ตอนที่ 313 การพัฒนาขึ้น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังออกจากเมืองไป๋อวี้ ภายในผืนป่าแห่งหนึ่งนอกเมือง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวร่ำลากับคณะเดินทางซูเสี่ยวจวิ้นอย่างไม่เต็มใจนัก

ฉินอวี้โม่พูดถูก หากไม่ใช่เพราะคฤหาสน์เฟิงหัวของนางก็คงยากที่คนเหล่านี้จะออกมาจากสมาคมได้

ภายในเมืองไป๋อวี้ มีคนมากมายที่ต้องการพบฉินอวี้โม่อยู่ทั่วทุกหนแห่งและสมาคมช่างหลอมก็ถูกล้อมรอบไว้ทุกทิศทาง อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

ในวันที่สองหลังที่นางออกจากตัวเมือง ผู้คนก็ได้ทราบข่าวว่าฉินอวี้โม่ผู้เลื่องชื่อได้ออกจากเมืองไป๋อวี้ไปแล้ว

ในตอนแรกบรรดาผู้ที่ล้อมรอบเมืองไป๋อวี้ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่าเมื่อนึกถึงคฤหาสน์ล่องหนของฉินอวี้โม่กอปรกับที่พวกเขาไม่พบเห็นซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆ พวกเขาจึงค่อยๆ ถอนกำลังออกไปและเชื่อว่านางออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ

หลายคนมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของจวนตระกูลเฟิงอย่างเร่งรีบด้วยหวังว่าจะได้พบกับฉินอวี้โม่และคณะในระหว่างทาง

บางคนเชื่อข่าวที่ได้รับและตัดสินใจที่จะตั้งตารอวันที่งานเลี้ยงจะมาถึง ในเมื่อฉินอวี้โม่กล่าวไว้ว่านางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิง ทุกคนก็เชื่อว่านางจะไปที่นั่นอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นสองวัน เมืองไป๋อวี้ที่คึกคักไปด้วยผู้คนในตอนแรกก็เงียบสงัดลงและบรรดาผู้ที่รอพบฉินอวี้โม่ด้วยความตื่นเต้นต่างก็เดินทางออกจากเมืองไปตามๆกัน

สิ่งนี้ทำให้เยว่ชิงและคนอื่นๆทอดถอนหายใจด้วยความรู้สึกว่าฉินอวี้โม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนได้มากเหลือเกินและพวกเขามั่นใจว่านางจะกลายเป็นยอดฝีมือคนสำคัญของดินแดนในอนาคตต่อไปอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่แยกทางกับซูเสี่ยวจวิ้นและคณะเดินทาง นางก็เริ่มฝึกปรือฝีมืออยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว

นางตั้งใจไว้ว่าหากไม่สามารถพัฒนาพลังถึงขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูง นางจะไม่ออกจากคฤหาสน์หลังน้อยนี้และหลังจากบรรลุเป้าหมายนางก็จะเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลเฟิง ซึ่งน่าจะไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา

หลังจากกลืนกินโอสถทะลวงฟ้าที่ได้รับมาจากเย่าเหยียน ฉินอวี้โม่ก็หลับตาลงและดูดซับพลังมายาของโลกรอบตัว

เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง นางเริ่มรู้สึกว่าพลังใกล้พัฒนาเต็มที

นางไม่ได้รู้สึกถึงอะไรพิเศษสำหรับการพัฒนาครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างไปจากการพัฒนาทั่วๆไป ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่การเลื่อนระดับพลัง

อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกถึงพลังมายาในร่างกายของตนเองได้อย่างชัดเจนและสามารถสัมผัสถึงความแตกต่างของพลังที่เพิ่มมากขึ้น

“ยินดีด้วยนายหญิง”

เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่นๆยิ้มกว้างขณะออกมายืนข้างฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวแสดงความยินดี

“ฮ่าๆๆ พวกเราพัฒนาอย่างมีความสุขไปด้วยกัน”

ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและมองอสูรมายาทั้งหลายของตนเองด้วยความพึงพอใจ

การทะลวงพลังจากขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ไปถึงจ้าวพิภพถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ และการพัฒนาไปสู่ขอบเขตจ้าวพิภพขั้นที่สูงขึ้นของฉินอวี้โม่ก็ไม่ต่างกัน เพราะเหตุนั้นอสูรมายาของนางจึงได้รับผลประโยชน์อย่างไม่รู้จบเช่นกัน

นอกเหนือจากอสูรพันธสัญญาบางตัวที่เข้าสู่ระดับจ้าวพิภพไปแล้วก่อนหน้านี้ ครานี้อสูรหลายตัวก็ทะลวงพลังขึ้นมาในระดับจ้าวพิภพเช่นกัน

ในบรรดาอสูรมายาทั้งหลายของฉินอวี้โม่ ตอนนี้มีอสูรระดับจ้าวพิภพอยู่เจ็ดตัวด้วยกันและตัวอื่นๆก็อยู่ในระดับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ขั้นสูงสุด แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ยังไม่รวมซิวและหานอวี้ซึ่งอาจจะทรงพลังกว่ามาก

บัดนี้ฉินอวี้โม่มีความมั่นอกมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้นางต้องประจันหน้ากับจูอวิ๋นชาง นางก็ไม่รู้สึกอ่อนด้อยเหมือนครั้งก่อนหน้านี้อีกต่อไป ทว่านางจะมีพลังเต็มเปี่ยมที่พร้อมรับมือกับอีกฝ่าย

“มันถือเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตของข้าที่ได้กลายเป็นอสูรมายาของนายหญิง”

เสี่ยวเยี่ยที่นุ่มนวลกล่าวขึ้นและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมเทิดทูนอย่างเต็มเปี่ยม การได้เป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดและมีความสุขที่สุดของมัน

“ข้าก็ด้วย”

เพียงพอนน้อยพยักหน้าอย่างแรงแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดของเสี่ยวเยี่ย

หากไม่ใช่เพราะมีนายหญิงอย่างฉินอวี้โม่ มันคงไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่ามันจะมีวันนี้ได้

เดิมทีมันเป็นเพียงอสูรมายาที่มีพรสวรรค์ธรรมดาไม่โดดเด่น หากอาศัยการฝึกฝนด้วยตัวเอง มันคงต้องใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อบรรลุระดับเทวะได้เป็นอย่างมาก

ด้วยการติดตามฉินอวี้โม่ในฐานะอสูรพันธสัญญาของนาง มันสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ในเวลาเพียงสองปีและบัดนี้มันก็มีโอกาสแม้กระทั่งบรรลุระดับจ้าวพิภพ เพียงพอนน้อยอดรู้สึกซาบซึ้งและดีใจไม่ได้

“ฮ่าๆๆ ตอนที่นายหญิงทำพันธสัญญากับข้าในตอนแรก ข้าไม่เต็มใจด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้ามีความสุขสุดๆไปเลย หากได้ย้อนกลับไป ข้าก็คงจะยอมก้มหัวศิโรราบโดยที่นายหญิงไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ”

เสี่ยวจินยิ้มร่าเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนแรกที่ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญากับมัน

ในตอนนั้นมันทั้งหยิ่งผยองและเมินเฉยต่อฉินอวี้โม่อย่างสุดพลัง มันไม่ยินยอมก้มหัวยอมเป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนี้ หากวันนั้นมันไม่ได้กลายเป็นอสูรมายาของนาง มันก็คงต้องอยู่เพียงในสถานที่เล็กๆที่ไร้โอกาสก้าวหน้าไปตลอดชีวิต

เสี่ยวจินมั่นใจว่าหากติดตามฉินอวี้โม่ต่อไป วันหนึ่งมันจะบรรลุระดับสูงสุดของสภาวะพลังเป็นสิ่งมีชีวิตอันดับต้นๆของดินแดนนี้อย่างแน่นอน

คำพูดของเสี่ยวจินทำให้อสูรทุกตัวนึกย้อนไปถึงความเป็นมาที่พวกมันได้กลายมาเป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่

หงส์แดงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของข้าก่อนจะกลายเป็นอสูรมายาของนายหญิงจะน่าอภิรมย์ที่สุด ถึงแม้ข้าจะถูกสถานการณ์บีบบังคับในตอนแรก อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงต่อนายหญิง ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกพี่ซิวจับย่างจนไหม้กลายเป็นนกย่างไปแล้ว”

อาไป๋และเพลิงก็ไม่มีการปะทะที่รุนแรงกับฉินอวี้โม่เช่นกัน ในตอนนั้นพวกมันตกเป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่เพราะสถานการณ์บีบบังคับและพวกมันก็ไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่นัก ทว่าบัดนี้พวกมันยอมรับในตัวผู้เป็นนายหญิงของพวกมันอย่างสุดหัวใจ

“ตอนแรกข้าก็ต้องการสู้กับนายหญิงและคิดว่ามนุษย์ไม่ได้ฉลาดอะไรนัก ทว่าตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป ข้าก็รู้ว่าตอนนั้นตนเองคิดผิดอย่างมหันต์!”

สำหรับเรื่องความรู้สึก เจียวหลงเป็นหนึ่งในอสูรมายาที่อ่อนไหวที่สุด

ในตอนแรกมันเป็นแค่มังกรเกล็ดที่ต้องใช้เวลานานเพื่อฝึกฝนก่อนจะได้กลายเป็นมังกรที่แท้จริง ทว่าตอนนั้นฉินอวี้โม่และหลินจิ้งหงก็เข้ามาขัดจังหวะในช่วงนั้น

มันไม่ยินยอมก้มหัวให้กับฉินอวี้โม่และรู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุดกับการต้องกลายเป็นอสูรรับใช้มนุษย์ ทว่าตอนนี้มันตระหนักได้แล้วว่าเคยโง่เขลามากเพียงใด

หากมันไม่ได้เป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ มันก็คงจะไม่พัฒนาพลังของตนเองได้เร็วเช่นนี้และคงจะไม่ได้กลายเป็นมังกรอัสนีระดับสูงในชนเผ่ามังกร

กล่าวได้ว่าด้วยการติดตามเป็นอสูรของฉินอวี้โม่ มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลกับตนเองและโชคลาภของมันก็มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ

“ฮ่าๆๆ สรุปคือพวกเราทั้งหมดไม่เต็มใจเป็นอสูรมายาของนายหญิงตั้งแต่แรก ทว่าตอนนี้ต่อให้นายหญิงจะอยากถีบหัวไล่ส่งพวกเรา เราก็ไม่มีวันจากไปไหน”

เสี่ยวเฮยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม มันเป็นอสูรมายาตัวแรกที่ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญาด้วยและมันอยู่กับฉินอวี้โม่มานานที่สุดเช่นกัน แม้ว่าในบรรดาอสูรมายามากมาย พลังของมันไม่ได้แกร่งกล้านักและบางครั้งมันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่เคยชิงชังมันและปฏิบัติต่อมันอย่างดีไม่เปลี่ยนแปลง มันยังจำได้ว่าฉินอวี้โม่เคยกล่าวไว้ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งอสูรมายาของตน ในตอนนั้นมันตัดสินใจแล้วว่าต่อให้จะต้องแลกด้วยชีวิต มันก็จะติดตามฉินอวี้โม่ไปตลอดกาล หากมีใครหน้าไหนกล้าแตะต้องนายหญิงของมัน ต่อให้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มันก็จะไม่รู้สึกเสียดาย

“ใช่แล้ว เราต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อช่วยนายหญิง หากวันหนึ่งนายหญิงต้องการพวกเรา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต เราก็จะต้องยืนอยู่เคียงข้างนางและช่วยนางหญิงรับมือกับอุปสรรคทุกอย่าง”

เสี่ยวจิวกล่าว เดิมทีมันก็ไม่เต็มใจที่จะกลายเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่เช่นกัน

หากมันไม่ได้บาดเจ็บสาหัส มันก็ไม่มีทางก้มหัวให้กับฉินอวี้โม่อย่างง่ายดาย เดิมทีมันคิดว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเหมือนกันหมดและปฏิบัติต่ออสูรมายาเยี่ยงทาสใต้อำนาจ มันไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมองพวกมันเป็นเหมือนสหายและมิตรร่วมทางเสียมากกว่า

ในฐานะอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ พวกมันไม่จำเป็นต้องกังวลว่านางจะสั่งให้พวกมันทำในสิ่งที่พวกมันไม่เต็มใจหรือไม่ต้องการ

ในขณะเดียวกัน การติดตามฉินอวี้โม่ก็ช่วยให้พวกมันแต่ละตัวพัฒนาพลังความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วและพวกมันต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจที่ได้มีเจ้านายที่ประเสริฐเช่นนี้

ตอนนี้พวกมันยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างสนิทใจ พวกมันรู้ว่ายังมีภยันตรายมากมายรอนางอยู่ในเส้นทางข้างหน้าและมีเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการสะสาง ทว่าพวกมันก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว

ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย พวกมันก็จะอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่ ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าทำร้ายนายหญิงของพวกมัน มันจะไม่มีทางทำสำเร็จได้เว้นแต่จะข้ามศพของพวกมันก่อน

“เอาล่ะ พวกเจ้าอย่ามัวแต่รำลึกเรื่องราวในอดีตอยู่เลย พวกเราอยู่ด้วยกันมานานและเป็นเหมือนสหายรู้ใจต่อกัน ตราบใดที่พวกเราเชื่อมั่นในกันและกัน มันก็จะไม่มีกำแพงใดกีดขวางพวกเราได้ มันเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดแล้วที่เราได้กลายเป็นอสูรมายาของนายหญิง เพราะฉะนั้นเราจะต้องหมั่นฝึกปรือทักษะจนเก่งอาจเพื่อไม่ให้นายหญิงต้องเสียหน้า!”

มารยากล่าวพร้อมรอยยิ้มโดยกล่าวแทรกขึ้นระหว่างบทสนทนาของอสูรมายาทั้งหลาย

“มารยาพูดถูก เราต้องฝึกฝนอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้นายหญิงต้องเสียหน้า!”

หงส์แดงกล่าวแสดงความเห็นด้วยและอสูรตัวอื่นๆก็เห็นด้วยเช่นกัน

ฉินอวี้โม่อดซาบซึ้งใจกับคำพูดของอสูรมายาเหล่านี้ไม่ได้ นางก็จดจำเรื่องราวตลอดสองปีที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็วและนางมาอยู่ในแผ่นดินนี้เกือบสามปีเต็มแล้ว ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางพัฒนาจากคุณหนูไร้ค่าจนแกร่งกล้าเลื่องชื่อไปทั่วดินแดนอย่างในตอนนี้ จากดินแดนหวนหลิงจนมาถึงดินแดนอ้างว้าง จากคนไม่มีอะไรจนได้มีสหายรู้ใจมากมาย

หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ความรู้สึกของฉินอวี้โม่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ

ในชีวิตก่อน นางไม่เคยคิดว่าตนจะมีสหายมากมายเช่นนี้และไม่คิดว่าจะได้พบคนที่จะอยู่กับนางไปตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาที่ดินแดนนี้ในฐานะ ‘คุณหนูสี่’ ทุกอย่างเหล่านี้ก็เริ่มปรากฏในโลกของนาง

ไม่ว่าจะเป็นสหาย ญาติมิตรและคนรักที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ทุกอย่างทำให้นางมีความสุขระคนประหลาดใจ

ตอนนี้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้มา ‘ที่นี่’ และได้พบคนมากมายเช่นนี้

แม้ว่าที่นี่มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินและหลายครั้งก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย อดีตนักฆ่าสาวก็ยังรู้สึกมีความสุข

ไม่ว่าจะมีศัตรูและภยันตรายมากมายเพียงใด นางก็มีความสุขมากกว่าชีวิตก่อนมาก

เมื่อมีหลายชีวิตอยู่ด้วย นางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากและอุปสรรคกีดขวาง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนาง

“ขอบคุณพวกเจ้ามาก”

ฉินอวี้โม่อดกล่าวออกไปไม่ได้ขณะมองอสูรมายาทั้งหลายของตนเอง

“นายหญิง ท่านจะขอบคุณพวกเราไปทำไมกัน?”

มารยาคลี่ยิ้มและกล่าวออกไป “เราต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน”

เมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศความปรองดองรอบตัวและเห็นหน้าตายิ้มแย้มของอสูรมายาทั้งหลาย ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงความสุขและความพึงพอใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

และตอนนั้นเองที่ดูเหมือนอารมณ์ความรู้สึกของนางจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”

จู่ๆพลับพลึงแดงก็เอ่ยด้วยความสงสัยเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

“มีอะไรงั้นรึ เสี่ยวม่าน?”

เมื่อได้ยินคำพูดของพลับพลึงแดง อสูรตัวอื่นๆก็จับจ้องมันและเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที

“พวกเจ้าสัมผัสได้รึไม่ว่าสภาวะพลังรอบตัวเราเพิ่มขึ้นมา?”

พลับพลึงแดงเป็นอสูรพฤกษาที่มีประสาทสัมผัสไวกว่าเสี่ยวเฮยและอสูรอื่นๆ มันเอ่ยออกมาทันทีที่รู้สึกถึงสภาวะพลังนั้นอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้มันพอจะรู้สึกบ้างแล้วทว่ายังไม่ชัดเจนเท่ากับตอนนี้

“จริงด้วย ข้าก็เริ่มจะรู้สึกเช่นกัน”

อสูรตัวอื่นๆก็จดจ่อประสาทสัมผัสและรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดเช่นกัน

ฉินอวี้โม่หลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงมันและพบว่าสภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวหนาแน่นขึ้นมาก

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย…