“พี่หลิ่ว…” เสวียนจีหมดวาจาจะกล่าวกับเขา
หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอสองที คิดวางท่าเป็นการเป็นงาน แต่สายตาก็อดลอยไปทางมังกรเขียวไม่ได้
ช่างงามจริง! เป็นคนรักในฝันที่เขาจินตนาการไว้โดยแท้! วงคิ้ว ผม ดวงตา ริมฝีปาก ล้วนเป็นแบบที่เขาชอบที่สุดพอดี…ถึงกับมีน้ำเสียงฆ้องปากแตกที่เขารู้สึกว่ามีเสน่ห์ดึงดูดมาก
มังกรเขียวถูกเขามองจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียว ด้วยนิสัยร้ายกาจของนาง ถึงกับไม่ออกอาการ เพียงแค่กระทืบเท้าหันหลังสะอึกกายไปยืนหน้ามกร ลงมือราวสายฟ้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ กรงเล็บเขียวแทงทะลุท้องเขา ยามนี้ไม่เพียงมกรร้องเจ็บปวด คนรอบๆ ต่างก็ร้องตกใจ แม้แต่อูเซียงที่หน้าตาไร้ความรู้สึกมาตลอดเองก็ตกใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “เจ้าทำอะไร?!”
มังกรเขียวลงมือเสร็จก็รีบโดดไปหลบหลังหงส์แดงจูเชวี่ย หัวเราะชั่วร้ายกล่าวว่า “ข้า มังกรเขียวทำงาน ยังต้องให้จอมเวทมาถามหรือ อย่าคิดว่าไป๋ตี้สั่งเจ้ามาพูดสองสามคำ ก็จะมาขี่คอพวกเราได้ เขาใช้ปีกเพลิงมัดข้าไว้ตั้งนาน แค้นนี้ไม่ชำระ จะทำใจได้อย่างไร”
มกรถูกกรงเล็บนางแทงเข้าช่วงท้องที่อ่อนนุ่มที่สุด เจ็บปวดจนสีหน้าเขียวคล้ำ หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปากที่มักชอบพูดไม่หยุดที่สุดของเขาถึงกับด่าไม่ออก เห็นก็รู้ว่าเจ็บปวดมาก ก่อนหน้านี้เสวียนจีพยายามอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก พอมาเห็นเขาเจ็บหนักทรุดลงคุกเข่าไม่ขยับเขยื้อนตอนนี้ ไหนเลยจะอดกลั้นต่อได้อีก ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาตะโกนใส่มังกรเขียว
หลิ่วอี้ฮวนร้อง “ไอโย” ขึ้นเสียงหนึ่ง ยกมือดึงแขนเสื้อเสวียนจี ถูกนางถลึงตาเยียบเย็นใส่ ตกใจหดแขนกลับ กล่าวอึกอักว่า “นาง…โหดเหี้ยมร้ายกาจ…แต่เจ้า เจ้าก็อย่าสังหารนางเลย…”
เสวียนจีพลิกข้อมือ แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไปรวดเร็ว หงส์แดงจูเชวี่ยและมังกรเขียวโดดหลบพร้อมกัน หนึ่งเรียก “เทพสงครามอย่าได้โมโห!” อีกหนึ่งตะโกน “นังเด็กหน้าเหม็นจะกบฏหรือ” เสวียนจีต้องการให้เขาสองคนแยกออกจากกัน ขยับตัวทีเดียวพริบตาก็มาถึงหน้ามังกรเขียว แม้ว่ามังกรเขียวรู้ว่าชาติก่อนเสวียนจีคือเทพสงคราม หากแต่ไรมานางไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา คิดแต่ว่าใต้หล้านี้ตนเองร้ายกาจที่สุด ฉลาดที่สุด คิดว่าเทพสงครามอะไรนั่นก็แค่เด็กน้อยเจ้าเล่ห์มากอุบายเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่านางไม่ธรรมดาจริงๆ พอเห็นกระบี่เปิงอวี้ฟันลงมาตรงศีรษะ นางถึงกับหลบไม่ทัน ได้แต่หลับตารอความตาย
ในยามนี้หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจยิ่ง อยู่ๆ ก็กระโดดขึ้นร้องดังว่า “ห้ามฆ่า ห้ามฆ่า! เจ้าลืมคำของซือเฟิ่งแล้วหรือ”
ดังคาด พอเอ่ยถึงซือเฟิ่ง เสวียนจีก็หยุดทันที มังกรเขียวอาศัยจังหวะชะงักงัน รีบสะอึกตัวหนีลนลานไปคว้าเสื้อหลิ่วอี้ฮวน หลบหลังเขาไม่กล้าขยับ นางมองออกแล้วว่าคนผู้นี้ปกป้องนางได้ เทพสงครามราวกับเชื่อฟังวาจาเขา ไปเกาะเขาไว้ ไม่ผิดแน่!
“วีรบุรุษ! วีรบุรุษช่วยชีวิตด้วย!” นางหน้าถอดสี น้ำเสียงฆ้องปากแตกรีบแสร้งทำน่าสงสารทันที แสบแก้วหูจนรู้สึกปวดไปหมด
หลิ่วอี้ฮวนเห็นสาวงามตรงหน้า ในใจยามนั้นลิงโลด แต่พอหันไปเห็นมกรได้รับบาดเจ็บเลือดอาบเต็มพื้นก็ลิงโลดไม่ออก ได้แต่กระแอมไอสองที กล่าวมั่วซั่วว่า “อันนี้คือ…เจ้าก็ทำไม่ถูก…แต่ทว่า นางก็วู่วาม พวกเจ้า…คือว่า พวกเจ้า…”
มังกรเขียวดึงแขนเสื้อเขาเขย่าสองสามทีเบาๆ ตาเรียวหงส์เย้ายวนมองเขาอย่างขอร้อง เขามีใจดังวีรบุรุษอยู่แล้ว พลันอ่อนยวบลงทันที ยิ้มหน้าตาเซ่อซ่าไม่รู้ควรกล่าวอันใด
“พี่หลิ่ว” เสวียนจีผิดหวังกับเขาอย่างแท้จริง เรียกเขาเสียงหนึ่ง เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย สองตาไม่ขยับแล้ว นางได้แต่เก็บกระบี่คืนฝักอย่างเสียไม่ได้ ตะโกนเรียกดัง “หลิ่วอี้ฮวน!”
เขาตกใจเล็กน้อย ละสายตาจากใบหน้ามังกรเขียวมาอย่างเสียไม่ได้ “อะ…อะไร นังหนู”
เสวียนจีชี้ไปที่มังกรเขียวด้านหลังเขา กรงเล็บแหลมคมของนางกำลังคว้าลำคอเขาไว้ เขายังไม่รู้ตัวอีก เอาแต่ยิ้มหน้าโง่ มังกรเขียวเห็นแผนการนางถูกเปิดโปง ก็เก้กังอยู่ไม่น้อย รีบปล่อยมือคิดหนีทันที ไม่ทันระวังถูกหลิ่วอี้ฮวนคว้าข้อมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าไปไกลจากข้านะ ไม่อย่างนั้นนางต้องจัดการเจ้าแน่”
มังกรเขียวมองชายผู้นี้อย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าเขาจะบ้าๆ บอๆ แต่สายตาก็อบอุ่นอ่อนโยนมาก นางเป็นสัตว์เทพจริงๆ แล้วก็ไม่ได้สนุกอะไร ทุกคนล้วนรังเกียจที่นางสกปรก เล่ห์เหลี่ยมชั่วร้าย ล้วนไม่อยากข้องเกี่ยวกับนาง ยากจะได้พบชายเช่นนี้ แม้นางจะเหี้ยมโหดเท่าใด ก็ย่อมมีหวั่นไหวบ้าง ดึงมือกลับหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เขาก่อนเดินไปหลบไกลๆ
จิตวิญญาณหลิ่วอี้ฮวนลอยตามนางไปแล้ว เสวียนจีถอนหายใจ ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาอีก ยามนี้เรื่องมกรสำคัญที่สุด นางเดินหามกร กล่าวอ่อนโยนว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้ามียาสมานแผล ใส่ให้เจ้านะ?”
มกรเจ็บปวดจนหน้าผากเส้นปูด เหงื่อเย็นไหลย้อย แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “เจ้า…นังหญิงหน้าเหม็น…ไม่เห็นหรือ…ข้าเจ็บภายใน! ยาสมานแผล…เอามาผายลมหรือ!”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นทำอย่างไรดี”
มกรเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าถ่ายพลังวัตรให้ข้า!”
ตอนนี้เสวียนจีรู้จักถ่ายพลังวัตรแล้ว จึงชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา กำลังจะท่องชื่อเขา พลันไหล่ขวาสะดุ้ง ราวกับมีของเย็นเยียบบางอย่างแทงทะลุ ครึ่งร่างนางแข็งค้างไปทันที ไม่อาจขยับได้อีก กระบี่เปิงอวี้ร่วงลงพื้นดังตึง เหนือศีรษะได้ยินเสียงอูเซียงเยียบเย็นกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ามีความผิดติดตัว ยังจะทำสัตว์เทพพลอยเดือดร้อนไปด้วยอีกหรือ ไม่รีบถอนพันธะสัญญากับเขา!”
เสวียนจีไม่อาจขยับตัว พลันตกใจจนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าใช้อะไรมาสะกดข้า?!”
อูเซียงไม่กล่าวอันใด มกรฝืนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นในมือเขามีดาบสั้นสีขาวราวหิมะทั้งเล่ม ราวกับหลอมจากน้ำแข็งหิมะ มีดสั้นนั้นจี้อยู่ที่ไหล่ขวาเสวียนจี เสวียนจีกับมกรล้วนเป็นพวกธาตุไฟ ดาบสั้นนั้นเป็นเทพศาสตราธาตุน้ำจึงสะกดข่มนางไว้ได้ มกรจำมันได้ นั่นเป็นมีดสั้นที่ไป๋ตี้พกติดตัว เขาชอบมันมาก ไม่ยอมให้ห่างกายแม้แต่วินาที ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้ถึงกับให้อูเซียงเอามาสะกดเสวียนจี
ในที่สุดหลิ่วอี้ฮวนก็เริ่มได้สติคืนมา เห็นสภาพดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ได้แต่มองอึ้งไป เคาะหัวตนเองอย่างไม่รู้ทำเช่นไรดี ตอนนี้เขามีแค่กลิ่นอายปีศาจเล็กน้อย แทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา ช่วยอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ถูมือไปมาอย่างร้อนใจ
“รีบถอนพันธะสัญญา อย่าได้ทำให้เขาพลอยติดร่างแหไปด้วย!” เสียงอูเซียงเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งพันปี
เสวียนจีถูกกดดันจนไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าไม่รู้จะถอนอย่างไร!”
อูเซียงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ง่ายมาก เจ้าใช้มือไหนผูกพันธะสัญญากับเขา ก็ตัดมือนั้นทิ้ง พันธะสัญญาก็ย่อมหมดไปทันที”
สัตว์ภูตมีเจ้านาย ก็ย่อมเป็นดังแขนซ้ายขวา ดังนั้นตัดแขนก็เท่ากับจากนี้หมดพันธะสัญญากับสัตว์ภูต จบสิ้นสัมพันธ์ ใบหน้าเสวียนจีขาวยิ่งกว่ากระดาษขาว เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้า…ไม่เชื่อ”
หงส์แดงจูเชวี่ยที่เงียบอยู่ข้างๆ มาตลอดกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ อูเซียงไม่ได้หลอกท่าน พันธะสัญญาถอนกันเช่นนี้ แต่อูเซียง เรื่องนี้ต้องให้นางยินยอมเอง เจ้าบีบคั้นนางได้อย่างไร”
อูเซียงกล่าวว่า “มกรก็นับว่าเป็นสหายเจ้า เจ้าดีใจที่เห็นเขาต้องจบชีวิตไปกับพันธะสัญญาที่ตนเองไม่ได้ยินยอมหรือ”
หงส์แดงจูเชวี่ยไร้วาจาจะกล่าว อึ้งเป็นนานก่อนจะถอนหายใจ หันหลังไม่พูดอะไรอีก
เสวียนจีอึ้งมองมือขวาตนเองที่ไม่อาจขยับ ตอนนั้นนางใช้มือนี้ผูกพันธะสัญญากับมกร ต้องตัดทิ้งจริงหรือ วันหน้านางก็ไม่มีมือขวา? แต่หากไม่ตัดทิ้ง อูเซียงกล่าวได้ไม่ผิด นางจะทำมกรเดือดร้อนไปด้วย เดิมเขาถูกกักบริเวณก็ไม่มีเรื่องอะไร เป็นนางเองที่มาเขาคุนหลุน พันธะสัญญานี้หากไม่ถอน เขาเป็นสัตว์ภูตนาง ก็น่าจะเหมือนกับถิงหนู ดีไม่ดีอาจต้องมีโทษฐานสมรู้ร่วมคิดอะไรนั่นด้วย
นางยิ่งคิดยิ่งทำใจไม่ได้ พยายามกลั้นน้ำตาที่จะทะลักออกมา
ถือสิทธิ์อะไร? นางไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย หรือพวกเขาต้องจับทุกคนที่เคยคุยกับอู๋จือฉีไปสังหารทิ้งให้หมด ในใจนางเริ่มปล่อยไอสังหารแล้ว พลันนึกถึงคำพูดอวี่ซือเฟิ่ง ได้แต่พยายามอดกลั้นไว้ มาถึงที่นี่แล้ว นางไม่อาจผละทิ้งไปโดยง่าย
นางพยายามคิดหาทางรับมือ พลันได้ยินมกรด้านหลังกล่าวว่า “ข้าไม่อยากให้นางถอนพันธะสัญญา! เจ้าจอมเวทนี่ยุ่งให้มันน้อยหน่อย!”
เสวียนจีอึ้งมองมกร สวรรค์ นี่คือวาจาจากปากมกร? นางได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เมื่อครู่เขาไม่ได้เอาแต่ตะโกนจะให้นางถอนพันธะสัญญาหรือ
อูเซียงน้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวว่า “เรื่องพันธะสัญญาเจ้าไม่มีสิทธิ์พูด ล้วนเป็นการตัดสินใจของเจ้านายเจ้า แต่ขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าได้เอาแต่ทำผิดต่อความเมตตาที่ไป๋ตี้มีให้เจ้า ไม่ว่าโปรดปรานสักเท่าไรก็ย่อมมีขอบเขต”
“เกี่ยวบ้าอะไรกับเจ้าด้วย!” มกรเจ็บจนเหงื่อหยด พยายามฝืนตวาดดังว่า “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
อูเซียงไม่สนใจเขาอีก หันไปพูดกับเสวียนจีคนเดียวว่า “เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือยัง จะถอนพันธะสัญญาไหม หากเจ้าไม่ถอน ก็ไม่ต้องกล่าววาจาเหลวไหลมากมายอีก วันนี้ข้ามาที่นี่ตัดสินโทษประหารนักโทษเช่นพวกเจ้าแทนราชันสวรรค์!”
เสวียนจีกัดฟันยกมือซ้ายจับกระบี่เปิงอวี้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “มกร อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เจ้านายที่ดีอะไร มาถึงตอนนี้ยังทำเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าเองก็ดูแคลนตัวข้าเอง วันนั้นเจ้า…เอาแต่เรียกให้ข้าถอนพันธะสัญญา ข้าไม่ได้รับปากเจ้า ยามนี้ข้ารับปากแล้ว หนึ่งมือเท่านั้น ไม่ได้อะไรใหญ่โต อย่างนั้น…ก็เช่นนี้ละกัน!”
นางยกกระบี่เปิงอวี้ขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของหลิ่วอี้ฮวน นางเล็งก่อนตัดมือขวาตนเอง!
ยามนั้นมกรไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน กระโดดขึ้นสะบัดเลือดจากบาดแผลทั้งหมดใส่อูเซียง เลือดมกรร้อนยิ่งกว่าน้ำมันเดือด อูเซียงรู้ความร้ายกาจดี ไม่กล้าปะทะโดยตรง ได้แต่เหินหลบไปอย่างรวดเร็ว พอเหินหนีเช่นนี้ มีดสั้นในมือเขาก็ไม่อาจจี้อยู่ที่ตัวเสวียนจี
“ยัยซื่อบื้อ! ยังไม่เรียกชื่อข้าอีก?!” มกรคำรามดัง
ครึ่งท่อนร่างของเสวียนจีอยู่ๆ ก็ขยับได้ ยามนี้ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้อีก ก็พลันเข้าใจความหมายเขา เพียงแต่มือซ้ายใช้แรงมากไป ดึงกลับมาไม่ทัน นางยื่นมือขวาออกไปกดกระบี่เปิงอวี้ลงพื้นดังลั่น นางกดไว้แน่น ตามมาด้วยเรียกชื่อเขา “มกร!”
ปีกเพลิงด้านหลังมกรสยายออก เปล่งลำแสงสีฟ้าครามโปร่งแสงออกมา กระพือออกห่อร่างอูเซียงไว้หมด อูเซียงวางนิ้วชี้มือซ้ายไว้ที่ริมฝีปาก ไม่รู้ท่องคาถาอะไร อีกมือห้านิ้วแตกบนหลังมือซ้ายเบาๆ เสวียนจีกับมกรรู้สึกได้ถึงพื้นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน พลันกระโดดยกตัวขึ้น ได้ยินเพียงเสียง ครืน ดังขึ้น พื้นที่พวกเขายืนอยู่ถูกของบางอย่างอัดจนเป็นหลุมลึกลงไป
เมื่อครู่ที่โจมตีขมับมกรก็คงเป็นพลังประหลาดนี้ คิดแล้วน่าจะเป็นความสามารถของอูเซียง ถูกเขาลงมือเช่นนี้ ปีกเพลิงมกรย่อมไม่อาจหุ้มร่างเขาไว้ได้ อัคคีสวรรค์เก้าชั้นรุนแรงเกินไป ใครโดนเป็นต้องกลายเป็นเถ้า เขากล้าเพียงใดก็ไม่กล้าบังอาจใช้อัคคีสวรรค์เก้าชั้นที่เขาคุนหลุน จึงรีบเก็บปีกเพลิงกลับทันที
เสวียนจีเล็งช่องโหว่อูเซียงได้แล้วก็แตะปลายเท้าว่องไว กระบี่เปิงอวี้ปล่อยลำแสงแสบตาออกไป เข้าครอบเขาไว้ตรงกลาง ผู้ใดจะรู้ว่าขาขวาเขากระทืบเต็มแรง ทั้งร่างก็ราวกับสายลมสลายไปในพริบตา หายตัวไปอย่างไร้แม้เงาในทันที ได้ยินเสียงเขาแว่วมาจากที่ไกลออกไป “ดื้อดึงไม่สำนึก! เจ้าหนุ่มไร้มารยาท!”
มกรเห็นเขาไปแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก บาดแผลที่ท้องเริ่มเจ็บอีกครั้ง เข่าอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น เริ่มส่งเสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวด