บทที่ 315 ทำลายการแข่งขันอย่างไร (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 315 ทำลายการแข่งขันอย่างไร (1)

สองชั่วยามให้หลัง สวี่ชี่อันก็ออกจากหอเฮ่าชี่ เขายืนอยู่ที่ด้านล่างของอาคาร หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะจากไปอย่างแน่วแน่

เขาออกจากที่ทำการปกครอง ขี่ม้าตรงไปตามถนนสายหลักอันไพศาลเกินจะจินตนาการของเมืองชั้นใน แล้วห้อตะบึงไปทางกรมอาญา

ถนนสายหลักกว้างประมาณหนึ่งร้อยลี้ มุ่งตรงสู่เขตพระราชฐาน ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่องค์จักรพรรดิใช้ในการเดินทาง ความกว้างของมันมีไว้เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีระหว่างทาง หากต้องประสบกับลูกศรจากการซุ่มโจมตีจริง ความกว้างของถนนสายนี้จะช่วยถ่วงเวลาให้กองทหารรักษาวังได้

ใช้เวลาไม่นาน สวี่ชีอันก็มาถึงกรมอาญาแล้ว

สวี่ชีอันมองเห็นร่างของอารองสวี่มาแต่ไกล ยามนี้อารองสวี่สวมเกราะ มือถือดาบมั่น เขาน่าจะรู้ข่าวตอนที่ออกลาดตระเวน ด้วยเหตุนี้จึงรีบปรี่มาทันที

หากแต่อารองสวี่กลับโดนทหารยามของกรมอาญาสกัดเอาไว้

ทหารยามทั้งสองนายตวาดเสียงกร้าว และหนึ่งในนั้นก็ยื่นมือออกมาผลักอารองสวี่อย่างแรง เขายังไม่กล้าตอบโต้ จึงเซถอยหลัง

“เหตุใดหัวหน้ากองดาบชั้นต่ำ ถึงอาจหาญบุกมาถึงกรมอาญาได้?”

ทหารยามนายหนึ่งชี้นิ้วใส่หน้าสวี่ผิงจื้อ

“หากไม่รีบไสหัวของเจ้าออกไป อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน”

สวี่ผิงจื้อผู้อยู่ในระดับหลอมปราณ พยายามอดทนอดกลั้น เขากำหมัดแน่น และเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าเป็นบิดาของสวี่ซินเหนียน ข้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าไปด้านใน”

ทหารยามอีกนายเหยียดยิ้ม “นักโทษผู้ฉ้อโกงการสอบเคอจวี่ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม กฎนี้มีมานาน คนไร้สติปัญญาเช่นเจ้า รู้จักกฎระเบียบหรือไม่”

สวี่ผิงจื้อไม่รู้จริงๆ ว่าคดีที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงการสอบเคอจวี่อยู่นอกเหนือขอบเขตที่เขาจะจัดการได้

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าจ่ายสามสิบตำลึงก่อนหรือ?” สวี่ผิงจื้อเลิกคิ้ว ท่าทางเดือดดาลยิ่ง

“บังอาจนัก ที่นี่คือที่ทำการกรมอาญา เจ้ายังกล้าลบหลู่อีกรึ ลองดูสิ” ทหารยามแค่นยิ้ม

“ถุย!”

ทหารยามอีกนายถ่มน้ำลายใส่สวี่ผิงจื้อ

สวี่ผิงจื้อเบี่ยงกายหลบโดยพลัน

ทหารยามทั้งสองนายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฟู่ว…”

อารองสวี่พ่นลมหายใจออกอย่างช้าๆ แล้วเหลือบสายตาไปเห็นทหารยามสองแถวเดินออกมาจากที่ทำการ เห็นได้ชัดว่าหากเขาก่อเรื่องที่นี่ วันนี้คงต้องรับกรรมหนักแน่

“ไสหัวไปซะ!”

ทหารยามถลึงตา ตวาดลั่น

‘กุบกับๆๆ!’

ฉับพลัน เสียงกีบม้าห้อตะบึงก็ดังขึ้น ไม่นานม้าพันธุ์ดีก็ควบตรงเข้ามาที่ด้านหน้าประตูใหญ่ของกรมอาญาด้วยความเร็ว

ก่อนจะรู้ตัว ม้าก็พุ่งกระแทกร่างทหารยามทั้งสองนายเสียแล้ว

‘พลั่ก!’

หนึ่งในนั้นไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน ถูกม้ากระแทกเข้ากลางอกเต็มแรง ร่างลอยกระเด็นออกไปไกล ก่อนจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานแล้วล้มลงไปกับพื้น เจ็บปวดมากเสียจนลุกไม่ขึ้นอีก

มีคนกล้าก่อเรื่องที่กรมอาญาจริงๆ หรือนี่

“หนิงเยี่ยน”

สวี่ผิงจื้อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นหลานชายของตนก็โล่งใจ

‘เคร้ง…’ เสียงดาบถูกชักออกมาอย่างต่อเนื่อง ทหารนายอื่นที่อยู่ในที่ทำการได้ยินเสียงดังที่ด้านนอกก็รีบทยอยออกมาพร้อมอาวุธครบมือ หมายจะจัดการกับผู้ที่อาจหาญมาก่อเรื่องถึงกรมอาญา

แต่พวกเขากลับต้องชะงักกึก เมื่อพบว่าฆ้องเงินที่นั่งอยู่บนหลังม้านั้นคือสวี่ชีอัน

หัวหน้าทหารยามชักดาบออกมา พลันเอ่ยเสียงเข้ม “ใต้เท้าสวี่ ที่แห่งนี้คือที่ทำการกรมอาญา หากบุกรุกเข้ามาทำร้ายคนของที่นี่ โทษคือจำคุก เนรเทศ ไม่ก็ตัดศีรษะ”

สวี่ชีอันไม่สนใจ พลิกกายลงจากหลังม้า แล้วย่างเท้าเข้าไปหาทหารยามผู้นั้นที่โดนม้ากระแทกร่างเมื่อครู่ แล้วเตะเท้าเข้าใส่ครั้งหนึ่ง

“อ๊าก…” ทหารยามผู้นั้นกรีดร้อง กลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น

สวี่ชีอันปลดฝักดาบที่หลังเอวออก ยกมันขึ้นฟาดลงไปบนร่างของทหารยาม เสียงฝักดาบกระทบเนื้อฟังแล้วน่าหวาดหวั่นยิ่ง

ทหารยามกรีดร้องโหยหวนไม่หยุดยั้ง

“ใต้เท้าสวี่!”

“เรียกข้าว่าใต้เท้าจื่อ”

หัวหน้าทหารยามชะงัก ก่อนจะแสร้งทำหูทวนลม ตะโกนเสียงกร้าว “เจ้าคิดว่ากรมอาญาไร้อำนาจ จึงไม่เกรงกลัวพระอาญาของฝ่าบาท ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองบ้างเลยรึ?”

“พวกเจ้าปล่อยม้าเข้ามาเอง เรื่องงี่เง่าแค่นี้ยังตัดสินอย่างเป็นธรรมไม่ได้ เห็นทีสวี่ชีอันผู้นี้อยู่เมืองหลวงไปก็เปล่าประโยชน์แล้วสิ” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ แล้วกวัดแกว่งฝักดาบทุบตีต่อไป

ในตอนแรกทหารยามผู้นั้นยังพอหลบเลี่ยงทัน เขาพยายามยกมือขึ้นต้านไว้ แต่เมื่อถูกฟาดไปหลายสิบที ดวงตาก็เหลือกขึ้นกลายเป็นสีขาวคล้ายจะขาดใจตาย

หัวหน้าทหารยามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลังมือที่กำดาบแน่นปูดโปนด้วยเส้นเลือดสีเข้ม แต่กลับไม่กล้าลงมือกับฆ้องเงินผู้หยิ่งผยอง

ฉากการทรมานยังคงตราตรึง พละกำลังของสวี่ชีอันไม่ลดลงแม้แต่น้อย และในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายไม่มีใครกล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้มีแผ่นเหล็กอักษรแดง แม้เขาจะสังหารใครถึงหน้ากรมอาญา อย่างมากเขาก็เพียงแค่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งและใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้ต่อไป

เมื่อเห็นว่าทหารยามผู้นั้นเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย สวี่ชีอันก็ยั้งมือแล้วเหน็บดาบไว้ด้านหลังเอวเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เงินสามสิบตำลึงนั่น คิดเสียว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลของพวกเจ้าทั้งสอง”

หลังจากระบายโทสะเสร็จแล้ว เขาก็จ้องไปทางหัวหน้าทหารยามแล้วเอ่ย “เข้าไปรายงานเสีย ข้าต้องการพบสวี่ซินเหนียน”

ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าทหารยามก็ไร้ท่าทีโต้ตอบ เขาส่งสายตาให้ทหารคนอื่นนำตัวทหารทั้งสองนายเข้าไปรักษา จากนั้นจึงมองกลับไปทางสวี่ชีอันเงียบๆ แล้วกลับเข้าไปในกรมอาญา

ไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมเอ่ยว่า “ท่านเจ้ากรมเรียนเชิญ”

สวี่ชีอันผูกบังเหียนม้าไว้กับรูปปั้นหน้าประตู ก่อนจะกวักมือเรียก “ท่านอารอง เข้าไปกันเถอะ”

สวี่ผิงจื้อเดินตามเขาเข้าไปเงียบๆ ทั้งสองเข้ามาในกรมอาญา เดินผ่านลานด้านหน้าและระเบียงทางเดิน อารองสวี่ อ้าปากราวกับต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่เขาเลือกที่จะเงียบ

ทหารยามนำทางสองอาหลานมาจนถึงห้องของท่านเจ้ากรม ณ ที่นั้น เจ้ากรมซุนสวมชุดคลุมยาวสีแดง นั่งรอพวกเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและปราศจากอารมณ์อยู่ก่อนแล้ว

“คารวะท่านเจ้ากรมซุน” สวี่ชีอันกอบหมัดคำนับ

เจ้ากรมซุนไม่ปรายตามองแม้แต่น้อย คล้ายกับไม่มีสวี่ชีอันอยู่ในสายตา ปากพึมพำ “ขาดสองคำ”

เขาจ้องเขม็งไปทางเจ้ากรมซุนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมค้อมกายลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมกว่าเดิมพร้อมกอบหมัดคำนับ “ข้าน้อยคารวะท่านเจ้ากรม ข้าน้อยต้องการพบสวี่ซินเหนียนขอรับ”

เมื่อเห็นฉากนี้ ขอบตาของสวี่ผิงจื้อก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา

ท่านเจ้ากรมแย้มยิ้มด้วยความพอใจ “ฉ้อโกงการสอบเคอจวี่นั้นถือเป็นโทษร้ายแรง คนในครอบครัวอยากมาเยี่ยมเยียนก็เป็นเรื่องปกติ”

“แต่เข้าเยี่ยมไม่ได้” เจ้ากรมซุนกล่าวต่อฉับพลัน

สวี่ผิงจื้อกัดฟันกรอด

พูดจบ เจ้ากรมซุนก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองสองอาหลานอีก เขายกชาขึ้นจิบ ในแวดวงการทหารนั้น หากสนทนาไปแล้วครึ่งทาง แต่เจ้าเรือนไม่เชิญให้ดื่มชา ก็ถือว่าเป็นการไล่แขก

“เช่นนั้นไม่รบกวนท่านแล้ว” สวี่ชีอันหมุนกายออกไป

เจ้ากรมซุนมองดูแผ่นหลังของอาหลาน แล้วเอ่ยเบาๆ “ในลานมีต้นหนามอยู่จำนวนหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าสวี่ฝึกฝนพลังเทพวชิระของสำนักพุทธมิใช่รึ สนใจจะลองเสียหน่อยหรือไม่?”

สวี่ชีอันเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

ขณะที่สวี่ผิงจื้อเดินออกมาจากที่ทำการกรมอาญานั้น ปากก็เอ่ยสาปส่งไปด้วย “มารดามันเถอะ เจ้ากรมซุนนั่น อยากจะให้เจ้าแบกต้นหนามขอขมา ข้าอยากจะชักดาบออกมาฟันเข้าเสียจริง”

“เหตุใดท่านอารองถึงมาเร็วนักเล่า?” สวี่ชีอันเอ่ยถามเจ้ามาช้าต่างหากเล่า หลังจากข้าได้รับข่าวก็รีบกลับเรือนทันทีเพื่อปลอบหลิงเยวี่ยและอาสะใภ้ของเจ้า แต่กลับไร้ประโยชน์…” อารองสวี่ส่ายศีรษะไปมา

“พอรู้ นางก็เอาแต่คร่ำครวญร้องไห้โฮ เฮ้อ หนิงเยี่ยน เรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

แม้สวี่ผิงจื้อจะเป็นทหารชั้นต่ำ แต่เขาก็พอทราบถึง ‘ความบาดหมาง’ ระหว่างราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ ระหว่างทางมาที่นี่ เขาคิดวิเคราะห์อย่างหนักหน่วง บางทีการจับตัวเอ้อร์หลางอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย

“เรื่องนี้ซับซ้อนนัก ท่านอารองกลับไปเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำ”

สวี่ชีอันไม่อยากเสียเวลาอีก เขากระโดดขึ้นหลังแม่ม้าน้อย แล้วควบออกไปตามถนน

คำพูดของเว่ยเยวียนพลันผุดขึ้นในหัว

‘ขั้นแรก เจ้าต้องขัดขวางไม่ให้กรมอาญาทรมานผู้ต้องหาเพื่อรับสารภาพข้าหลวงเฉินจากที่ว่าการเมืองนั้นเป็นคนกลิ้งกลอกนัก ได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง หากเรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เขาคงไม่อยากทำให้เจ้ากรมซุนหมางใจ’

เจ้ากรมซุนชิงชังข้าที่สุด คดีฉ้อโกงการสอบเคอจวี่นั้นเป็นโอกาสอันดีให้เขาได้แก้แค้น และยังช่วยส่งเสริมให้เขาได้เลื่อนขั้น ซ้ำร้ายที่สุดเขายังเป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปฏิบัติดีต่อเอ้อร์หลาง

แม่ม้าน้อยวิ่งห้อตะบึงเหงื่อกาฬผุดพราย มันหายใจหอบ และสุดท้ายก็ไปหยุดตรงหน้าสำนักแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวง

“นักบวชเต๋า นักบวชเต๋า ยุทธภพมีเรื่องเร่งด่วนแล้ว”

สวี่ชีอันผลักประตูสำนักออก สาวเท้าตรงเข้าไปด้านใน ก็เห็นว่านักพรตเต๋าจินเหลียนกำลังนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ท่าทางคล้ายกำลังหลับอยู่

แปลงกายเป็นแมวอีกแล้วรึ?!

เขารีบแทบตาย แต่เมื่อเห็นฉากนี้เข้ามุมปากก็อดกระตุกไม่ได้

ครั้งก่อนเขาก็อุตส่าห์ควบแม่ม้าน้อยห้อตะบึงมาถึงที่นี่ เพื่อจะมาขอความช่วยเหลือ สวี่ชีอันหย่อนกายลงนั่งเงียบๆ ไม่ได้ปลุกคนที่นอนอยู่ ผ่านไปไม่ถึงสามนาที ก็มีเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงประตู

“มีอะไรหรือ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนหมอบอยู่ตรงธรณีประตู น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและสงบ และดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับสภาพของตัวเองเช่นนี้เป็นอย่างดี

“ญาติผู้น้องของข้า สวี่ซินเหนียน เข้าไปพัวพันกับคดีฉ้อโกงการสอบเคอจวี่”

สวี่ชีอันอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้และกล่าวว่า “ท่านนักบวช ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”

รูม่านตาสีอำพันของแมวสีส้มจ้องมองเขากลับมาด้วยความเมตตา แล้วเอ่ย

“ข้าหาได้รู้เรื่องของราชสำนักของต้าฟ่งไม่ จึงไม่อาจให้คำชี้แนะเจ้าได้ เรื่องนี้เจ้ามาหาผิดคนแล้ว เว่ยเยวียนต่างหากที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ หากการต่อสู้ทางการเมืองแบ่งออกเป็นลำดับขั้น เว่ยเยวียนคงจะอยู่ที่ขั้นสองแล้ว”

สวี่ชีอันที่ร้อนใจเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ “ขั้นสองรึ? เช่นนั้นขั้นหนึ่งคือใครเล่า?”

แมวส้มหัวเราะพลางกล่าวตอบ “ย่อมเป็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง ในแง่ของความหลักแหลมนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ทั้งเว่ยเยวียนแหละหวางเจินเหวินนั้นต่างคาดหวังที่จะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดทางการเมือง แต่พวกเขามีความคิดและความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงจงใจวางพยัคฆ์ทั้งสองนี้ไว้ในท้องพระโรง ส่วนพระองค์ก็เฝ้ามองการต่อสู้นี้ลงมาจากเขาสูง”

อืม มีเหตุผล แต่ประเดี๋ยวก่อน…เมื่อครู่เจ้าแมวนี่บอกว่าไม่รู้เรื่องราชสำนักของต้าฟ่งไม่ใช่รึ?

สวี่ชีอันสาปแช่งอยู่ในใจ เอ่ยถามต่อไป

“เช่นนั้นท่านคิดว่า สงครามการเมืองนี้มีผู้ที่อยู่เหนือจุดสูงสุดหรือไม่?”

“ย่อมมี” นักบวชเต๋าจินเหลียนยกอุ้งเท้าขึ้นเลีย ว่าต่อ “จุดสูงสุดในการเมืองคือการสยบทุกอย่างไว้แทบเท้า ไม่ให้ใครกล้าขัดขืน ปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนาทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้”

ดูท่าทางนักพรตเต๋าจินเหลียนจะได้รับอิทธิพลจากนิสัยของแมวมาไม่น้อย…

แน่นอนว่าในสิ่งมีชีวิตใดๆ ร่างกายย่อมควบคุมสมองทั้งสิ้น สารที่ร่างกายหลั่งออกมาก็เป็นตัวกำหนดท่าทางการกระทำ…หิวก็ต้องกิน ง่วงก็ต้องนอน กระหายน้ำก็ต้องดื่มน้ำ และเมื่อคลังตัณหาล้นเปี่ยมก็ต้องฝากฝังมันไว้ในกายของฆราวาสหญิง เช่นนั้นคำถามคือ นักพรตเต๋าจินเหลียนชอบแมวตัวเมียหรือขึ้นคร่อมแมวตัวเมียหรือไม่?

ในเวลานี้ เจ้าแมวสีส้มถอนหายใจ วางอุ้งเท้าลง แล้วพูดเบาๆ ว่า

“ดูเหมือนเจ้าสนุกกับการโลดแล่นระหว่างความเป็นกับความตายนะ”

สวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้น ก็รีบดึงบทสนทนากลับมาเรื่องเดิมทันที “ท่านนักบวช ข้าขอความเมตตาจากท่าน…”

ริมลำธารนอกเมืองหลวงมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้ ห่างออกไปจากชานเมืองสิบลี้ มีทะเลสาบกว้างใหญ่ที่มีไอหมอกลอยปกคลุม ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจี ผืนน้ำเต็มไปด้วยทิวทัศน์ดอกบัวงดงามตระการตา

นอกจากนี้ยังมีบ้านไร่ควันโขมง โรงน้ำชา และร้านอาหารริมทะเลสาบอีกด้วย

เพราะสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง การเดินทางโดยเรือจึงเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน คุณชายวัยเยาว์ และคุณหนูตระกูลน้อยใหญ่จึงพากันมาล่องเรือยังทะเลสาบแห่งนี้ ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก

เรือแกะสลักลำวิจิตรจอดอยู่ริมฝั่ง วันนี้หวางซือมู่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงผ้าฝ้ายแขนกว้างที่นิยมกัน มีลวดลายเหมือนกับสีพื้นหลัง ดูประณีตซับซ้อน ทว่าดูเรียบง่ายทะมัดทะแมง

การแต่งหน้าก็วิจิตรบรรจง ผมมวยเกล้าขึ้นเป็นทรงสูง ผมดำขลับเงางามประดับด้วยปิ่นปักผมทองและปิ่นปักผมหยกทุกอย่างสมบูรณ์แบบตรงตามมาตรฐานการดูตัวอย่างยิ่ง

แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามให้หลัง เรือของคุณหนูหวางผู้นี้ก็ยังจอดอยู่ที่เดิม และอารมณ์ของนางก็ไม่ค่อยจะดีมากนัก

“คุณหนู พอแค่นี้เถอะเจ้าค่ะ พวกเรากลับกันดีกว่า” สาวใช้โน้มน้าว “สวี่ฮุ่ยหยวนคงไม่มาแล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่ก็พวกเจ้าส่งข้อความไปไม่ถึงเขา?” หวางซือมู่ไม่ยอมรับความจริง นางถลึงตาใส่สาวใช้ พยายามโบ้ยความผิด

“บ่าวไม่บังอาจเจ้าค่ะ ข้อความนั้นย่อมได้รับการส่งต่อแน่นอนเจ้าค่ะ” สาวใช้ลนลานตอบ

หวางซือมู่เฝ้ารอคอยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน นัยน์ตาไม่อาจเก็บซ่อนความเสียใจไว้ได้ กล่าวเสียงเบา “อืม กลับกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำรวดเร็ว รีบก้าวไปยังท้ายเรือเรือเพื่อแจ้งให้ฝีพายพายเรือกลับไป

ฝีพายลากสมอขึ้นจากน้ำแล้วออกแรงพายเรือพร้อมกัน เรือลำนี้จึงค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงเช่นเดิม

หลังกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว หวางซือมู่ก็ขึ้นรถม้าทันที นางรีบสั่ง “หลานเอ๋อร์ ไปที่จวนสกุลสวี่ก่อน ข้าจะไปเล่นกับน้องหลิงเยวี่ย รอที่นี่อีกครึ่งชั่วยามค่อยออกเดินทาง”

“คุณหนู เหตุใดเล่าเจ้าคะ?” สาวใช้ขมวดคิ้วมุ่น

“แม้ว่าเขาจะมิได้เสน่หาในตัวข้า แต่ข้าก็ต้องรู้เหตุผลให้ได้” คุณหนูหวางไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ สวี่ซินเหนียนถูกกรมอาญาคุมตัวไปโดยข้อหาคดีฉ้อโกงข้อสอบเคอจวี่ เขาถูกส่งตัวเข้าคุก

คดีใหญ่นี้สร้งความโกลาหลให้เมืองหลวงอย่างยิ่ง ตั้งแต่ที่ว่าการเมืองและกรมอาญาแพร่ข่าวออกไป ผ่านหกกรมกอง ก่อนที่เรื่องนี้จะค่อยๆ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง

ใช้เวลาไม่กี่วัน ทุกคนก็รู้ข่าวกันถ้วนหน้า

ในช่วงพักกลางวัน ขุนนางและเหล่าเจ้าพนักงานมารวมตัวกันที่ร้านอาหาร โรงน้ำชา และสถานที่อื่นๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงการสอบเคอจวี่ครั้งนี้

“ข้าได้ยินมาว่าบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่จะได้เป็นฮุ่ยหยวน ขุนนางในราชสำนักจะเห็นชอบรึ? นี่จะเป็นไปได้รึ?”

“ข้ารู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน สวี่ซินเหนียนเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน กวีผู้โด่งดังคนนั้นของต้าฟ่ง บทกลอน ’เส้นทางลำเค็ญ’ บทนั้น…หากบอกว่าญาติผู้พี่ไม่ได้แต่ง ข้าไม่เชื่อหรอก”

“เหลวไหล ในใต้หล้านี้มีเพียงสวี่ชีอันคนเดียวเท่านั้นรึ ที่ประพันธ์กวีได้? คนอ่านเช่นเรานั้นอาจได้รับแรงบันดาลใจโดยบังเอิญก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

“เอาล่ะ โต้เถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ คราวนี้สวี่ฮุ่ยหยวนต้องโทษ ไม่ว่าจะมีการฉ้อโกงจริงแท้หรือไม่ อนาคตของเขาก็จบสิ้นแล้ว ข้าจำได้ว่าในปีหยวนจิ่งที่สิบสอง เคยมีคดีเกี่ยวกับบัณฑิตฉ้อโกงถึงสามคน คดีนี้ถูกสอบสวนเป็นเวลาสองปี แม้ในที่สุดจะได้รับการปล่อยตัว แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็ถูกทำลายแปดเปื้อนแล้ว”

“ปีหยวนจิ่งที่ยี่สิบก็มีคดีทำนองนี้เช่นกัน แต่ในเวลานั้นคดีก็สิ้นสุดตรงที่บัณฑิตและผู้คุมสอบทั้งหมดถูกฝ่าบาทสั่งตัดหัวทั้งหมด”

“หากเรื่องคราวนี้เป็นที่ประจักษ์ สวี่ซินเหนียนในฐานะของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ก็คง… อ่า แต่พอมาคิดดูแล้ว ก็แทบไม่มีโอกาสจะพลิกสถานการณ์ได้เลย พวกเจ้าว่าเว่ยกงจะเคลื่อนไหวหรือไม่?”

“มีความเป็นไปได้สูง สวี่ชีอันนั้นเป็นคนสนิทของเว่ยกง เขาย่อมขอร้องให้เว่ยกงช่วยออกหน้าให้”

“จะเกิดอะไรขึ้น หากเว่ยกงเข้ามาร่วมด้วย”

“หากเว่ยกงไม่ยื่นมือเข้ามา ใครเล่าจะสามารถช่วยสวี่ฮุ่ยหยวนได้อีก จะหันไปพึ่งสวี่ชีอันผู้เป็นทหารคนนั้นน่ะหรือ? เขาอาจจะช่วยแก้คดี สังหาร ไม่ก็กำจัดศัตรูได้ แต่ทหารเช่นนั้นมีหรือจะเข้าใจในวิถีแห่งขุนนาง”

ฉู่หยวนเจิ่นซึ่งพักอยู่ที่เรือนของสหายเก่า ก็ได้ทราบเรื่องนี้จากปากของสหายที่กลับมาจากที่ทำการปกครองในช่วงพักกลางวันเช่นกัน

หมายเลขสามต้องคดีฉ้อโกงข้อสอบเคอจวี่…แม้ว่าหมายเลขสามจะเก่งกาจมากเพียงใด แต่การต่อสู้ระหว่างสำนักอวิ๋นลู่และราชวิทยาลัยหลวงก็เป็นกระแสน้ำที่ไม่อาจต้านทานได้ แม้แต่ความฉลาดก็ไม่สามารถชดเชยได้… จุดจบที่ดีที่สุดก็คือการที่หมายเลขสามออกจากราชการ เขาจะไม่สามารถเป็นขุนนางได้อีก และนี่คือการสูญเสียครั้งใหญ่ของราชสำนัก…

“ข้าได้ยินมาว่าเรื่องนี้เป็นการฟ้องร้องจากรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ แต่ข้าคิดว่า อืม ไม่ว่าทุกฝ่ายจะนิ่งดูดายหรือยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างลับๆ สวี่ซินเหนียนก็ซวยอยู่ดี” สหายของเขากล่าว

ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าเพิ่งออกจากราชสำนักเพราะเบื่อการแก่งแย่งชิงดีกันนี่แหละ ตั้งแต่สมัยโบราณ การต่อสู้ภายในราชสำนักมีแต่จะบั่นทอนบ้านเมืองลงไปเท่านั้น และการฝึกฝนเต๋าของจักรพรรดิยังทำลายโชคชะตาบ้านเมืองด้วย”

สหายของเขาใบหน้าเปลี่ยนสี “หยวนเจิ่น ระวังคำพูดด้วย”

“กลัวอะไรกัน ข้าละทางโลกนั้นไปนานแล้ว” ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะพลางถอนหายใจ “ข้าครุ่นคิดมานานแล้ว คงไม่มีทางทำลายแผนการนี้ได้ เว้นเสียแต่เว่ยเยวียนจะออกโรงเอง เห็นศักยภาพของหนิงเยี่ยนขนาดนี้ เว่ยเยวียนควรจะตัดสินใจได้แล้ว

“แต่ว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการเห็นกระมัง เฮ้อ ไม่มีทางทำลายแผนการนี้ได้จริงๆ นั่นแหละ”

……………………………………………