ตอนที่ 402 อำเภอผิงหลิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลงแล้ว

แต่นายอำเภอจางเหวินฮั่นในอำเภอผิงหลิงก็ยังคงมีเรื่องต้องให้ปวดหัวอยู่มากมาย

กงเซินจ่างสมควรตาย กองทัพทางเหนือเข้าไปที่ภูเขาผิงหลิงเพื่อปราบปรามโจร การเคลื่อนทัพใหญ่ ก็จำเป็นต้องมีเสบียงจำนวนมาก

ได้ยินมาว่ากรมคลังจัดสรรเสบียงมากมายส่งมาทางเมืองซินเฉิงแล้ว หย่งหนิงโจวที่อยู่ภายใต้อำเภอผิงหลิงนั้นก็ยังคงมีเสบียงเหลืออยู่มากมาย

เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว หย่งหนิงโจวมีหิมะตกหนักเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหิมะที่ตกตามฤดูกาลจะเป็นปีที่ผลการเก็บเกี่ยวดี หย่งหนิงโจงแห่งนี้หิมะตกหนักเสียจนกลายเป็นภัยธรรมชาติ

บ้านเรือนมากมายทรุดตัวลง ชาวบ้านมากมายต่างก็อพยพออกไป ถึงแม้ว่าอำเภอผิงหลิงเองจะให้การช่วยเหลือ แต่โรงเก็บเสบียงก็ยังว่างเสียจนกระทั่งหนูยังมิคิดที่จะแวะเวียนมา การช่วยเหลือนี้จะช่วยอะไรได้บ้างเล่า ?

กงเซินจ่างฉวยโอกาสในตอนนั้น เปิดรับสมัครผู้ที่อพยพจำนวนมาก

พวกเขาได้ละทิ้งบ้านเรือนที่พังทลาย เพื่อที่จะได้กินอาหารสักมื้อพวกเขาถึงกับต้องเข้าไปในป่าลึกแห่งนั้นเพื่อที่จะไปเป็นโจร

ด้วยเหตุนี้ทำให้จำนวนประชากรที่เตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิลดลงมามากนัก คาดมิถึงว่าอำเภอผิงหลิงจะมีที่รกร้างว่างเปล่าอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นาเหล่านั้นล้วนก็เป็นดินจืด ให้ผลผลิตต่ำเป็นอย่างมาก หากตัดภาษีออกไปก็เพียงพอที่จะทำให้อิ่มท้องได้เท่านั้น

ชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หากมีช่องทางสักเล็กน้อยก็พร้อมที่จะเดินจากไปแล้ว แม้แต่นายอำเภอคนก่อนของอำเภอผิงหลิงก็ยังหนีไปเลย อย่าว่าแต่จะได้แตะน้ำมันเล็กน้อยเลย แม้แต่ไขกระดูกของตนก็ต้องถูกสถานที่ทรุดโทรมแห่งนี้ต้มเสียจนแห้ง !

จางเหวินฮั่นในตอนนั้นตั้งปณิธานไว้อย่างแรงกล้าในการมาที่นี่ หลังจากนั้นก็มีปณิธานแรงกล้าที่จะทำกิจการสักครา นี่เพิ่งจะผ่านมาเพียง 9 เดือนเท่านั้น แต่กำลังใจของเขาก็เหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว

เคยเป็นถึงผู้นำบัณฑิตแห่งหลินเจียง เคยเป็นคุณชายที่กระฉับกระเฉง ยามนี้ถูกเคี่ยวกรำเสียจนมิเป็นผู้เป็นคน

เขาดูซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เดิมขาวใสสะอาดมีเลือดฝาด ยามนี้เปลี่ยนเป็นหมองคล้ำมิเปล่งประกายอีกต่อไป

มือที่เคยจับพู่กันเขียนกวีคู่นี้ ยามนี้เปลี่ยนเป็นหยาบกร้านเหมือนชาวนา ที่นาที่ถูกทิ้งร้างเหล่านั้น เขาเคยนำขุนนางเกือบจะทุกคนที่อยู่ในศาลาว่าการแห่งนี้ไปทำนามาแล้ว !

ด้วยเหตุนี้ เขาถึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำนามิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริง ยามเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว กลับค้นพบว่าผลผลิตและการทุ่มเทมิสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง ที่นาหนึ่งหมู่ผลิตเมล็ดข้าวได้เพียงร้อยกว่าชั่งเท่านั้น !

เทียบกับที่หลินเจียงยังได้มิถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ !

อีกทั้งชาวนายังต้องทำงานหนักกว่าที่หลินเจียงอีกหลายเท่า!

เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความคิดที่จะทำนาปลูกข้าวเพื่อพลิกฟื้นสถานที่แห่งนี้ เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น

ทางราชสำนักได้นำอำเภอผิงหลิงเข้าเป็นพื้นที่การทดสอบเศรษฐกิจ แต่หากกงเซินจ่างนั้นยังมิตาย อย่าว่าแต่จะดึงดูดพ่อค้ามาลงทุนเลย แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังมิยอมมายังที่แห่งนี้

พ่อของเขากล่าวในจดหมายว่า ลูกชายเอ๋ย ยามนี้เจ้าลำบากเพียงผู้เดียว หากพ่อไปอยู่กับเจ้าที่นั่นเพื่อสร้างโรงงงานทอผ้า เกรงว่าจะต้องลำบากทั้งครอบครัวเป็นแน่ !

เยี่ยงนี้ผู้ใดจะกล้ามากัน ?

ทุ่มทรัพย์สินเงินทองลงไป เพื่อรอให้กงเซินจ่างมาคอยรีดไถเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่ฟู่เสี่ยวกวนยกขึ้นมานั้นมิผิด แต่กงเซินจ่างยังมิถูกกำจัด กลยุทธ์เหล่านั้นจึงมิอาจใช้ในผิงหลิงแห่งนี้ได้ แม้ว่าหย่งหนิงโจวจะกว้างใหญ่ไพสาลถึงเพียงใดแต่ก็มิอาจจะดำเนินการได้

“ท่านนายอำเภอขอรับ อีกสามวันก็จะถึงเวลาแจกจ่ายเสบียงคราสุดท้ายแล้ว นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากราชสำนัก หากมิส่งมอบไปให้…”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เขามองดูใบหน้าของจางเหวินฮั่นที่ดูอึมครึมราวกับฝนใกล้จะตก แต่ก็ยังเลือกที่จะกล่าวต่อไป

“ท่านขุนนางทุ่มเทเพื่อผิงหลิง ข้าเองก็เห็นอยู่กับตา เยี่ยงไรเสียสถานที่แห่งนี้ก็เป็นแบบนี้มานับพันปีแล้ว ในยามนี้ยังมีหิมะเพิ่มความหนาวเข้าไปอีก ข้าน้อยคิดว่านายอำเภอเยี่ยนหลินชิวกับท่านขุนนางเคยอยู่ที่จินหลิงมาช้านาน ท่านขุนนางเยี่ยน เยี่ยนหลินชิวเป็นหลานชายของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ที่ชวูอี้ของเขานั้นเหมือนว่าจะมีเสบียงเก็บไว้ แต่กระนั้นก็…”

จางเหวินฮุ่นพยักหน้า “เตรียมรถเถอะ ข้าจะไปเยือนชวูอี้สักครา ต้องรับมือกับเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน หวังว่าท่านนายพลเผิงจะจับกุมกงเซิงจ่างได้ ! ”

ผู้อาวุโสลงไปเตรียมรถม้า จางเหวินฮั่นนั่งอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่า ในใจของท่านนายพลเผิงยามนี้คาดว่าคงติดอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง การปราบปรามโจรหากเป็นการรบที่ยืดยาว…อำเภอผิงหลิงจะแบกรับภาระการจัดหาเสบียงที่ยาวนานนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

แม้ว่าเขาจะเก็บเสบียงอาหารของอำเภอผิงหลิงได้น้อยเป็นอย่างมาก แต่ผิงหลิงเองก็ยากที่จะดูแลมานานแล้ว ยังอยากจะขอร้องทางราชสำนักให้ส่งเสบียงมาให้ตนเองสักหน่อยอยู่เลย ยังจะมีที่ใดสนับสนุนเสบียงเพื่อการทำสงครามนี้อีก

หากฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมานั่งในตำแหน่งนี้ เขาจะจัดการเยี่ยงไรกัน ?

จางเหวินฮั่นคิดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา เขาเป็นคนที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ราชวงศ์หยูดำเนินกลยุทธ์การค้าและการเกษตรในยามนี้ได้ถูกต้องแล้ว น่าเสียดายที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้ตายจากไปแล้วที่ราชวงศ์อู๋ เป็นอัจฉริยะที่น่าอิจฉาอย่างแท้จริง

แต่ก่อนตอนอยู่ที่จินหลิง ตัวเขายังมีความแค้นมากมายกับฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้เมื่อมองย้อนกลับไปเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องตลกในตอนเยาว์วัยก็เท่านั้น

บทความและบทกวี มิสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป

แม้แต่การศึกษาปราชญ์ จางเหวินฮั่นในยามนี้ก็มิได้สัมผัสมาเนิ่นนานแล้ว

มิมีเวลา และมิมีจิตใจไปสนใจใคร่รู้

ราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองยังมีกินมิอิ่มท้องเลยด้วยซ้ำ ยังจะคิดถึงบทความกับบทกวีอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? เรื่องนั้นเดิมทีก็เป็นมิได้อยู่แล้ว

ถึงช่วงปลายเดือนเก้าแล้ว และในท้ายเดือนสิบ หิมะก็จะตกลงมาอีกครา

ฤดูหนาวนี้…

จางเหวินฮั่นเดินออกจากประตูศาลาว่าการที่ผุพัง พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาสีฟ้าสด “สวรรค์ ฤดูหนาวนี้อย่าได้มีหิมะตกหนักอีกเลย โปรดให้ทางรอดกับพวกชาวบ้านสักทางเถอะ ! ”

……

จางเหวินฮั่นเดินทางไปอำเภอชวูอี้เพื่อหยิบยืมเสบียง กลุ่มพ่อค้าที่ฟู่เสี่ยวกวนติดตามมาก็ได้มาถึงที่ผิงหลิงอี้พอดี

เพียงแต่พวกเขามิได้เข้าเมือง ในขณะนี้กำลังหยุดพักเหนื่อยอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกล

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงใส่งอบและสวมหน้ากาก กองทัพดาบเทวะ 4,000 นายต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี

เขายืนอยู่ข้างแปลงนามองไปที่หมู่บ้านแห่งนี้ พลางขมวดคิ้วเบา ๆ

ในขณะนี้เป็นเวลายามอู่แล้ว แต่ในหมู่บ้านกลับมิมีควันไฟของการปรุงอาหารเลย แม้กระทั่งเสียงสุนัขเห่ายังมิมี

เขาและไป๋ยู่เหลียนได้ออกจากกลุ่มพ่อค้ามาแล้ว และได้เดินไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น ถึงได้พบว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านเรือนรกร้างอยู่จำนวนมาก

พวกเขาพบชายชรานั่งตากแดดบนเก้าอี้ที่ผุพังอยู่คนหนึ่ง จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้าไปทำให้ชายชราผู้นั้นตกใจเป็นอย่างมาก

“ท่านปู่ ผู้คนในหมู่บ้านเล่า ? ”

ชายชรามองฟู่เสี่ยวกวนกับไป๋ยู่เหลียน สองคนนี้เห็นได้ชัดว่ามาจากต่างถิ่น แต่งตัวดูภูมิฐาน ต้องเป็นผู้ที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน

“ผู้คนเยี่ยงนั้นหรือ ? ภัยหิมะเมื่อปีที่แล้วผู้คนได้อพยพออกไปกว่าครึ่ง เข้าไปในภูเขา เพื่อไปเป็นโจร ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ดังนั้นอีกครึ่งที่เหลือก็ได้ตามไปด้วย หมู่บ้านจ้าวเจียถุนแห่งนี้เดิมมีแปดร้อยหกสิบกว่าคน ยามนี้เหลือเพียงยี่สิบกว่าคน เท่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นคนแก่ชรา…”

“คุณชายทั้งสองมาทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มและกล่าว “พวกข้าเป็นพ่อค้าหาบเร่ ผ่านมาทางนี้พอดี”

“อือ มาทำการค้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”ชายชราผงกหัว ด้วยใบหน้าถากถาง “พวกเจ้าทำการค้าได้พิเศษนักถึงได้กล้ามาถึงที่นี่ หากมีคนไปเอ่ยกล่าวกับโจรในภูเขานั่น พวกเจ้าทุกคนคงมิมีชีวิตรอด ! ”

“ราชสำนักกำลังปราบโจรอยู่มิใช่หรือ ? ”

ชายชราหัวเราะออกมา “ปราบโจรเยี่ยงนั้นหรือ ? ปราบมารดามันสิ ! ต่อให้ท่านแม่ทัพกงถูกปราบแล้ว แต่ก็ยังมีท่านแม่ทัพเจียง ท่านแม่ทัพหลี่ขึ้นมาอยู่ดีมิใช่หรือ ? ”

“หากชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ เยี่ยงไรก็ปราบมิหมดหรอก มิใช่ว่าข้ามิอยากจากที่แห่งนี้ไป ข้าเองก็อยากไปเป็นโจรเช่นกัน ! แต่ติดที่ว่าข้าชรามากแล้ว”

“ท่านปู่ เป็นโจรมันผิดกฎหมาย ! ” ไป๋ยู่เหลียนกล่าวออกมาหนึ่งประโยค

ชายชราคนนั้นหัวเราะ “ผิดกฎหมาย ? ผิดกฎหมายเยี่ยงนั้นหรือ ? ชีวิตสำคัญหรือกฎหมายสำคัญกว่ากันเล่า ? ”