บทที่ 35 ปั้นหน้า NewNovel
บทที่ 35
ปั้นหน้า
“เจ้าเลื่อนระดับเป็นเทพยุทธ์แล้วงั้นเหรอ? สมแล้วจริงๆที่เป็นอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์!”
เย่เย่รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวรยุทธ์ที่อยู่ภายในกายของหญิงสาวตรงหน้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมาเป็นสีหน้าใจเย็นอีกครั้งหนึ่งและพูดกับหลินหยูฉีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
นางนั้นต่างกับเย่หูที่ก้าวข้ามขั้นด้วยยาควบแน่นจิตวิญญาณเพราะนางนั้นสามารถมาถึงจุดนี้ได้ด้วยการฝึกฝนตนเองอย่างหนักตั้งแต่ที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ตื่นขึ้นมาโดยที่แทบจะไม่พึ่งยาหรือพรสวรรค์ใดๆเลย
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยอายุที่น้อยกว่าเย่หูเช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้นางกลายเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้นไปอีก บางทีทั่วทั้งเมืองนี้อาจจะมีเพียงเย่เย่คนเดียวก็ได้ที่สามารถรั้งนางเอาไว้ได้
“แล้วมันต่างอะไรกับสิ่งที่เจ้าเป็นอยู่น่ะ?”
แม้ว่าหลินหยูฉีจะพูดเหมือนว่านางนั้นจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากที่โดนเย่เย่กล่าวชม นางเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบโค้งริมฝีปากเล็กน้อยและแสดงสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความถึงพอใจออกมา
ก่อนหน้านั้นที่เย่เย่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเทพยุทธ์ หลินหยูฉีก็เกิดเรื่องกระตุ้นเป็นอย่างมาก นางหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตนเองจนหันไปฝึกฝนอย่างหนักหน่วง และในที่สุด นางก็สามารถตามเย่เย่ทันโดยการเลื่อนระดับเป็นเทพยุทธ์ได้
ครั้นเมื่อสามารถเทียบเท่าเย่เย่ได้แล้ว นางก็หวนกลับมาคิดเรื่องเก่าๆอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เทียบกับสถานะปัจจุบันของนางที่ซึ่งเป็นศิษย์ชั้นสูงของอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว นางก็รู้สึกว่า เย่เย่ที่เป็นเพียงผู้เข้าสมัครเป็นศิษย์นั้นต่ำต้อยกว่าตน ด้วยเหตุนี้นางจึงมองเย่เย่ด้วยแววตาที่ดูหยิ่งยโสขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ไม่ได้อยากจะเสียเวลาอยู่กับนางนานนักจึงเอ่ยถามออกไปตามตรง “แล้วเจ้าตามหาข้าทำไมน่ะ? ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าจะกลับไปฝึกฝนต่อละนะ”
หลินหยูฉีมองลึกลงไปในแววตาเย่เย่ก่อนที่จะเดินไปนั่งและพูดช้าๆ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า?”
“กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?”
เย่เย่ส่ายหน้าด้วยความสงสัยจากนั้นก็พูดกับหลินหยูฉีอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่เคยได้ยิน เพราะฉะนั้นเจ้าช่วยพูดออกมาตามตรงเถิดว่าต้องการอะไรจากข้ากันแน่”
“การกลับชาติมาเกิดนั้น จะเกิดขึ้นได้กับคนที่สรวงสวรรค์ไม่ต้อนรับและยมโลกเองก็ไม่รับไว้พิพากษา เป็นวีรบุรุษผู้ที่โลกนี้ยังคงกล่าวขานราวกับคำกล่าวเรียกเป็นโซ่ตรวนเขาเอาไว้ ว่ากันว่าคนเหล่านี้เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณก็จะยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ แม้จะไร้ร่างเนื้อแต่ก็ไม่แตกสลายและยังรอวันหวนคืนได้ วิญญาณเหล่านี้เฝ้ารอเพื่อที่จะได้พบเจอผู้คนที่ยังมีชีวิตที่ซึ่งมีชื่อเดียวกับเขา จากนั้นก็จะช่วงชิงโอกาสยึดร่างของคนคนนั้นมาและกลับมาใช้ชีวิตบนโลกอีกครั้งหนึ่ง เพราะงั้นแล้วถึงได้เรียกกันว่า ‘กลับชาติมาเกิด’ นั่นแหละ”
“ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างผู้กลับชาติมาเกิดกับบุคคลธรรมดานั้นก็คือ พวกเขามีความทรงจำและประสบการณ์จากชาติที่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าของร่างจะเป็นคนที่ไร้ฝีมือขนาดไหน พวกเขาก็สามารถเติบใหญ่ได้และสามารถพัฒนาฝีมือให้อยู่ระดับแนวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และเพราะพวกคนที่กลับชาติมาเกิดนี้ไม่ได้เข้าสู่สวรรค์และยมโลก ดังนั้นแล้วถ้ามีใครสามารถยืนยันตัวตนได้ว่าเขาคนนั้นคือผู้กลับชาติมาเกิด พวกเขาก็จะถูกไล่ตามและท้ายสุดก็จะถูกฆ่าด้วยกองพลังลึกลับที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ เหมือนกับหนูโสโครกที่เมื่อถูกหาตัวเจอแล้วก็จะถูกขับไล่แล้วก็ฆ่าทิ้งซะ!”
ขณะที่ฟังอยู่นั้นภายในหัวใจของเย่เย่ก็เริ่มที่จะปั่นป่วนเหมือนมีพายุก่อตัวขึ้นมา เสื้อของเขาเองก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมาตามผิวหนัง
เขาแอบรู้สึกว่าโชคชะตาของเขานั้นกำลังถูกมือของยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมมันเอาไว้อยู่ มันต้องไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ๆที่เขามายังโลกไปใบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องวางแผนดีๆเพื่อที่จะปิดบังตัวเองจากการถูกเผยตัวเสียแล้ว การที่จู่ๆก็ต้องมาอยู่บนเกมกระดานของใครสักคนโดยที่ตนเองไม่สามารถเลือกทางเดินได้เองนั้นมันฝันร้ายชัดๆ!
แม้ในใจจะกระโตกกระตากขนาดไหน แต่ภายนอกเย่เย่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติออกมา และหลังจากที่หลินหยูฉีพูดจบ เย่เย่ก็เผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อยราวกับเขานั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้
“พวกกลับชาติมาเกิดนั่นน่าเกรงขามขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? แสดงว่าการที่จะกลับชาติมาเกิดได้นั้นมันต้องยากมากๆเลยหรือเปล่า?”
เพื่อตอบสนองความอยากรู้ของเขา เย่เย่จึงค่อยๆตะล่อมถามหลินอยู่ฉีต่อ
“แน่นอน! ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งทุกดวงน่ะ ล้วนแต่อยากจะกลับมาเกิดใหม่กันทั้งนั้น แต่เพราะอัตราความสำเร็จของมันนั้นช่างต่ำต้อย ดังนั้นแล้วนานๆครั้งจึงจะมีการกลับชาติมาเกิดสำเร็จขึ้นมาสักครั้งหนึ่งและคนคนนั้นก็จะกลายเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดในโลก!”
ระหว่างที่ตอบคำถามเย่เย่นั้น หลินหยูฉีก็คอยสังเกตท่าทีของเย่เย่อยู่ตลอด แต่ช่างน่าเสียดายที่เย่เย่นั้นสามารถปกปิดความตื่นตระหนกของเขาได้อย่างสมบูรณ์จนหลินหยูฉีไม่พบความผิดปกติอะไร
“เจ้าแค่อยากจะเล่าเรื่องที่เจ้ารู้มาอย่างการกลับชาติมาเกิดให้ข้าฟังสินะ? ข้าว่ามันก็ดีที่เจ้าเอาความรู้ใหม่ๆมาเล่าให้ข้า แต่เจ้าต้องการอะไร? พูดมาตรงๆเลยก็ได้นะ”
เย่เย่นั้นใจเย็นมาตลอดเวลา และเมื่อเขาฟังนางตอบคำถามมาแล้ว เขาก็ถามถึงจุดประสงค์ของนางออกไปตามตรงอีกครั้ง
หลินหยูฉีรู้ดีว่าเย่เย่จะต้องถามคำถามนี้ออกมาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นนางจึงได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว
“ช่วงนี้ ข้าน่ะมักจะได้ยินข่าวลือที่ว่าเจ้านั้นคือ 1 ในผู้กลับชาติมาเกิด เพราะการเติบใหญ่ของเจ้านั้นมันรวดเร็วเกินไป แถมอัปลักษณ์นิสัยของเจ้าก็เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนอย่างมากเลยด้วย พวกเขาเลยสงสัยกันว่าเจ้าน่ะ แท้จริงแล้วยังเป็นเย่เย่คนเดิมอยู่อีกหรือไม่?”
นางลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาเย่เย่ โดยทุกๆฝีก้าวนั้นนางก็จ้องมองไปยังเย่เย่อย่างไม่ละสายตาอีกด้วย ดูเหมือนว่านางนั้นอยากจะเห็นว่าเย่เย่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่นางพูดหรือเปล่า ทว่านางก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อเย่เย่กลับหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ฟังคำตอบของนางไป ราวกับว่าได้ฟังเรื่องตลกเสียอย่างนั้น
“เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่ามันเป็นข่าวลือ อนึ่งตัวข้าเองก็มีพลังมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ เพราะงั้นแล้วข้าจะถูกชิงร่างด้วยเหตุผลที่ข้านั้นอ่อนแอได้อย่างไร? เรื่องนี้น่ะมันอาจจะถูกเล่าต่อกันมาเรื่อยๆก็จริง แต่มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้นี่ คนเราน่ะ มีสมองกันนิดๆหน่อยๆก็น่าจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันเชื่อถือไม่ได้!”
เย่เย่ยักไหล่อย่างไม่แยแสและพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร
แต่แท้จริงแล้วนั้นเขามั่นใจแล้วว่าเขาจะต้องฆ่าหลินหยูฉี ณ ตอนนี้เลย เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องนี้มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเขาเป็นอย่างมากแน่ๆ แต่โชคยังดีเมื่อหลังจากที่เห็นท่าทีของหลินหยูฉีแล้ว มันก็มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะยังคงไม่มั่นใจในเรื่องที่พูดเช่นกัน เพราะงั้นยังพอมีช่องว่างให้คิดไตร่ตรองดีๆใหม่
ในเมื่อหลินหยูฉีนั้นยังไม่มีหลักฐาน เย่เย่ก็มั่นใจว่าต่อให้เขาฆ่านางไปแล้วไม่ยอมรับผิดก็ยังได้ นั่นจึงทำให้ความต้องการที่อยากจะฆ่าหลินหยูฉีเพื่อปิดปากนั้นมันมีมากขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก และการฆ่านี่ก็ไม่ใช่เพื่อแก้แค้นเท่านั้น แต่ก็เพื่อปกปิดในสิ่งที่นางเหมือนจะสงสัยอยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่าเย่เย่ไม่ได้แสดงท่าที่แปลกประหลาดออกมา หลินหยูฉีก็ล้มเลิกความสงสัยลงไปอีกครั้งและคิดสมทบว่านางเพียงแค่คิดมากไปเพียงเท่านั้น ยังไงเสียไอ้การนำเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับเย่เย่มาพูดมันก็เป็นวิธีของนางที่นำมาใช้เพื่อสร้างปัญหาให้เย่เย่เฉยๆ ส่วนเรื่องจริงๆจะเป็นอย่างไรนั้นนางเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดหรอก
ครั้งนี้ที่นางเชิญเย่เย่มายังอารามจ้าววรยุทธ์นั้น ก็เพื่อที่จะทำให้เขาได้รู้ว่านางเองก็ได้เป็นเทพยุทธ์แล้วกับการที่จะให้เขาคายความลับของความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วนั้นออกมา
อย่างไรก็ตาม เพราะเย่เย่ทำตัวเหมือนตนเองนั้นเป็นถังน้ำที่สร้างขึ้นจากเหล็กที่ปิดทึบ มันเลยทำให้หลินหยูฉีไม่สามารถคาดเดาได้ว่านางจะต้องเริ่มจากอะไรดี ไม่รู้ว่าภายในเย่เย่นั้นคิดอะไรอยู่ ดังนั้นแล้วเมื่อพยายามเค้นเบื้องต้นแล้วยังไม่ได้คำตอบ นางจึงเกิดการหมดกำลังใจขึ้นมา
ขณะที่นางเตรียมจะส่งเขาออกไปนั้นเอง ข้ารับใช้ภายในอารามจ้าววรยุทธ์ก็วิ่งตรงเข้ามาหาหลินหยูฉีและบอกแก่นางว่า ท่านหญิงเหล่ยถิงแห่งจ้าววายุมาขอเข้าพบ
“ข่าวช่างไปถึงเร็วจริงๆ!”
หลินหยูฉีนั้นพอจะเดาได้ว่าจุดประสงค์ของเหล่ยถิงที่มาพบนางเร็วขนาดนี้คืออะไร นั่นจะต้องเป็นเพราะเรื่องที่นางเลื่อนขั้นแล้วแน่ๆ คิดได้ดังนั้นแล้วรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของนางอีกครั้ง
ทั้งอารามจ้าววรยุทธ์และ 3 สำนักที่อยู่นอกเมืองนั้นต่างมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือนคานอำนาจด้วยกันเอง ในทุกๆครั้งที่มีเหตุการณ์อะไรสำคัญเกิดขึ้น ต่อให้ฝ่ายนั้นๆไม่ประกาศออกสู่สาธารณชน ทั้ง 3 ฝ่ายที่เหลือก็สามารถรับรู้ข่าวได้โดยธรรมชาติ
หลังจากที่ได้ข่าวเรื่องหลินหยูฉีเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเทพยุทธ์แล้วนั้น สำนักจ้าววายุก็ไม่รอช้าที่จะตัดสินใจส่งท่านหญิงแห่งสำนักอย่าง เหล่ยถิง ให้เข้าพบและแสดงความยินดีแก่นางด้วย พวกเขานั้นพยายามผูกมิตรไมตรีที่ดีกับอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ไว้ก่อนอย่างน้อยๆก็เป็นผลดีกับตัวพวกเขาเองอย่างแน่นอน
หากส่งเป็นคนอื่นมานั้น หลินหยูฉีอาจจะไม่ได้ใส่ใจขนาดนี้ นั่นเพราะเหล่ยถิงนั้นเปรียบเสมือนมุกเม็ดงามในสายตาของผู้นำแห่งจ้าววายุ แถมยังเป็นถึงว่าที่ผู้นำจ้าววายุรุ่นถัดไปอีกด้วย ดังนั้นแล้วไม่มีทางที่หลินหยูฉีจะปฏิเสธนางแน่ๆ
ถึงแม้ว่าหลินหยูฉีนั้นเป็นถึงศิษย์ระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์ และเป็นที่น่าเคารพมากขึ้นจากการที่บรรลุระดับเทพยุทธ์ได้แล้วก็จริง ทว่าตัวนางก็ยังมีช่วงทิ้งห่างกับว่าที่ผู้นำคนใหม่แห่งจ้าววายุในอนาคตอยู่ เพราะฉะนั้น หลังจากได้ยินข่าวคราวว่าเหล่ยถิงนั้นมาเยี่ยม หลินหยูฉีจึงเกิดความสนใจในตัวอีกฝ่ายเป็นอย่างมากและเตรียมตัวที่จะต้อนรับด้วยตนเอง
“ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะบอกอะไรข้า งั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอยู่ต่อ ข้าจะไปพบกับแขกผู้มีเกียรติ ส่วนเจ้าก็ออกไปทางประตูหลังก็แล้วกัน”
ไม่แน่ใจว่าที่นางให้เย่เย่ออกไปทางประตูหลังนั้นเป็นเพราะนางเห็นว่าเย่เย่เป็นเพียงผู้สมัครเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ ยังไม่มีค่าพอที่จะออกทางประตูหลัก หรือเป็นเพราะว่าต้องการให้เขารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่ตนเองไม่สามารถออกทางประตูหลักได้กันแน่
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้ขยับไปไหนตามที่ควรจะไป เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้และพูดกล่าวกับหลินหยูฉีด้วยรอยยิ้ม “จริงๆข้ากับท่านหญิงเหล่ยถิงก็รู้จักกันดีระดับหนึ่งเลยนะ ในเมื่อนางจะมาที่นี่ เดี๋ยวข้าอยู่รับนางเป็นเพื่อนก็ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินหยูฉีก็หัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยามทันที นางไม่คิดว่าเย่เย่และเหล่ยถิงจะเคยรู้จักกันมาก่อนตามที่เย่เย่ว่า นอกจากนั้นนางยังคิดว่าการที่เย่เย่ดื้อแบบนี้เป็นเพราะไม่พอใจที่นางให้เขาออกทางประตูหลังเสียมากกว่า ดังนั้นถึงได้หาเรื่องที่จะอยู่ต่อ
“อย่ามาเพ้อน่า ถึงแม้ว่าตระกูลเย่นั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ แต่ก็ยังไม่มีค่าพอที่จะเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ของสำนักจ้าววายุหรอกนะ! เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีค่าอะไรให้นางต้องมาพบเจ้าด้วย? ไปซะ แล้วก็อย่ามาทำตัวให้น่าสมเพชมากกว่านี้!”
ท่าทีของเย่เย่นั้นมันทำให้หลินหยูฉีเห็นภาพซ้อนกับเย่เย่คนก่อนที่ไม่มีดีอะไรจะอวดแต่ก็พยายามจะไม่ให้เสียหน้า ดังนั้นแล้วนางจึงเริ่มลดความสงสัยเรื่องที่เข้าเป็นร่างประทับของตำนานที่กลับชาติมาเกิดลงไปอีก
ทว่าเย่เย่นั้นกลับสงบนิ่งประดุจเทือกเขาอัลไต ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมเผยความลับใดๆออกมาทั้งสิ้น ในท้ายสุดหลินหยูฉีก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความหยามเหยียดและเมินเฉยเขาไปเพื่อเปิดประตูต้อนรับท่านหญิงเหล่ยถิง
“ท่านหญิงเหล่ยถิง ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยที่ได้ต้อนรับ! ข้าไม่คิดเลยว่าข่าวของข้าจะไปถึงสำนักจ้าววายุเร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่เขาว่ากันว่าลำดับของจ้าววายุนั้นอยู่ล่างสุดของ 3 สำนักนั้นดูท่าจะหาความจริงไม่ได้สินะคะ”
หลังจากที่ได้พบเหล่ยถิงแล้ว หลินหยูฉีก็รีบสรรเสริญเยินยออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่กล้าที่จะเหยียดหยามแต่อย่างใด
เมื่อเหล่ยถิงมอบกล่องของขวัญลงบนมือหลินหยูฉี นางก็เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ “ท่านหลินก็กล่าวชมข้าเกินไป พวกเราก็แค่โชคดีที่ได้รู้ข่าวเร็วเท่านั้นเอง ท่านได้เป็นเทพยุทธ์แล้ว ดังนั้นแล้วคำครหาเกี่ยวกับฉายาอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์คงจะไม่มีอีกต่อไปเป็นแน่”
นางเข้ามาแสดงความยินดีกับหลินหยูฉีในฐานะตัวแทนของจ้าววายุ ดังนั้นแล้วนางจึงไม่ได้ถือตนว่าเป็นท่านหญิงแห่งจ้าววายุและพูดคุยกับหลินหยูฉีในระดับเดียวกันแบบไม่ถือตัว
หลินหยูฉีรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยและให้ความใส่ใจกับการที่เหล่ยถิงมาเยี่ยมนางในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อนางนำทางเหล่ยถิงเข้าไปในห้อง ก่อนที่จะได้อธิบายว่าทำไมเย่เย่ถึงมาอยู่ที่นี่ เหล่ยถิงก็เดินพรวดพราดเข้าไปก่อนด้วยความประหลาดใจ
“เย่เย่! ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ? ข้าน่ะตั้งใจจะไปบ้านตระกูลเย่มาตั้งนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสเผอิญเจอเจ้าเช่นนี้ด้วย!”
เมื่อสังเกตเห็นความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้บนใบหน้าของเหล่ยถิง หลินหยูฉีก็ผงะไป
นางคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อตอนที่เย่เย่บอกว่าตัวเขานั้นรู้จักเหล่ยถิง และเมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็เหมือนโดนคำพูดดังกล่าวตบหน้า ยิ่งไปกว่านั้นจากท่าทีของเหล่ยถิงตอนนี้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางและเย่เย่ไม่น่าจะแค่ผิวเผินแน่ๆ อย่างน้อยๆก็มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินหยูฉีและเหล่ยถิงแหละ
“ช่างบังเอิญจริงๆ! แต่ข้าพูดกับท่านหลินเสร็จแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนพวกท่านก็แล้วกัน เช่นนั้นของข้าขอตัวลาก่อน”
การที่ได้เห็นท่าทีอึดอัดใจนั้นก็ทำให้เย่เย่พึงพอใจและยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวทักทายเหล่ยถิง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปยังประตูหลักเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาจะออกไปแล้วนะ
“อ๊ะ รอข้าก่อน!”
ครั้นเมื่อเห็นว่าเย่เย่กำลังจะไป เหล่ยถิงก็รีบเรียกเขาไว้ จากนั้นนางก็หันไปยังหลินหยูฉีเพื่อกล่าวขอโทษ “ข้าต้องขออภัยจริงๆท่านหลิน ข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากจะต้องพูดกับ เย่เย่ เช่นนั้นแล้วข้าเองก็ขอตัวก่อนเช่นกัน ยินดีกับท่านด้วยที่สามารถก้าวขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ ข้าขอตัวลา”