ฮูหนิวรู้สึกภูมิใจการกระทำของตัวเองมาก แม้นางจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นเพิ่งทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ลงไปก็ตาม แต่นางก็ภาคภูมิใจตัวเองตามภาษาเด็ก
แม้หลิงฮันจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่นั่นคือเนตรสวรรค์แห่งเต๋า!
ตามบันทึกโบราณกล่าวไว้ว่า เนตรสวรรค์แห่งเต๋าคือผู้พิทักษ์สมดุลแห่งสวรรค์และปฐพี และยังสามารถควบคุมพลังของโลกได้อีกด้วย
เพราะการดำรงอยู่ของเนตรสวรรค์แห่งเต๋าในฐานะผู้พิทักษ์สมดุล แน่นอนว่ามันคือผู้ปกครองของโลกใบนี้และไม่มีใครสามารถเอาชนะกฎธรรมชาติได้
อย่างไรก็ตาม ตัวตนอย่างมันกลับถูกขับไล่โดยฮูหนิว!
หลิงฮันส่ายหัว มันไม่ได้จากไปเพราะถูกตำหนิ แต่ดูเหมือนมันจะจากไปเพราะรู้สึกหวาดกลัวมากกว่า
เด็กสาวตัวน้อยนี่น่ากลัวขนาดนั้นเชียว?
หลิงฮันรู้แค่ว่าภายในตันเทียนของนางมีบางอย่างที่คล้ายมนุษย์อยู่ แม้แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ไม่อาจมองทะลุเข้าไปได้ แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาเป็นของจอมยุทธระดับสวรรค์เท่านั้น หากเป็นระดับทลายมิติเขาอาจจะมองทะลุก็เป็นได้
แต่ฮูหนิวกลับข่มขู่ให้เนตรสวรรค์แห่งเต๋าให้จากไปได้ มันเป็นเพียงแค่รากฐานวิญญาณอย่างนั้นหรือ?
หลิงฮันรู้สึกกังวล ถ้ารากฐานวิญญาณของฮูหนิวกำลังหลับไหลอยู่ และถ้าวันหนึ่งมันตื่นขึ้นมาแล้วครอบงำร่างของฮูหนิวล่ะ? จิตวิญญาณของฮูหนิวจะต่อสู้กับมันได้หรือไม่?
“แปลกประหลาดอะไรขนาดนี้?” หยินหงอุทานออกมาด้วยความตกใจ นางรู้สึกหวาดกลัวมากถึงขั้นเผลอทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าของนางดูซีดขาวพร้อมกับเม็ดเหงื่อ แรงกดดันของเนตรสวรรค์แห่งเต๋ารุนแรงกว่าตัวตนระดับพระเจ้า อย่างน้อยในทวีปฮงเทียน มันเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด มันคือเนตรสวรรค์แห่งเต๋า”
“เนตรสวรรค์แห่งเต๋า?” จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกแปลกใจ
“อาจเป็นเช่นนั้น” หลิงฮันไม่ค่อยแน่ใจนัก นั่นเป็นเพราะเนตรสวรรค์แห่งเต๋าเป็นดั่งตำนาน และบางทีมันอาจมีชื่ออื่นอยู่อีก
“เจ้ามันตัวซวยถึงกล้าไปยั่วยุเนตรสวรรค์แห่งเต๋า” หยินหงแทบจะเป็นบ้า นางไม่อยากเป็นต้นเหตุทำลายล้างมนุษยชาติ
หลิงฮันมองไปที่ใบหน้าของนางและพูดว่า “คนอย่างข้าพูดออกมาด้วยความซื่อสัตย์ ข้าคงไม่พูดเรื่องที่ทำไม่ได้ออกมา”
ดวงตาของหยินหงแดงเถือกด้วยความโกรธ
หลังจากนั้น ทุกคนไม่ได้พูดถึงเนตรสวรรค์แห่งเต๋าอีกต่อไป
พวกเขาเดินผ่านกำแพงแห่งภูมิภาค และเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างขึ้น แต่หลิงฮันไม่ได้รับผลกระทบ แล้วพวกเขาก็เข้าสู่ภูมิภาคกลางอย่างเป็นทางการ
“หืม!” หลิงฮันรู้สึกตกใจที่ภูมิภาคกลางมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาก้าวเข้ามา เขารู้สึกว่าพลังปราณในที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์กว่าที่อื่นเล็กน้อย และดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างที่เอื้อต่อความก้าวหน้าในวิถียุทธ
ไม่แปลกที่ภูมิภาคกลางถึงมีแต่จอมยุทธที่แข็งแกร่ง
จากนั้นรถม้าได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหมื่นสมบัติ มันไม่มีอันตรายเกิดขึ้นระหว่างทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะธงของตำหนักสมบัติวิญญาณที่ติดอยู่บนรถม้า โจรทั้งหลายจึงไม่กล้าลงมือ
มันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตำหนักสมบัติวิญญาณแข็งแกร่งและน่าเกรงขามมากแค่ไหน แม้แต่รถม้ายังไม่กล้าที่จะลงมือปล้น
หลังจากผ่านไปเกือบเดือน ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหมื่นสมบัติ
ที่แห่งนี้คือสำนักงานใหญ่ของตำหนักสมบัติวิญญาณและสำนักงานใหญ่ของสมาคมนักปรุงยา ทั้งสองแห่งเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและมักพึ่งพากัน นั่นเป็นเพราะตำหนักสมบัติวิญญาณต้องการเม็ดยาระดับสูงของสมาคมนักปรุงยามาประมูล และสมาคมนักปรุงยาเองก็ต้องการให้ตำหนักสมบัติวิญญาณประมูลเม็ดยาของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงมีความใกล้ชิดกันมาก
ทั้งห้าคนลงจากรถม้าและด้วยนำทางของหยินหง นางได้พวกเขาไปหาที่พัก
ตำหนักสมบัติวิญญาณมีความสูงเจ็ดสิบฟุต ซึ่งทำให้ทุกคนต้องแหงนหน้ามอง และตำหนักสมบัติวิญญาณแห่งนี้ยังดูคล้ายกับพระราชวังที่น่าเกรงขามแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสำนักงานใหญ่ของตำหนักสมบัติวิญญาณ
และนี่เป็นเพียงแค่ฉากหน้าของตำหนักสมบัติวิญญาณเท่านั้น สถานที่สำหรับงานประมูลที่อยู่ด้านหลังนั้นมีขนาดใหญ่โตกว่ามากราวกับจุคนได้นับไม่ถ้วน
ส่วนบันไดที่พาไปสู่ด้านบนปูด้วยหยกสีขาว ถ้ามองมันจากระยะไกล มันจะสะท้อนแสงราวกับก้อมเมฆที่ส่องประกายทำให้พระราชวังแห่งนี้ดูเหมือนเมฆและดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
ด้วยการนำทางของหยินหง พวกเขาก้าวเดินขึ้นไป
แต่หลังจากเดินไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น พวกเขาได้เห็นใครบางคนเดินลงมา
มันเป็นเรื่องปกติที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น แต่พลังปราณของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก และร่างกายของเขาส่องแสงออกมาราวกับเป็นบุตรของพระเจ้า
ทุกคนหยุดชะงักทันที แล้วจ้องมองขึ้นไปดูชายหนุ่มที่น่าทึ่งคนนั้น ซึ่งให้ความรู้สึกว่าต้องคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ
ชายหนุ่มคนนั้นมีร่างกายที่ผอม เส้นผมสีดำและมีผิวที่งดงามราวกับหยก และยังหล่อเหล่าอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้ผู้หญิงนับไม่ถ้วนต้องบ้าคลั่ง
ส่วนระดับพลังของเขานั้นอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ พลังปราณและระดับพลังของชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรรดา เขายังเยาว์วัยมากแต่กลับบรรลุระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวมาก
ชายหนุ่มคนนั้นก้าวเดินลงมาจากบันไดทีละขั้นทีละขั้น และพลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกได้เพียงแค่หวาดความกลัวอันไร้ที่สิ้นสุด
เขาเดินผ่านกลุ่มของหลิงฮันทั้งห้าคนไป แต่หลังจากที่เดินผ่านไปได้เพียงแค่สองก้าว เขาก็หยุดเดินอย่างกะทันหันและหันไปจ้องมองเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนราวกับมองคนรัก
“นี่ เจ้ากำลังขวางทางข้าอยู่!” หลิงฮันตำหนิ
“ไปให้พ้น!” ชายหนุ่มคนนั้นรวมพลังปราณไว้ที่มือและตบไปที่ใบหน้าของหลิงฮัน
หลิงฮันเค้นเสียงออกมา เขาไม่มีเวลาที่จะชักดาบและฝ่ามือนั้นกำลังพุ่งเข้ามา ดังนั้นเขาจึงใช้กำปั้นคชสารคลั่งสงครามและมีภาพของมังกรเงินสิบเจ็ดร่างปรากฏออกมาและพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
“อะไรกัน!” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจ ดูเหมือนว่ามันจะประเมินความสามารถของหลิงฮันต่ำเกินไป แต่มันก็ไม่ได้สนใจมากนัก และพลังที่อยู่ในฝ่ามือขวาของมันก็รวดเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน
ปัง!
ในความเป็นจริง กระบวนท่าของทั้งสองคนไม่ได้ปะทะกับร่างของหลิงฮัน แต่เป็นพลังก่อเกิดของพวกเขาทั้งสองคนที่ปะทะกัน และได้สร้างคลื่นกระแทกที่ทรงพลังขึ้นทำให้บันไดเกิดรอยร้าวทันที
ปัง ปัง ปัง หลิงฮันล่าถอยไปด้านหลังสิบเจ็ดก้าวและกลับมายืนมั่นคงอีกครั้ง