บทที่ 390 อ๋องเย่เกรงกลัวภรรยา

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 390 อ๋องเย่เกรงกลัวภรรยา
แม่ทัพฉีนั้นเป็นกังวลจึงตามฉีเฟยอวิ๋นไปยังสวนดอกกล้วยไม้ เมื่อเข้าประตูไปแม่ทัพฉีก็รีบถามฉีเฟยอวิ๋นว่า: “อวิ๋นอวิ๋นครรภ์เจ้ากระเทือนจริงหรือ?”

“ท่านพ่อ ข้าโกหกพวกเขา จัดการคดีกับพวกเขานั้นทุกอย่างข้าเป็นคนทำทั้งสิ้น พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยช่างไม่ไม่เป็นธรรมเลย

ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าช่วยเหลือจัดการคดีแต่ข้าเป็นผู้กระทำทุกอย่าง

ก็ควรให้พวกเขาทำเองได้แล้ว”

แม่ทัพฉีรู้สึกว่ามีเหตุผล

“เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นเจ้าพักผ่อนให้ดี พ่อจะหาคนมาปรนนิบัติเจ้า” แม่ทัพฉีกลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงรีบเร่งออกไปหาคน

ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของแม่ทัพฉี: “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้เอะอะตื่นตูมไปข้ายังมีเรื่องที่จะหารือกับท่าน”

แม่ทัพฉีถึงหยุดแล้วถามฉีเฟยอวิ๋น: “เรื่องใด?”

“ท่านพ่อ ข้าอยากออกไปหาท่านอ๋องดูรอบหนึ่งเขาไม่กลับมาในใจของข้ารู้สึกเป็นกังวลอยู่ตลอดจึงอยากไปหาเขา”

เมื่อแม่ทัพฉีได้ยินว่าลูกสาวที่ตั้งครรภ์อยู่ต้อการไปหาลูกเขยจึงได้ตกใจวุ่นวายสับสนจนทำสิ่งใดไม่ถูก แล้วก็ได้ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นธรรมดา

ฉีเฟยอวิ๋นจำต้องขู่แม่ทัพฉีแล้วหันศีรษะไป: “ท่านพ่อ ข้าแค่คิดถึงเขาแล้วหากว่าท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าไปหาเขา ข้าจะไม่ทานข้าวแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะอดอาหารจนกว่าเขาจะกลับมา”

“แผลงฤทธิ์ นี่เจ้าต้องการทำให้พ่อตกใจตายหรือ? เขาไปออกรบเจ้าจะตามไปวุ่นวายสิ่งใดด้วย ยิ่งกว่านั้นหลายปีที่ผ่านมาที่พ่อออกไปเจ้าก็ไม่ได้ไม่เชื่อฟังเช่นนี้” แม่ทัพฉีรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เขาเป็นผู้ที่เลี้ยงดูลูกสาวจนเติบใหญ่กลับถูกเจ้าหนุ่มนั่นแย่งไปซะแล้ว

ตอนนี้ใจใจลูกสาวเต็มไปด้วยคนผู้นั้น ผู้เป็นพ่อหดหู่ใจซะแล้ว

“ท่านพ่อ ไม่เหมือนกันนะ ท่านพ่อออกไปก็จะส่งข่าวกลับมา ข้าก็เคยคิดที่จะไปหาท่านพ่อแต่ในเวลานั้นยังเยาว์วัยและไม่มีโอกาสได้ไป

ตอนนี้ข้าเติบโตแล้วและสวามีของข้าอยู่ภายนอกโดยไร้ซึ่งข่าวคราว เช่นนั้นแล้วข้ายังไปหาไม่ได้หรอกหรือ? ”

แม่ทัพฉีเห็นลูกสาวเป็นดั่งชีวิต ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใดก็คือสิ่งนั้น แม้ว่าจะหดหู่ใจอยู่บ้างแต่ลูกสาวแค่ปลอบใจก็หายแล้ว แต่เรื่องนี้นั้นเขาไม่กล้าประมาท

“ภายนอกนั้นไม่ใช่เมืองต้าเหลียงแล้วยิ่งไม่ใช่เมืองหลวง ออกไปนั้นช่างอันตรายยิ่งนัก อย่าว่าแต่คน สิงโตและเสือก็ไม่เชื่อฟัง

เจ้าก็อยู่ที่เรือนเถอะนี่ยังมีลูกด้วย

ยิ่งกว่านั้นเจ้าก็ไม่เคยออกไป หากเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะให้พ่อทำเช่นไร? ”

แม่ทัพฉีน้ำตาไหลรินร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกลัวที่สุดแล้วนางก็รีบดึงแม่ทัพฉีให้นั่งลง: “ท่านพ่อท่านอย่าทำเช่นนี้ เช่นไรท่านก็เป็นถึงท่านแม่ทัพอย่าได้ร้องไห้

นอกจากนี้ข้าโตแล้วเช่นไรก็ต้องออกไปดู จึงถือโอกาสนี้ออกไปดูซะเลย”

“เจ้าอยากดูก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าเพียงลำพังผู้เดียวนั้นพ่อไม่ว่างใจ อีกอย่างเจ้าไม่สามารถรอลูกเขยกลับมาได้เลยหรือ?”

“รอไม่ไหวแล้ว แม้แต่ฝันข้าก็ยังฝันถึงเขา”

แม่ทัพฉีหน้าแดง เด็กผู้นี้ช่างไร้ยางอายนัก

“อวิ๋นอวิ๋นไม่ใช่ว่าพ่อจะไม่เป็นห่วงเขา แต่ลูกเขยนั้นไม่มีเหตุใดได้หรอก เขามีความสามารถนัก”

“ท่านพ่อ ข้าอยากไป ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทานอาหาร”

พ่อกับลูกสาวพูดคุยกันอย่างไรก็ไม่เข้าใจกัน ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้หยุดกล่าว

แม่ทัพฉีกระวนกระวายใจแล้วเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น เดินครู่หนึ่งพร้อมหยุดครู่หนึ่งและเหลือบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นแล้วถอนหายใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะอั้นไว้ไม่อยู่ข่มขู่ออกมา ทำให้ท่านแม่ทัพเป็นห่วงแทบแย่แล้ว

“อวิ๋นอวิ๋น หรือไม่รอก่อนสองวัน อีกสองวันไม่กลับมาค่อยไปหา” แม่ทัพฉีต้องการระงับฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ เขากลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะอดอาหารจนหิวแย่

ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็ไม่ได้รอสองวันไม่ได้ จึงได้ลุกขึ้นนั่งแล้วถามว่า: “จริงหรือ?”

เมื่อแม่ทัพฉีเห็นว่าได้ผลก็เลยกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “จริงแท้แน่นอน เพียงแค่อวิ๋นอวิ๋นเชื่อฟังพ่อจะส่งนกพิราบสื่อสารไปถามเขาว่าจะกลับมาเมื่อใด หากว่าสองวันให้หลังเขายังไม่ตอบและยังไม่กลับมา พ่อก็จะยอมให้ลูกไปหาเขา”

“ก็ได้ ข้าจะรออีกสองวัน” ฉีเฟยอวิ๋นรับปากแล้วแม่ทัพฉีก็เบาใจ

“อวิ๋นอวิ๋น นิสัยของเจ้านั้นเหมือนกับแม่เจ้าไม่มีผิด ดื้อรั้นกันทั้งคู่”

“ท่านแม่ก็เป็นสตรีที่งดวามหรือ”

“แน่นอน แม่ของเจ้าไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้นแต่นางยังเป็นคนมีเหตุผลและจิตใจดีอีกด้วย” แม่ทัพฉีนึกถึงแม่ของฉีเฟยอวิ๋นแล้วสายตาก็มองไปยังที่ไกลแล้วเขาก็ไม่กล่าวต่ออีก

ทุกครั้งที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นท่าทางเช่นนี้ของแม่ทัพฉี นางก็รู้สึกได้จากใจได้ว่าพ่อของนางเป็นผู้ที่ภายนอกกล้าหาญภายในอ่อนโยน และจะต้องเป็นผู้ที่มีเรื่องราวในเวลานั้นเป็นแน่

แม่ทัพฉีจากไปกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพก่อน เขาวางแผนว่าจะกลับไปหยิบเสื้อผ้าสองสามตัวเพื่อมาเฝ้าดูฉีเฟยอวิ๋นที่จวนอ๋องเย่หลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกสาวแอบจากไป

แม่ทัพฉีไปแล้วมู่เหมียนก็มา

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นมู่เหมียนก็รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ตั้งแต่ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่พาจากไปคราวก่อน นางก็ไม่ได้เข้ามาที่จวนอ๋องเย่เลย หลายครั้งที่มาก็ถูกขวางไว้ที่ด้านนอก

พ่อบ้านบอกว่าอ๋องเย่ไม่ให้เข้าและขอให้นางอย่าได้ทำให้เขาลำบากใจ

คนอื่นๆเมื่อเห็นนางมาก็เป็นเช่นเดียวกัน พอได้ยินเสียงก็เกรงกลัวแทบแย่ แทบจะอยากปิดประตูจวนอ๋องเย่ให้แน่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางเข้ามา

วันนี้นางได้รับเชิญจากอาอวี่นางรู้สึกเหน็บแนมเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าครอบครัวของจวนท่านอ๋องเจ็ดเกิดเรื่องกับทั้งผู้ชราและเด็ก ทั้งยังจับกุมนักดีดพิณอีกด้วย

เมื่อมู่เหมียนเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ถามด้วยความโมโหว่า: “ท่านหาข้าด้วยเหตุอันใด? คิดถึงข้าขึ้นมาแล้วหล่ะสิ จวนท่านอ๋องเจ็ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า หากข้าต้องการจะสังหารก็จะไปสังหารผู้คนของจวนท่านอ๋องหก”

รู้ว่ามู่เหมียนยังคงผูกใจเจ็บกับเรื่องของไป๋ซู่ซู่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากนัก

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้ท่านเข้ามาแต่เป็นท่านพี่ของท่าน” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่ามู่เหมียนขุ่นเคืองและนางก็รู้ว่าช่วงระยะเวลาใกล้ๆนี้มู่เหมียนไม่ได้มาแค่ครั้งเดียวมาตั้งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งถูกขวางไว้ด้านนอก

จริงอยู่ที่หนานกงเย่วิปริตไปสักหน่อยต่อสตรีก็หึงหวงด้วย สั่งการว่าหากผู้ใดปล่อยมู่เหมียนเข้ามาจะถูกโบยหนึ่งร้อยกระดาน เช่นนั้นผู้ใดก็ต้องกลัวความเจ็บปวดตรงก้นอยู่แล้วจึงไม่มีผู้ใดกล้าปล่อยให้มู่เหมียนเข้ามา

คาดการณ์ว่าวันนี้ที่เชิญมู่เหมียนมา ผู้คนด้านนอกนั้นไม่รู้ว่าจะเกรงกลัวกันมากเท่าใด

“ท่านพี่ของข้าก็เชื่อฟังท่าน ภายนอกผู้ใดจะไม่รู้ว่าอ๋องเย่นั้นเกรงกลัวภรรยา เขากลัวท่านราวกับหนูที่เจอแมว?” มู่เหมียนมองบนใส่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนั่งลง: “ทานของว่างสิ พวกเราทานของว่างกันเถอะ”

มู่เหมียนนั่งลง: “มีเรื่องใดก็กล่าวมาพูดมากมายน่ารำคาญไปทำไมกัน มิใช่ว่าไปทำเรื่องที่ให้ผู้อื่นพบเห็นไม่ได้แล้วต้องการให้ข้าช่วยใช่หรือไม่?

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ: “ท่านช่างเข้าใจดีนัก มีเรื่องที่ไม่สามารถให้ผู้อื่นพบเห็นได้จริงๆต้องการให้ท่านช่วยเหลือ”

“ว่ามาเถอะ” มู่เหมียนนั้นเป็นผู้มีความชอบธรรมนัก ฉีเฟยอวิ๋นชอบความชอบธรรมเช่นนี้ของมู่เหมียน

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าอยากจะไปหาท่านพี่ของท่านแต่ต้องเก็บเรื้องนี้เป็นความลับ ข้าบอกกับผู้อื่นแล้วว่าครรภ์ข้ากระทบกระเทือนและต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่ต้องหาคนปลอมตัวเป็นข้า

ข้าบอกกับท่านพ่อแล้วแต่เขาไม่ยินยอมให้ข้าไป

ท่านยังจะปิดบังพ่อของท่าน”

มู่เหมียนมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง: “ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าจะยอมตกลงช่วยท่าน?”

“ความรู้สึก ท่านกับข้าเป็นสหายที่รู้ใจกัน ตอนนี้นอกจากพระชายาอ๋องตวนแล้วข้าก็รู้จักท่าน ทุกคนในเมืองหลวงนั้นเห็นข้าแล้วราวกับเห็นหนูเช่นนั้น และพวกเขาก็ไม่ชอบเล่นกับข้า ข้าจึงทำได้เพียงแค่หาท่าน”

มู่เหมียนกลับไร้ซึ่งคำกล่าว

“หากท่านไม่ยอมรับปากเช่นนั้นข้าก็คงยังไม่ไป” ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไร้ซึ่งหนทางอื่นจริงๆ

มู่เหมียนเลิกคิ้ว: “ตอนนี้ท่านก็ถือว่าข้าเป็นสหายที่รู้ใจของท่าน ข้ามายังจวนอ๋องเย่ของท่านหลายครั้งหลายครา ขณะที่ท่านปล่อยข้าอยู่นอกประตูนั้นท่านอยู่ที่ใดกัน?”

“ข้าบอกแล้วว่านั่นคือความต้องการของท่านพี่ของท่าน คราวก่อนที่ท่านนอนอยู่กับข้าถูกเขาเห็นเข้า เขาผูกใจเจ็บต่อเรื่องนี้และสั่งไม่ให้ข้าติดต่อกับท่าน ไม่เช่นนั้นเขาจะสั่งสอนข้า

ท่านเชื่อสิ่งที่ภายนอกกล่าว ท่านพี่ของท่านเกรงกลัวภรรยาหรือไม่ท่านมองไม่ออกหรือ?

ถึงแม้ว่าจะกลัวภรรยาก็เป็นกับในบางเรื่อง หรือว่าเรื่องอิจฉาและหึงหวงยังจะเกรงกลัวภรรยาหรือ?

เช่นนั้นก็เป็นบุรุษผู้ไร้ซึ่งความสามารถแล้ว”