Sign in Buddha’s palm 146 ความรู้สึก

 

ตําหนักไท่จี๋

 

ข่าวการล้มตายของเหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ การถอยทัพของกองกําลังนับล้านได้แพร่กระจายออกไป ทั้งขุนนางพลเรือนและฝายทหารของวังหลวงต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ

 

ถ้าไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของหน่วยสอดแนมคนนี้ก่อนเข้าวังหลวง เกรงว่าเหล่าขุนนางคงสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับของราชาหัวเมืองส่งมาเพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายภายในพระราชวังถังไปแล้ว

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรต่อไป”

 

ขุนนางบางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองถอยทัพ อย่างน้อยเมืองฉางอันก็รอดตัวไป ไม่จําเป็นต้องเผชิญการบุกรุกของกองทัพนับล้าน

 

แม้ว่าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเหล่านี้จะพร้อมอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับอาณาจักรถังมาเนิ่นนานแล้ว แต่หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ใครจะอยากตายกันเล่า?

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เต็มไปด้วยความปีติยินดีใบหน้าเบิกบานแจ่มใส

 

จักรพรรดิถังก็ลุกขึ้นยืน

 

“จงฟังคําสังข้า”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ผู้คนรอบตัว ค่อยๆ พูดทีละคํา “รวบรวมกองทัพ บุกกวาดล้างดินแดนของราชาหัวเมือง ทั้งสิบทีละเมือง!”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะตกใจกับ “ตัวตนประดุจทวยเทพ” ที่ซ่อนอยู่ภายในวัง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว ต้องรีบจัดการ

 

ในเมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกตายไปแล้ว ความวุ่นวายย่อมเกิดแก่ดินแดนของพวกเขาอย่างมิอาจเลี่ยง

 

เหล่าองค์ชายตกตายกะทันหัน ไม่มีเวลาให้ถ่ายโอนอํานาจ สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่บุตรชายคนโตของเหล่าองค์ชายก็คงยากที่จะจัดการสถานการณ์ให้กลับมามั่นคงได้ใน ช่วงเวลาสั้นๆ

 

หากเวลานี้จักรพรรดิถังกวาดล้างเขตแดนทั้งสิบในคราวเดียว “เมื่อรวมกับมาตรการ นโยบายกระจายอํานาจ” ที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงดําเนินการไว้ก่อนหน้านี้ มันย่อมจะก ลายเป็นหายนะของเหล่าขุนนางหัวเมือง และช่วยแก้ปัญหาภายในราชสํานักได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“รับพระบัญชา”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิต้องการได้ในทันที จึงลุกขึ้นยืนเตรียมไประดมกําลังพลภาคพื้นดินและกองทหารม้า

 

….

 

….

 

กองทัพของราชาหัวเมืองได้แตกพ่ายไปแล้ว

 

กองทัพนับล้านไม่ได้เห็นแม้แต่เมืองฉางอัน และราชาหัวเมืองทั้งสิบก็กลายเป็นเพียงอากาศธาตุด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

 

ผู้คนมากมาย จอมยุทธในยุทธภพ ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึง

 

ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง มีร่างหลายร่างกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลาย แต่กลิ่นอายทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พวกเจ้าลองบอกซิ ทําไมกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองราชวงศ์ถังถึงพ่ายแพ้?” ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเขียวเปิดปากถามและมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

 

“นี่…..”

 

ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้จะตอบอะไร

 

ความพ่ายแพ้ของราชาหัวเมืองทั้งสิบนั้นยากจะอธิบาย กองทัพของราชาหัวเมืองไม่ได้สู้กับกองทัพของอาณาจักรถังด้วยซ้ำ พวกเขาก็ถอนกําลังกลับไปเสียก่อน….

 

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่กองทัพของราชาหัวเมืองอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ จู่ๆ มีแสงสว่างดูศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบในคราวเดียว ทําให้กองทัพไม่มีผู้นํา จึงต้องถอยทัพกลับไป…” 

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “มีข่าวลือจากภายนอกบอกมาว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาณัติแห่งสวรรค์ แม้แต่ทวยเทพก็ช่วยเหลือ…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ

 

เพราะคําพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

“อาณัติแห่งสวรรค์? เจ้าเชื่อเรื่องนี้จริงๆ หรือ?”

 

ชายชราในชุดสีเขียวส่ายหัวแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“เฒ่าเขียว ท่านหมายความว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในใดนั้นหรือ?” ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายและเอ่ยถามทันที

 

อันที่จริงเมื่อเขารู้เรื่องราวนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่เหตุผลอื่นนอกจากนี้จะอธิบายแสงที่ตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร

 

“เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวเท็จที่ทั้งทางอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมืองจงใจปล่อยออกมา?”

 

ทันใดนั้นหญิงร่างอ้วนก็คาดเดาขึ้นมา

 

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

จริงดังนั้น

 

พวกเขายังคิดอยู่ว่าเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากฟ้านั้นมันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป

 

บางทีเรื่องทวยเทพอาจจะเป็นที่ถูกกุขึ้นมา ทุกคนต่างถูกหลอกโดยอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมือง

 

“แสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นเรื่องจริง” ชายชราในชุดสีเขียวกล่าวออก

 

“เฒ่าเขียว ตกลงมันมีความลับอันใด บอกออกมาได้แล้ว…” ชายวัยกลางคนไม่สามารถทนสงสัยต่อไปได้

 

“มันไม่ใช่อาณัติสวรรค์ มันเป็นฝีมือของมนุษย์”

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราในชุดเขียวก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผ่านเมืองฉางอันในวันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ เขาได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากส่วนลึกของวังหลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วมันก็หายไป”

 

“หลังจากนั้น ราชาหัวเมืองก็ตกตายภายใต้ลําแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า”

 

ในประโยคทั้งสองของชายชราชุดเขียวซ่อนความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้

 

“เฒ่าเขียว เจ้าหมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเกิดจากน้ำมือของใครบางคนในพระราชวังถังงั้นรึ?”

 

“ทั้งยังส่งการโจมตีระยะไกลกว่าพันลี้ สังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ในหมู่กองทัพนับล้าน?”

 

หญิงสาวร่างอ้วนรู้สึกเพียงว่านี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน

 

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชายชราชุดเขียวพูด นางรู้สึกเชื่อข่าวลือว่าเป็นอาณัติสวรรค์ เป็นโชคชะตาแห่งอาณาจักรถังมากกว่าอีก

 

“สิ่งที่เพื่อนของท่านพูดเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”

 

ชายวัยกลางคนมองอย่างระแวงก่อนจะถามออกไป

 

“แน่นอนว่าเรื่องจริง”

 

ชายชราชุดเขียวยืนยัน

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีตํานานยุทธอยู่ในพระราชวังถัง?” 

 

บางคนที่อยู่ตรงนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการตอบสนอง แล้วจึงพึมพําอยู่กับตนเอง

 

พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแน่นอนพวกเขารู้ดีว่าการสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ภายในกองทัพด้วยระยะทางหลายพันลี้นั้นยากเย็นเพียงใด

 

นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นตํานานยุทธแล้ว ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้

 

“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ชายชราชุดเขียวกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

“เป็นตัวตนขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

 

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาล

 

ชายร่างสูงมีดวงตาที่สงบนิ่งจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

แม้ว่าชายร่างสูงจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่ก็ทําให้ผู้คนต่างรู้สึกว่ากําลังเชิญหน้ากับผืนแผ่นอันยิ่งใหญ่

 

“ท่านราชครู”

 

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ที่ราบภาคกลางขอรับ”

 

ในเวลานั้นมีชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบของราชวงศ์ถังก่อกบฏ นํากองกําลังนับล้านเข้ามาตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ แต่พวกเขากลับถูกสังหารโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากเมืองฉางอัน…”

 

ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

หากไม่มั่นใจว่าแหล่งข่าวที่ได้มาเป็นความจริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งนี้เลย

 

“โอ้?”

 

“ตํานานยุทธงั้นหรือ?”

 

ชายร่างสูงค่อยๆ เหม่อมองออกไปแล้วกระซิบอยู่กับตนเอง

 

“ท่านราชครู ท่านคิดว่าภายในพระราชวังถังมีตํานานยุทธงั้นหรือ”

 

ใบหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาส่งข่าวก็กลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด

 

การมีตํานานยุทธในพระราชวังถังก็เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงมาใส่อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อนวัดเส้าหลินจะให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมา เช่นกัน แต่วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ ไม่ว่าจะมีอีกคนหรืออีกสองคนก็เพียงส่งเสริมสถานะของวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพเท่านั้น

 

ไม่มีผลกระทบใดต่อแผ่นดิน

 

เพราะตลอดเวลาหลายพันปี วัดเส้าหลินก็สงบสุขมาโดยตลอด

 

ไม่มีความทะเยอทะยาน

 

แต่กับอาณาจักรถังนั้นต่างออกไป

 

หากมีตํานานยุทธในพระราชวังถังย่อมมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถานการณ์ภายในโลกหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ไม่ต้องห่วง…”

 

ชายร่างสูงส่ายหัวและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง

 

“ตํานานยุทธ…”

 

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปถึงแล้ว…”