บทที่ 92 เนื้อหอม[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 92 เนื้อหอม[รีไรท์]

ทางด้านของหวงตู้กู่และหวงหลิงซาน ขณะนี้ได้กลับมาถึงเรือนของพวกเขาแล้ว สองพ่อลูกนั่งมองหน้ากันอยู่สักพักโดยไม่พูดอะไรกัน ด้วยความโลภ ในตอนแรกหวงตู้กู่คิดว่าหากเขาทำงานให้กับเจิ้นป่าเจ่าได้สำเร็จ ครอบครัวเขาคงจะได้อยู่สุขสบายไปอีกนาน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาเกือบจะทำให้ลูกสาวตัวเองตายเพราะความโลภ

ในฐานะพ่อตอนนี้เขารู้สึกอับอายที่ต้องเผชิญหน้ากับหวงหลิงซาน

“พ่อไม่คิดว่าโอสถพวกนั้นจะเป็นโอสถคุ้มคลั่ง…”  หวงตู้กู่พูดอย่างขมขื่น “ไม่งั้นพ่อจะไม่สัญญากับเจิ้นป่าเจ่าและพ่อจะไม่ให้เจ้ากินโอสถเหล่านั้นเด็ดขาด!”

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” หวงหลิงซานยิ้มขณะที่นางปลอบโยนพ่อของนาง “ข้ากินแค่เม็ดเดียวดังนั้นพรสวรรค์และอายุขัยของข้าคงไม่ลดลงมากนักหรอก”

“แต่พ่อเกือบทำให้เจ้าต้องตาย!” หวงตู้กู่ตำหนิตัวเอง

“แต่ตอนนี้ข้าก็ยังไม่ตายนี่ท่านพ่อ จริงไหม?” หวงหลิงซานหัวเราะ

หวงตู้กู่รู้สึกละอายใจมากขึ้น เขาสะอื้นและพูดว่า “พ่อเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่โชคดีที่หลิงตู้ฉิงบอกว่าเขาสามารถช่วยเจ้าได้ คนอย่างเขาไม่น่าจะพูดอะไรออกมาเล่น ๆ พ่อจะพาเจ้าไปหาเขาในวันพรุ่งนี้และขอร้องให้เขาลบผลข้างเคียงของโอสถคลุ้มคลั่งให้กับเจ้า ถึงแม้ว่าพ่อต้องแลกด้วยอะไรพ่อก็จะยอมทั้งหมด” หวงหลิงซานเงียบไป นางรู้สึกละอายเล็กน้อยที่จะไปหาพ่อของหลิงยู่ชานเพื่อขอความช่วยเหลือ

เนื่องจากฝ่ายของนางเองที่เป็นคนปองร้ายหลิงยู่ชาน และตอนนี้นางกับพ่อกำลังจะไปหาพ่อของหลิงยู่ชานเพื่อขอความช่วยเหลือให้ลบอาการข้างเคียงของโอสถคลุ้มคลั่ง นางรู้สึกละอายอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามผลค้างเคียงของโอสถคลุ้มคลั่งนั้นมีผลเสียต่ออนาคตของนางเป็นอย่างมาก ในเมื่อนางมีโอกาสที่จะลบผลของมัน นางจึงจำเป็นต้องเก็บความขมขื่นนี้ไว้ในใจ

“ซานเอ๋อ พักผ่อนเถอะ เช้าพรุ่งนี้เราจะไปที่เรือนหลิงหาครอบครัวหลิงกัน” หวงตู้กู่เมื่อกล่าวจบเขาจึงเดินกลับห้องตัวเองไป เขาตัดสินใจอย่างลับๆ ไม่ว่าพรุ่งนี้จะต้องจ่ายแพงแค่ไหนเขาก็จะช่วยลูกสาวของเขาให้ได้

เช่นเดียวกันกับหวงตู้กู่ หยุนซ่งเจียงเองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายของเขากินโอสถคลุ้มคลั่งเข้าไปมากถึงสามเม็ด พวกเขาเองจึงตัดสินใจที่จะไปเรือนหลิงในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อขอร้องกับหลิงตู้ฉิง

ในอีกด้านหนึ่งหลังจากที่ตู้เหลยโตวและอธิการบดีของสถาบันคนอื่น ๆ ต่างได้เห็นศักยภาพของหลิงตู้ฉิงกับลูกชายของเขาแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไปเรือนหลิงในเช้าวันพรุ่งนี้เช่นกัน

เป้าหมายของพวกเขาคือการเชิญบุคคลที่แข็งแกร่งเช่นหลิงตู้ฉิงมาเป็นอาจารย์ในสถาบันของตัวเอง และถ้าพวกเขาไม่สามารถเชิญหลิงตู้ฉิงได้ พวกเขาก็ต้องเชิญเด็ก ๆ ของตระกูลหลิงมาเล่าเรียนที่สถาบันการศึกษาให้ได้!

เช้าวันรุ่งขึ้น

กิจกรรมในเรือนหลิงได้ดำเนินไปตามปกติ ทุกคนตื่นเช้า อาบน้ำ ล้างหน้า แปลงฟันเสร็จจากนั้นมารวมกันที่ลานกลางเรือนเพื่อฟังบทเรียนของถังชี่หยุน

ส่วนสมาชิกใหม่ของเรือนอย่างเสี่ยวเยว่เฟิง ในตอนแรกนางเองคิดว่าบทเรียนของถังชี่หยุนคงไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่เมื่อถังชี่หยุนได้เริ่มบทเรียนขึ้น นางถึงกลับแปลกใจจนต้องนำเก้าอี้ออกมานั่งฟังอย่างตั้งใจ

ชั้นเรียนของถังชี่หยุนในวันนี้ นางจะบรรยายต่อจากชั้นเรียนคราวที่แล้วที่นางเกือบหมดสติไป หัวข้อ กฎแห่งฤดูกาลทั้งสี่ วันนี้นางจะบรรยายถึงกฎของสองฤดูกาลที่เหลือ ฤดูใบไม้ผลิและฤดูเหมันต์

ในระหว่างบรรยาย บรรยากาศในลานกลางเรือนก็เปลี่ยนไป นางสอนทวนจากฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง ซึ่งรอบที่แล้วยังสอนไม่จบ สอนไปได้ครึ่งหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นต่อ ในระหว่างที่บรรยาย ในลานกลางเรือนได้บังเกิดภาพลวงตาเป็นภาพของเหล่าใบไม้สีเหลืองที่แห้งเหี่ยวกำลังร่วงหล่นบนกลางลาน

เมื่อนางบรรยายจนจบบทฤดูใบไม้ผลิ ถังชี่หยุนหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย

เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นถังชี่หยุนหยุด เขายื่นมือไปหามี่ไลเพื่อให้นำหลิงจู้มาให้กับเขา

เมื่อหลิงตู้ฉิงได้รับหลิงจู้มาไว้ในมือแล้ว เขาจึงเริ่มใช้หลิงจู้วาดอักขระเวทย์ขึ้นไปบนอากาศ และปัดมันเข้าใส่ถังชี่หยุน

ถังชี่หยุนเมื่อถูกอักขระเวทย์ที่หลิงตู้ฉิงวาดซัดเข้าใส่ สีหน้าของนางก็เริ่มดีขึ้น นางพยักหน้าไปทางหลิงตู้ฉิงหนึ่งครั้งเป็นการขอบคุณ จากนั้นนางจึงค่อย ๆ เริ่มบรรยายฤดูถัดไปที่เป็นฤดูสุดท้าย ฤดูเหมันต์

เมื่อการบรรยายฤดูเหมันต์เริ่มขึ้น บรรยากาศในลานเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภาพลวงตาของฤดูใบไม้ผลิจางหายไปทันที บรรยากาศที่หนาวเย็นเริ่มเข้ามาแทน ซึ่งแตกต่างจากด้านนอกเรือนโดยสิ้นเชิงที่กำลังร้อนระอุ

หวงตู้กู่ตอนนี้ได้พาหวงหลิงซานได้มาถึงยังหน้าเรือนหลิงแล้ว พวกเขาจึงทำการเคาะประตู

เมื่อเคาะไปได้สักพักกลับไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้ พวกเขาจึงถือวิสาสะลองเปิดประตูเข้าไปด้วยตนเอง

แต่เมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปแล้ว บรรยากาศที่หนาวเย็นภายในลานทำให้พวกเขาถึงกับผงะ แต่ถึงจะหนาวเย็นพวกเขากลับไม่ได้หยุดฝีเท้า พวกเขาเดินเข้ามาใกล้กับจุดที่คนในเรือนหลิงนั่งกันอยู่ จนได้ยินการบรรยายของถังชี่หยุน

ในเวลาเดียวกับที่หวงตู้กู่พึ่งเข้าไป หยุนเฟยหาวและหยุนซ่งเจียงพ่อของเขาก็ได้มาถึงที่เรือนหลิงเช่นกัน พวกเขาที่เห็นประตูถูกแง้มอยู่เล็กน้อยจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปเหมือนกับหวงตู้กู่ จากนั้นพวกเขาสองคนพ่อลูกก็มีอาการเดียวกับหวงตู้กู่และหวงหลิงซานที่มาก่อนหน้าพวกเขา

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงได้เดินทางมาถึงและก็เข้าไปในเรือนหลิงแล้วก็ยืนหยุดฟังนิ่งตะลึงค้างกับการบรรยายของถังชี่หยุนเหมือนกับทุกคนที่มาก่อนหน้าพวกเขา

จากนั้นบรรดาพวกเจ้าของสถาบันต่าง ๆ รวมถึงตู้เหลยโตวก็ได้มาถึง และทุกคนต่างเข้าไปในลานกลางเรือนหลิงเช่นกัน ส่งผลให้ตอนนี้ในลานเริ่มมีผู้คนยืนออกันจำนวนมากที่ฝั่งทางออกประตูในลานกลางเรือน

บรรดาเจ้าของสถาบันต่าง ๆ เมื่อได้ยินถังชี่หยุนบรรยายพวกเขาจึงได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงยู่ชานถึงได้ฉลาดนัก

เมื่อผ่านไปได้ 1 ชั่วโมง การบรรยายถึงกฎฤดูเหมันต์ได้จบลง ผู้คนที่อยู่ในลานจึงเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มอุ่นขึ้น

จากนั้นถังชี่หยุนจึงเริ่มสอนบทเรียนทั่วไปในหนังสือปกติ อีก 1 ชั่วโมง ชั้นเรียนของถังชี่หยุนจึงจบลง

“วันนี้ ครูขอจบชั้นเรียนแต่เพียงเท่านี้ เอาล่ะแยกย้ายกันไปได้แล้ว” ถังชี่ยหยุนเอ่ยขึ้น

เมื่อถังชี่หยุนเอ่ยจบนางได้หันไปหาหลิงตู้ฉิงและพยักหน้าอีกครั้ง “ท่านหลิง ข้าขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของท่าน หากไม่ได้ท่าน ข้าคิดว่าวันนี้ข้าอาจจะต้องล้มลงไปกับพื้นอีกรอบ”

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาส่ายหัวและพูดขึ้น “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาพลังชีพหวนคืนให้เจ้า เจ้าจะได้ฝึกฝนมันเพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บภายในของตัวเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่จากการบรรยายรอบที่แล้ว”

“ขอบคุณมากท่านหลิง” ถังชี่หยุนยิ้มตอบ และจึงไปเดินหาที่นั่งที่ว่างอยู่ในลานและมองไปยังเหล่าผู้คนที่เข้ามายังลานกลางเรือน

ส่วนบรรดาเด็ก ๆ เมื่อจบชั้นเรียนของถังชี่หยุน พวกเขาจึงได้แยกย้ายกันไปฝึกฝนตามปกติที่เคยได้ฝึกอยู่ทุกวัน

ยกเว้นก็แต่เพียงหลิงยู่ชานที่ยังคงยืนอยู่ เขามองไปยังหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาว และถามขึ้น “พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”

เนื่องจากเมื่อวานหลิงยู่ชานได้หมดสติไปหลังจากปล่อยหมัดสุดท้าย เขาจึงไม่ทราบเรื่องราวของโอสถคลุ้มคลั่งและเรื่องที่หลิงตู้ฉิงรับปากจะรักษาผลข้างเคียงของโอสถให้กับหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาว เขาจึงถามทั้งสองคนด้วยความสงสัย

หวงหลิงซานและหยุนเฟยหาว เมื่อได้ยินคำถามของหลิงยู่ชานพวกเขาก็ก้มหน้าไม่กล้าตอบอะไรออกไป พวกเขาอับอายจนนึกคำพูดไม่ถูก และยิ่งโดยเฉพาะวันนี้ที่พวกเขาได้เข้ามายังเรือนหลิงและได้ฟังชั้นเรียนของถังชี่หยุนพวกเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยมากกว่าหลิงยู่ชานมาก ชั้นเรียนที่พวกเข้าเรียนในสถาบันนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบส่วนของชั้นเรียนที่ถังชี่หยุนบรรยายในวันนี้

“พวกเจ้าเข้ามาหาข้าตรงนี้มา” หลิงตู้ฉิงเรียกเด็กสองคนหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาวที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้วยอาการกระอักอ่วนเดินเข้ามาหา

เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงเรียกลูกของพวกเขา หวงตู้กู่และหยุนซ่งเจียงต่างรีบวิ่งนำลูกของตนเองเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและคุกเข่าลงกับพื้น “นายท่านหลิงได้โปรดเถอะ ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย หากท่านต้องการอะไรท่านบอกข้ามาได้เลย หากข้ามีปัญญาหาให้ท่านได้ ข้าจะหามาให้ท่านทันที!”

เมื่อหลิงตู้ฉิงได้เห็นภาพอันน่าเวทนาของพ่อทั้งสองคนนี้เขาจึงพยักหน้าและใช้พลังวิญญาณพยุงตัวพวกเขาขึ้นให้ลุกขึ้นยืน

หลิงตู้ฉิงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อวาน ข้าได้พูดไปแล้วว่าจะรักษาให้ลูก ๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่เคยผิดคำพูดกับใครและอันที่จริงพวกเจ้าถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่ไม่ได้ใช้โอสถคลุ้มคลั่งไปในจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นข้าเองคงคร้านเกินกว่าจะรักษาให้เช่นกัน”

หลิงตู้ฉิงเริ่มจากหยุนเฟยหาวเขาจับชีพจรและถามขึ้น “เจ้ากลืนไปกี่เม็ด?”

หยุนเฟยหาวรีบตอบทันที “สาม”

“แล้วเจ้าล่ะ?” หลิงตู้ฉิงหันหน้าไปถามหวงหลิงซาน

“ขะ…ข้า กินไป 1 เม็ด…” หวงหลิงซานก้มหน้ามองลงพื้นและตอบ นางกังวลว่าหลิงตู้ฉิงจะเข้ามาจับชีพจรของนางเหมือนกับที่ทำกับหยุนเฟยหาว ถึงนางจะเป็นเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบแต่นางก็เป็นผู้หญิง นางถูกสอนมาว่านางไม่ควรให้ผู้ชายคนไหนมาแตะต้องร่างกายนางนอกจากสามีนางเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้จับชีพจรของหวงหลิงซาน เนื่องจากเขาได้ตรวจสอบอาการของหยุนเฟยหาวไปเรียบร้อยแล้วซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปตรวจสอบอีกคนอีก

หลิงตู้ฉิงใช้เวลาทบทวนความจำอยู่พักหนึ่งก่อนจะสั่งให้มี่ไลไปนำพู่กันกับกระดาษมาให้เขา จากนั้นเขาจึงเขียนรายการสมุนไพรที่จะใช้ในการรักษาเด็กทั้งสองคนนี้ ยื่นให้กับพ่อของพวกเขา

“พวกเจ้ารีบไปหาซื้อสมุนไพรตามรายการที่ข้าได้เขียนไว้ แล้วลูกของพวกเจ้าจะหายดี” หลิงตู้ฉิงสั่งหวงตู้กู่และหยุนซ่งเจียง

หวงตู้กู่และหยุนซ่งเจียง เมื่อได้รับกระดาษรายการสมุนไพรมา พวกเขาจึงรีบวิ่งออกไปจากเรือนหลิงด้วยความตื่นเต้นเพื่อไปหาซื้อสมุนไพรเหล่านี้โดยเร็วที่สุด

“เอาล่ะ ในระหว่างที่รอพ่อของพวกเจ้ากลับมา พวกเจ้าไปเล่นกับยู่ชานตรงนู้นก่อนไป” หลิงตู้ฉิงชี้มือไปยังมุมหนึ่งของลานกลางเรือนที่ยังว่างอยู่ให้พวกเขาจากไป

จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงกลับมาหาเหล่ากลุ่มคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ในลาน

“แล้วพวกท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?” หลิงตู้ฉิงมองไปยังเหล่าอธิการบดีของสถาบันต่าง ๆ เฮ่อเจี้ยนปิง หยิงหวูเจี้ยงและตู้เหลยโตวที่ยืนกันอยู่เต็มไปหมดในลานกลางเรือนของเขา

เฮ่อเจี้ยนปิงได้เดินเข้ามาทันทีและพูดว่า “ข้ากำลังจะกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อไปรายงานเรื่องราวของท่านให้กับอาจารย์ของข้าได้ทราบข้อมูลทุกอย่างที่เกิดที่นี่ ข้าจึงมากล่าวลาท่านก่อนจากไป”

หยิงหวูเจี้ยงเองได้ก้าวเข้ามากล่าวเสริม “ข้าเองก็ตั้งใจจะมาลาท่านเช่นเดียวกับศิษย์พี่ของข้า หากในอนาคตท่านมีปัญหาอะไรท่านสามารถไปหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดความสามารถ”

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินก็โบกมือขึ้นและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านไปกันเถอะ”

เมื่อเห็นเช่นนั้นเฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงจึงโค้งคำนับหนึ่งครั้งและเดินออกจากเรือนหลิงไป

เมื่อเห็นทั้งสองจากไปหลิงตู้ฉิงจึงถามเหล่าคนที่ยังยืนอยู่อีกครั้ง “แล้วพวกท่านล่ะสรุปว่ามีเรื่องอะไร?”

ตู้เหลยโตวเมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงถามขึ้นมาอย่างห้วน ๆ เขาจึงกล่าวตอบไป “ไอ้หนุ่ม นี่เจ้าไม่คิดจะเชิญข้านั่งสักหน่อยรึไง อย่าลืมสิ ปู่ของเจ้าเคยเป็นศิษย์ของข้านะ!”

หลิงตู้ฉิงที่ยังเคืองใจเรื่องที่ลูก ๆ ของเขาถูกขับออกจากสถาบันหงส์เพลิง เมื่อได้ยินตู้เหลยโตวพูดเช่นนี้เขาจึงยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นไปอีก

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและตอบกลับ “ถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา ท่านกำลังทำให้ข้าเสียเวลา!”

ตู้เหลยโตวที่ได้ยินการตอบกลับของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้เขาจึงถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ข้าพึ่งจะรู้เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าและบรรดาลูก ๆ ของเจ้าเมื่อวานนี้เอง อันที่จริงเจ้าต้องเข้าใจข้าบ้าง ข้าเองไม่ได้ควบคุมดูแลเรื่องทุกอย่างของสถาบัน ข้าจึงไม่ล่วงรู้ถึงความอยุติธรรมที่พวกเจ้าได้รับโดยคนตระกูลเจิ้นทั้งหมดก่อนหน้านี้ ที่ข้ามาวันนี้เพื่อมาขอให้ลูก ๆ ของเจ้าได้กลับเข้าไปยังสถาบันหงส์เพลิงเหมือนเดิม และข้าจะยกเว้นค่าใช้จ่ายให้กับลูก ๆ เจ้าทั้งหมด ส่วนตัวเจ้าเอง ข้านั้นยินดีต้อนรับเจ้าอย่างยิ่งให้เข้ามาเป็นหนึ่งในบรรดาอาจารย์ของสถาบันข้า”

เมื่อบรรดาอธิการบดีของสถาบันอื่น ๆ ได้ยินข้อเสนอของตู้เหลยโตวที่กล่าวต่อหลิงตู้ฉิง พวกเขาจึงรีบเดินเข้ามาและแจ้งข้อเสนอกันไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็ว่าจะให้เขาเข้ามาเป็นคณบดีบ้าง หรือบางสถาบันถึงกับบอกให้หลิงตู้ฉิงมาเป็นอธิการบดีของสถาบันแทนเลยทีเดียว

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินข้อเสนอต่าง ๆ เขาจึงตอบกลับแบบตรงประเด็น “สำหรับตัวข้า ข้าไม่มีความสนใจจะไปเป็นอาจารย์ให้สถาบันไหนทั้งนั้น พวกท่านลืมเรื่องเชิญข้าไปเป็นอาจารย์ไปได้เลย และอีกอย่างพวกท่านได้ฟังชั้นเรียนของครูถังแล้วใช่ไหม พวกท่านคิดว่าสถาบันของพวกท่านสอนลูกข้าได้แบบนางรึเปล่า?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตู้เหลยโตวและบรรดาเจ้าของสถาบันต่าง ๆ เริ่มแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เช่นนั้นข้าจะขอเชิญครูถังให้มาเป็นอาจารย์ในสถาบันข้าอีกคน ข้าจะสร้างเวทีขนาดใหญ่ให้นาง นางจะได้บรรยายถึงกฎอันลึกซึ้งให้บรรดานักเรียนและผู้คนมากมายได้ฟัง ข้ารับรองว่าชื่อเสียงของนางจะต้องโด่งดังไปทั่วทั้งทวีปแน่นอน” ตู้เหลยโตวยิงข้อเสนอลามไปถึงถังชี่หยุนทันที

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาส่ายหัวและตอบกลับ “ท่านจะมายื่นข้อเสนอกับข้าไม่ได้ ข้าไม่สามารถตัดสินใจแทนครูถังได้หรอก”

ตู้เหลยโตวได้ยินดังนั้นจึงหันไปหาถังชี่หยุนและถามขึ้น “ครูถัง ท่านจะว่าอย่างไรกับข้อเสนอของข้า ข้าสามารถให้ค่าจ้างกับท่านอย่างงามในการมาเป็นอาจารย์ให้กับสถาบันข้า หรือหากท่านต้องการที่จะได้รับสิทธิพิเศษหรือตำแหน่งอะไรเพิ่มเติมอีกท่านสามารถบอกข้ามาได้ทุกอย่าง”

เจ้าของสถาบันอื่น ๆ เองก็ได้ยื่นข้อเสนอให้กับถังชี่หยุนด้วยเช่นกัน

ถังชี่หยุนนางส่ายหัวและตอบกลับ “พวกท่านจ่ายให้ข้าไม่ได้หรอก”

“ท่านอยากได้เท่าไหร่ท่านบอกข้ามาได้เลย ข้าพร้อมตกลง!” ตู้เหลยโตวกล่าวอย่างดึงดัน

“พวกท่านไม่เข้าใจ นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเงินทองเลย…” ถังชี่หยุนหัวเราะ

เมื่อได้ยินถังชี่หยุนยังคงปฎิเสธ ตู้เหลยโตวและบรรดาเจ้าของสถาบันต่าง ๆ ยังคงดื้อดึงโน้มน้าวอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลพวกเขาก็เริ่มถอดใจ

แต่ตู้เหลยโตวนั้นยังไม่ยินยอม เขาหันไปหาหลิงตู้ฉิงอีกครั้งและกล่าวขึ้น “ข้ายอมรับว่าชั้นเรียนในเรือนเจ้านั้นเหนือกว่าในสถาบันของข้า แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือไง หากเจ้าให้ลูกของเจ้ามัวแต่หมกตัวอยู่แต่ในเรือน พวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ของโลกภายนอกเลย และไหนจะการปรับตัวเข้าสังคมอีก เจ้าควรจะให้พวกเขาเข้าสถาบันเพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์และเข้าร่วมสังคมได้อย่างที่เด็กปกติเขาเป็นกัน!”

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเหตุผลนี้ เขาเริ่มขมวดคิ้วและลองตรึกตรองดูอีกครั้ง

ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังครุ่นคิด เสียงอันสดใสเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมาจากทิศทางประตูเรือน

“เด็ก ๆ ข้ากลับมาแล้ว….”