‘มันคือกับดักอะไรกันแน่?’ หลิงม่อกำลังพยายามครุ่นคิดค้นหาคำตอบ
เขาสลับไปยังมุมมองของเย่เลี่ยน แต่มองไม่เห็นอะไร และก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
อีกอย่าง…จากการปรากฏตัวของเขา เย่เลี่ยนก็ไม่ได้ดูมีปฏิกิริยาอะไรมากมายนัก
“ไม่ได้กลิ่นฉัน ก็สามารถใช้สายสัมพันธ์ทางจิตสัมผัสรู้หาฉันได้…” หลิงม่อลอบถอนหายใจ
เย่เลี่ยนกำลังอยู่ในความสับสนอลหม่าน ไม่แน่ว่าเธออาจจะแค่กำลังไหววูบอย่างไม่รู้สึกตัวท่ามกลางความมืดมิด ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายดายมากที่เธอจะถูกหุ่นเชิดระดับที่หนึ่งใช้เป็นเหยื่อล่อ
‘ทางที่ดีแกไม่ควรทำอะไรเย่เลี่ยน…’
หลิงม่อคิดเงียบๆ ในใจ ขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าตามขึ้นไป
หลังพูดคำว่า “แต่ว่า” ยัยหุ่นเชิดก็ไม่ส่งเสียงอีก นั่นยิ่งทำให้ในใจหลิงม่อเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือระหว่างที่หลิงม่อกำลังเข้าใกล้เย่เลี่ยน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดมิดอย่างนี้กลับมีการสั่นไหวเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังแว่วเข้าหูหลิงม่ออย่างเลือนราง…
“เมื่อกี้เธอตั้งใจล่อให้พี่หลิงขึ้นมาแน่…”
“ทำยังไงดี พี่เย่เลี่ยนออกไปคนเดียวแล้ว…”
“ลองออกไปดูกันหน่อยไหม?”
“เอ๋ เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกตินะ…”
……
และในระยะที่ใกล้กับตัวหลิงม่อมากกว่า ก็มีเสียงดังมาจากทิศทางที่เย่เลี่ยนอยู่ กลับเป็นเสียงอีกหนึ่งแบบ
แกรก…แกรก…
ดูเหมือนเป็นเสียงเสียดสีของบางอย่าง…
และในขณะที่ความมืดมิดเริ่มไม่เสถียรมั่นคง ในที่สุดหลิงม่อก็เห็นร่างของเย่เลี่ยนได้รางๆ แล้ว
เงาที่เลือนรางไม่ชัดเจนนั้นยังคงเคลื่อนที่ไปด้านหน้าไม่หยุด เธอหันหลังให้หลิงม่อ ผมยาวสลวยกำลังสะบัดเบาๆ…
“นี่!”
หลิงม่อลองตะโกนออกไป แต่กลับไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย
เขากัดฟันกรอด และวิ่งตามไป…
สถานการณ์นี้…มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ
ถ้าเขาไม่เข้าไปตอนนี้ ไม่แน่ว่า…
หลิงม่อรีบเร่งความเร็วทันที ในที่สุดก็ตามเย่เลี่ยนได้ทันในไม่กี่วินาที
ในขณะเดียวกัน เย่เลี่ยนก็หยุดลงอีกครั้ง
เธอหันศีรษะช้าๆ ก้มลงมองไปที่เท้าของตัวเอง
โครม!
เมื่อเสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้ง ความมืดมิดรอบกายก็พลันสลายหายไป
ขณะเดียวกับที่ตาหลิงม่อเบิกกว้าง เสียงของหุ่นเชิดระดับหนึ่งตัวนั้นก็ดังขึ้นอีก
แต่ว่าครั้งนี้ เสียงของเธอไม่ได้ลอยมาจากระยะไกลอีกต่อไป แต่เป็นเสียงที่ดังขึ้นข้างหูของหลิงม่อจริงๆ
“แต่ว่า…ฉันไม่เข้าใจเธอ…”
สิ่งที่เธอชี้ เป็นเย่เลี่ยนที่กำลังหันหน้ามาอย่างช้าๆ…
สีหน้าของเย่เลี่ยนเรียบนิ่งมาก…อีกทั้งในดวงตาของเธอ ก็แสดงให้เห็นความเย็นชาบางอย่าง
มันเป็นสายตาเมินเฉยที่มีต่อสิ่งมีชีวิตระดับต่ำ…เหมือนกับเวลาที่มนุษย์บังเอิญเจอมดโดยไม่ตั้งใจ
เหลือบมองเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ไม่สนใจมองอีก แม้กระทั่งในสมองก็ไม่มีความคิดที่เกี่ยวข้องกันเลย
สายตาของเย่เลี่ยนในแวบนั้น ก็คือความรู้สึกแบบนี้
ทว่าหลังจากที่เธอและหลิงม่อสบตากัน กลิ่นอายอันตรายที่กระจายรอบกายก็สลายไปทันที
ในเสี้ยววินาที เธอก็กลับมาเป็นสาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนั้นอีกครั้ง
ทว่าหลิงม่อที่กำลังมองเธอ ในใจกลับรู้สึกช็อกอย่างมาก…
“นั่นมัน…ซอมบี้ระดับสูง…ของจริง”
กลิ่นอายแบบนั้น หลิงม่อยังไม่เคยสัมผัสได้จากร่างของสิ่งมีชีวิตแบบอื่นมาก่อน…
อีกอย่างเย่เลี่ยนที่ปรากฏตัวเมื่อกี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นซอมบี้โดยสมบูรณ์ไปแล้ว…
หลิงม่อพลันนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เธอเคยตกอยู่ในสภาวะแบบนี้…ตอนนั้นเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และความรู้สึกอันตรายก็ห่างชั้นกับในตอนนี้มาก
“ที่แท้ก็เป็นสัญญาณที่มีมานานแล้ว…” หลิงม่อค่อนข้างกระวนกระวาย
แต่เมื่อเห็นเย่เลี่ยนสงบลง เขาจึงข่มอารมณ์สงสัยไว้ในใจชั่วคราว และเลื่อนสายตาไปยังมือซ้ายของเย่เลี่ยน…
มือข้างนั้นมีเลือดไหล…
เลือดไหลเต็มทั่วฝ่ามือ เลือดสดยังคงไหลหยดออกมาจากนิ้วเรียวยาวไม่ขาดสาย
แต่คนที่บาดเจ็บไม่ใช่เธอ…หลิงม่อมองต่อไปตรงเท้าของเย่เลี่ยน
ผู้หญิงที่เลือดอาบทั่วร่างกายกำลังนอนล้มอยู่ตรงนั้น…
และบนทางเดินที่เย่เลี่ยนเพิ่งเดินผ่านเมื่อกี้ กลับมีร่องรอยของเลือดสดปริมาณมากทิ้งเอาไว้…
“ทั้งหมดนี่คือ…”
หลิงม่อตกตะลึงไปชั่วครู่…
นอกจากช่วงที่เพิ่งจะเริ่มควบคุมเย่เลี่ยนในตอนนั้น เขาก็ไม่เคยเห็นเย่เลี่ยนฆ่าใครมือเปล่าแบบนี้อีก
จากความเร็วและพลังของเธอ เธอสามารถบิดคอศัตรูให้ขาดได้ในชั่วพริบตา ในขณะที่ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบโดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่หลิงม่อเห็นตอนนี้ กลับเป็นหุ่นเชิดระดับหนึ่งที่เกือบจะถูกฉีกขาด
“ได้การต่อสู้ตามสัญชาตญาณกลับมาแล้ว…”
หลิงม่อเข้าใจในทันที
แต่แค่อาศัยสัญชาตญาณ ก็สามารถจัดกาหุ่นเชิดระดับหนึ่งได้ขนาดนี้เลยหรือ?
ตอนสู้เขาเกือบจะถูกฆ่าทิ้งเชียวนะ!
อีกอย่างวิเคราะห์จากคำพูดไม่กี่คำที่เขาได้ยินเมื่อกี้ ก่อนหน้านี้หุ่นเชิดระดับหนึ่งตัวนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบ เห็นได้ชัดว่าเธอใช้ข้อได้เปรียบของความสามารถพิเศษ บีบให้พวกซย่าน่าไปอยู่ในจุดหนึ่ง จากนั้นก็เตรียมหาโอกาสลอบโจมตีหลิงม่อ แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะขึ้นมา และเย่เลี่ยนก็ปรากฏตัวด้วย…จากนั้นยังไม่ทันที่เธอจะได้ลงมือจัดการหลิงม่อ เธอกลับเป็นฝ่ายถูกจัดการซะเอง
‘ตอนที่เธอกำลังพูดกับฉัน ก็ถูกลากตัวไปแล้ว…’
หลิงม่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจกลับสงบลงไม่น้อย
“ขอบใจนะ”
เย่เลี่ยนเหลือบมองเขาด้วยสายตามึนงง ไม่พูดอะไร
“ตามคาด…จับตัวแกไม่สำเร็จ” เห็นชัดว่าหุ่นเชิดระดับหนึ่งใกล้หมดลมหายใจแล้ว…
หลิงม่อมองดูเธอแล้วประเมิณ…ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ซ้ำบาดแผลพวกนี้ไม่ได้เกิดจากการข่วนซี้ซั้ว เกรงว่าทุกครั้งเย่เลี่ยนจะตั้งใจโจมตีจุดที่เส้นโลหิตผุดออกมา จากนั้นก็ใช้ความเร็วสูงและพลังที่น่าสะพรึงเจาะทะลุเลือดเนื้อของหุ่นเชิด ทำให้เส้นโลหิตพวกนั้นฉีกขาด
เพราะเหตุนี้นี่เอง เธอถึงมีเลือดออกมากมายขนาดนี้
เกรงว่าตลอดทางที่ถูกลากมา เลือดบนตัวคงจะไหลออกมาจนเกือบแห้งเหือดแล้ว
แต่สิ่งที่น่าตะลึงจนเสียวสันหลังก็คือ…ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นมาก
หุ่นเชิดระดับหนึ่งที่แข็งแกร่งมากกว่า กลับถูกจัดการทิ้งโดยไม่แม้แต่จะทันได้ต้านทาน…
“แกอยากพูดอะไร?” อยู่ในสภาพขนาดนี้แล้วยังไม่รีบตายอีก คงมีเรื่องที่อยากจะพูดจริงๆ หลิงม่อไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย ถามตรงๆ ทันที
สายตาของหุ่นเชิดระดับหนึ่งเริ่มขยับ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่บริเวณหัวใจของหลิงม่อ
ใบหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงสีหน้าอารมณ์มาตลอด จู่ๆ กลับเผยรอยยิ้มคาดหวังรอคอย กระทั่งสายตาก็มีความบ้าคลั่งออกมาให้เห็นเล็กน้อย
จากนั้น เธอก็เหลือบมองเย่เลี่ยนแวบหนึ่ง แล้วกลับมาจ้องหลิงม่อพลางพูดขึ้น “ฉันแปลกใจมาก…”
“ฉันไม่มีทางยอมให้แกขัดขวางฉันได้แน่”
“ไม่นานหรอก เดี๋ยวพวกเราก็ได้เจอกัน”
“ก่อนจะถึงตอนนั้น แกอย่าถูกคนอื่นฆ่าตายไปซะก่อนล่ะ…”
“อย่างน้อย ก็อย่าเพิ่งตายวันนี้…”
ก่อนจะหมดลมหายใจ หุ่นเชิดระดับหนึ่งยังคงมองหลิงม่อด้วยสายตาบ้าคลั่งแบบนั้นตลอด
แต่สิ่งที่หลิงม่อรับรู้ได้ กลับเป็นความนัยแฝงที่น่าขนลุกขนพองอย่างหนึ่ง
ตัวเขาคงเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันถึง…เป็นหนูทดลองที่ดีที่สุดแล้ว…
“ด็อกเตอร์สยองขวัญเวอร์ชันซอมบี้!”
หลิงม่อหนาวสะท้าน…
……………………………………