บทที่ 1179 มนุษย์ตัวกลวง

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เวลานี้เอง อยู่ๆ หลิวหยางก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ…ทว่าเขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ หลิงม่อก็พลันกำหมัดแน่น

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวอันเงียบงันไร้เสียงของเขา คือเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหลิวหยาง

“หืม? ทำไมถึงมีเสียง?”

เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง…ไม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิม เขายังคงยืนอยู่กับที่ ห่างออกไปไม่กี่เมตร คือหลิงม่อที่กำลังยืนกำหมัดแน่นและมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด

“น่าแปลก เสียงยังดังอยู่…”

หลิวหยางรู้สึกราวกับตัวเองถูกโยนเข้าไปในเครื่องปั่นไฟฟ้า…เสียงนั้นเสมือนดังมาจากทั่วร่างกายเขา อีกทั้งยังชัดเจนยิ่งกว่าทุกสรรพเสียงรอบกาย…

“อั่ก…ดูเหมือนฉัน…จะถูกโจมตีซะแล้ว…” หลิวหยางกระจ่างทันที…แต่เมื่อเขาล้มลงไป คำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองกลับเป็นอีกเรื่อง…

เพราะอะไรกัน?

……

“พรวด!”

เมื่อหลิวหยางล้มลงไป ร่างกายของหลิงม่อพลันไหววูบ ก่อนรีบยกมือขึ้นค้ำผนังด้านหนึ่งเพื่อทรงตัวทันที

เขาผ่อนลมหายใจยาวๆ พลางมองหลิวหยางที่ล้มลงไปด้วยสายตาสับสน

“ใช่สิ…เจ้ามาสเตอร์บอล…” หลิงม่อรีบล้วงเจ้ามาสเตอร์บอลออกมา

หากพูดกันตามจริง เจ้าตัวเล็กนี่ยังดูดกลืน “สารอาหาร” ที่ได้มาจากซอมบี้ร่างแม่ตัวก่อนหน้าไม่หมด คราวนี้ที่หลิงม่อปล่อยมันออกมา มันก็ยังวิวัฒนาการไม่เสร็จ ดังนั้นหลังจากดูดกลืนพลังของหัวหน้าทีมนิพพานจนเกลี้ยง มันจึงได้เข้าสู่สภาวะหลับใหลอีกครั้ง

ถึงแม้ตอนนี้หลิงม่อจะบีบมันไว้ในมือ มันก็ตอบสนองด้วยการขยับตัวเบาๆ เท่านั้น ร่างกายของมันหดเข้าหดออก ถึงขั้นเรอเสียงดังจนจุดแสงพลังจิตทะลักออกมา…

“ฉันเตรียมป้องกันสถานการณ์อย่างนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว…” หลิงม่อหอบหายใจ จากนั้นนิ้วมือทั้งห้าที่กำเจ้ามาสเตอร์บอลไว้ก็บีบเข้าหากันแน่นขึ้นอีก…

พรวดๆๆ…

พลังงานทางจิตมหาศาลเริ่มทะลักออกมา…

สามสิบวินาทีต่อมา เมื่อหลิงม่อยัดเจ้ามาสเตอร์บอลกลับใส่กระเป๋าอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก ดวงตาที่เดิมดูไร้ชีวิตชีวา ตอนนี้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง

“นี่” หลิงม่อเดินไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าหลิวหยาง

หลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ หลิวหยางก็ค่อยๆ หันศีรษะมา

ทันทีที่เห็นสภาพของเขาในตอนนี้ หลิงม่อที่หมายจะอ้าปากพูดก็ต้องชะงักไป

“แกดู…”

ผ่านไปเพียงไม่ถึงนาที หลิวหยาง…หรือก็คือหนังหุ้มที่ถูกปรับโครงสร้างร่างกายจนกลายเป็นหุ่นเชิดระดับที่หนึ่ง กลับดูต่างจากตอนที่เพิ่งล้มลงไปอย่างสิ้นเชิง

หลิวหยางในตอนแรกยังคงเป็นชายหนุ่ม แต่เวลานี้ ดวงตาหมองหม่นไร้ชีวิตชีวาของเขาที่กำลัง “จ้อง” หลิงม่อ บวกกับริ้วรอยเหี่ยวย่นซึ่งปรากฏทั่วผิวหนังของเขา กลับทำให้เขาดูแก่ขึ้น 40 – 50 ปีเลยทีเดียว…

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเขาอ้าปาก ฟันหลายซี่ที่หลุดจากเหงือกก็พลันร่วงออกมา…

ภาพที่เห็น…ชวนขนลุกจนไม่อาจบรรยายออกมาได้…

“แกเหมือน…จะตกใจมากนะ…” หลิวหยางพูดอย่างยากลำบาก

“นิดหน่อย” หลิงม่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตามตรง

“นี่ไม่ใช่…การกลายพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ…” หลิวหยางบอก

หลิงม่อพยักหน้า…เขาเองก็พอเดาได้รางๆ แล้ว

สิ่งที่กำลังกลายพันธุ์ แท้จริงแล้วคือปรสิตที่อยู่ข้างใน เชื้อไวรัสในตัวหลิวหยางก็ล้วนถูกหลั่งออกมาจากร่างของปรสิตเหล่านั้น เมื่อพวกมันเข้ามายึดครองและแทนที่สมองของ “หนังหุ้ม” เหล่านี้ เชื้อไวรัสที่อยู่ในตัวพวกมันก็จะรุกรานทุกส่วนของร่างกายมนุษย์อย่างรวดเร็ว เริ่มแรกเดิมทีมันอาจเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ที่ซ่อนตัวอยู่ แต่เมื่อใดที่มัน “ตื่น” ขึ้นมา ร่างกายมนุษย์ที่มันอาศัยอยู่ก็จะกลายเป็นอสุรกายที่แข็งแกร่งได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

เรียกได้ว่ากลายเป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ทว่าข้อเสียของมันก็เลวร้ายพอกัน…อย่างเช่นการเน่าเปื่อย…อย่างเช่นการ…เสื่อมถอยของร่างกาย

“ความรู้สึกแบบนี้…ร่างกายของแกน่าจะยังรับรู้ได้สินะ?” หลิงม่อพลันถามขึ้น

หลิวหยางกลับฉีกมุมปากคลี่ยิ้มประหลาด จากนั้นก็บิดคอดังกรอบแกรบ ถามว่า “แกทำ…ได้ยังไง? ตอนสุดท้าย…ทั้งที่แก…เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย…”

“นั่นมันเป็นสิ่งที่แกรู้สึกเองทั้งนั้น” หลิงม่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความจริงแล้วคำตอบง่ายมาก ฉันก็แค่ใช้วิธีการโจมตีที่ฉันถนัดมากที่สุดเท่านั้น”

“พลังโจมตีทางจิต?” หลิวหยางชะงักงัน “เป็นไปไม่…”

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” หลิงม่อกลับตัดบทเขา แล้วบอกว่า “แกคิดว่าพลังจิตของฉันจะใช้ไม่ได้ผลกับหุ่นเชิดแบบนี้สินะ แต่ความจริง ขอเพียงยังเป็นหุ่นเชิดที่ถูกแกควบคุม…ไม่สิ ต้องบอกว่า ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขยับได้ ก็ล้วนมีพลังจิตอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่หรือไง?”

“แต่ว่า…”

“ใช่ แต่แกกลับไม่มีพลังจิตปรากฏให้เห็น…ซึ่งนั่นมันผิดกฎธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นคำถามก็คือแกเอาดวงแสงแห่งจิตของตัวเองไปซ่อนไว้ที่ไหน?” หลิงม่อพูดต่อ “ตอนแรกฉันไม่เข้าใจ…แต่ต่อมาก็พบว่าความจริงคำตอบอยู่ตรงหน้าฉันตั้งแต่แรกแล้ว…ไม่ใช่ว่าหาไม่เจอ แต่เพราะมันมีอยู่ทุกที่จนฉันมองข้ามไป ความจริงแล้วพลังจิตกระจายอยู่ทั่วร่างกายของแก ใช่ไหมล่ะ?”

หลิวหยางไม่พูดอะไร…แต่ร่างกายของเขากลับกระตุกสั่นชั่วขณะ

“ฉะนั้นพลังโจมตีทางจิตของฉันเลยใช้ไม่ได้ผลกับแก…เพราะถึงแม้ว่าฉันจะโจมตีถูกบางจุดเพื่อผลาญพลังจิตบางส่วนของแก แต่สำหรับร่างกายทั้งร่างของแกแล้ว แค่นั้นกลับไม่ถือเป็นบาดแผลใหญ่โตอะไร และเพราะอย่างนี้ แกถึงได้บอกว่า…น้ำหน้าอย่างฉันในตอนนี้ไม่มีทางสู้แกได้แน่…”

“ในทางทฤษฎี ฉันจะโจมตีต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ ถึงแม้จะผลาญพลังจิตของแกได้ทีละน้อย แต่ช้าเร็วฉันก็สามารถผลาญพลังจิตของแกจนหมดได้ แต่ฉันที่มีสภาพอย่างเมื่อกี้จะยืนหยัดจนถึงตอนนั้นได้ยังไงกันล่ะ? ไม่แน่ฉันอาจถูกแกจับตัวได้ก่อนที่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ”

“แต่ถ้าหากว่าฉันโจมตีทั่วทั้งร่างของแกในคราวเดียวอย่างนี้ แกก็จะต้านทานไม่ไหว…เพราะพลังจิตอันน้อยนิดในร่างของแก หากเทียบกับฉันก็ยังถือว่าห่างชั้นกันอีกไกล…”

พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ หลิงม่อก็คลี่ยิ้ม น้ำเสียงยามพูดแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นมาทันที “แกจับฉันไม่ได้หรอก”

“เรื่องนี้…ก็ไม่แน่หรอก” หลิวหยางโต้กลับ ตอนนี้เขาดูแก่ขึ้นกว่าเดิมมาก กระทั่งเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยออกมาจากร่างกาย…

“ทำไมเธอถึงไม่มาด้วยตัวเองล่ะ?” ในที่สุดหลิงม่อก็โพล่งคำถามสำคัญออกมา

“ฉัน…” หลิวหยางอ้าปากและหุบลง ไร้ซึ่งคำตอบ

ทว่าหลิงม่อกลับไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังแต่อย่างใด ไม่นานเขาก็ถามขึ้นอีกว่า “ที่นี่ยังมีหุ่นเชิดอีกกี่ตัว?”

“ทำไมแก…ไม่ไปดูเองล่ะ…” หลิวหยางบอก

ในตอนนี้เอง ใบหน้าของเขาเริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว…

แต่ก่อนที่ส่วนริมฝีปากจะหายไป อยู่ๆ เขาก็แสยะยิ้มส่งให้หลิงม่อ และพูดขึ้นอย่างมีความนัยแฝง “อีกเดี๋ยวเจอกัน…”

“…แน่นอนอยู่แล้ว” หลิงม่อตอบ

ขลุกขลักๆ…

กะโหลกศีรษะของหลิวหยางพลันกลิ้งตกลงมา หลิงม่อรีบลุกขึ้นยืนทันที แต่กลับพบว่าในร่างที่ฝ่อลีบไปอย่างรวดเร็วไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว…

……………………………………..