ามืดมน “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย จากน้ำเสียงที่ได้ยินแล้ว ดูเหมือนว่าซวนหยวนจื่อกวงผู้นี้จะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก