บทที่ 527 นามของข้าคือเกราะจักรพรรดิ! Ink Stone_Fantasy
ร่างทั้งหมดไม่มีตาดำและตาขาว มีเพียงความว่างเปล่ากลวงโบ๋อยู่เบื้องหลังเปลือกตาเท่านั้น!
ร่างเหล่านั้นไม่มีดวงตา! มีเพียงหลุมลึกสองหลุมอยู่บนใบหน้า!
ในตอนที่ร่างเหล่านั้นหลับตาอยู่ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทราบถึงความจริงข้อนี้ แต่เมื่อทั้งหมดเปิดเปลือกตาขึ้นแล้ว หลุมลึกว่างเปล่าหลายร้อยคู่ก็ทำให้ทั้งสองตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว
แม้คนเหล่านั้นจะไม่มีดวงตา แต่ก็ยังจ้องตรงมาที่หวังเป่าเล่อและสหายทั้งสอง มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย เมื่อถูกหลุมดำไร้แววจ้องเขม็งมา
แม้จะเป็นคำอธิบายที่ย้อนแย้ง แต่ทั้งสองก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เป็นไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อใจเย็นลง โทสะพุ่งเข้ามาแทนที่ แม้จะรู้สึกว่าร่างเหล่านั้นอันตราย แต่ในฐานะที่เป็นบุตรแห่งความมืด ผู้ฝึกวิชาศาสตร์แห่งความมืดและมีแก่นในแห่งความมืด และพบเจอวิญญาณมามากมายในนิมิตมืด หวังเป่าเล่อคิดว่าร่างตรงหน้าเขาในตอนนี้ แม้จะไร้ซึ่งไอของชีวิตและความตาย ก็น่าจะจัดเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงสร้างผนึกฝ่ามือโดยไม่ลังเล แก่นในแห่งความมืดในกายสั่นไหว รังสีเย็นเยือกแผ่ออกจากร่างกาย แพร่สะพัดไปทั่วบริเวณ เปลวไฟสีดำเริ่มเผาไหม้ในร่างกายของชายหนุ่ม ไฟเย็นนั้นแผ่เข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น และเอื้อมไปคว้าร่างหนึ่งที่อยู่ตรงหน้ามา!
กระบวนเวทหัตถ์สื่อวิญญาณ!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกและไฟประหลาดที่แผ่ออกจากกายหวังเป่าเล่อ พร้อมมือสีดำสนิทที่ยื่นออกมาจากไฟนั้น เพื่อเข้าคว้าร่างที่ขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า
มือนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง และพุ่งเข้าหาร่างที่หมายตาไว้ในทันที แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างนั้นดูเหมือนจะมีอยู่จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพียงภาพมายา หัตถ์สื่อวิญญาณทะลุผ่านร่างนั้นไปคว้าน้ำเหลวเข้าอย่างจัง!
ไม่ใช่วิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความตกใจ เขาไม่มีเวลาคิดอะไรอีก นอกจากคว้าเอาจั่วอี้ฟานขึ้นหลังก่อนพุ่งออกไปเพื่อหนี เจ้าเยี่ยเหมิงรีบหนีตามอย่างไม่ลังเล ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่นางจะทำได้
ทั้งสองหลบหลีกร่างขัดสมาธิที่ขวางทางตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานนักก็รู้สึกได้ว่ายิ่งออกมาไกลมากเท่าไร ก็ยิ่งเจอร่างขัดสมาธิบนดินแดนเวิ้งว้างมากขึ้นเท่านั้น!
จากการประเมินสถานการณ์แล้ว ทั้งสองพบว่าร่างที่รายล้อมพวกเขาอยู่น่าจะมีหลายพันเลยทีเดียว ทำให้ไม่สามารถหลบหนีได้พ้น ทว่า… ทุกครั้งที่พวกเขาชนเข้ากับร่างเหล่านั้น ทั้งสองจะทะลุผ่านมันไป ไม่ต่างกับสิ่งที่หัตถ์สื่อวิญญาณเผชิญ!
หากเพียงเท่านั้นคงไม่เป็นไร แต่ร่างเหล่านั้นกลับหันหน้าตามทางที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปด้วย หลุมดำในเบ้าตาโหลลึกมองตามหวังเป่าเล่อและสหายทั้งสองไปตลอดทาง!
ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขาเย็นสันหลังวาบ ทว่าในเมื่อร่างเหล่านั้นยังปรากฏออกมาเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่มุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จึงตัดสินใจกระโจนขึ้นไปในอากาศแทนการวิ่งอยู่บนพื้น ทั้งสองพุ่งผ่านอากาศมุ่งตรงไปข้างหน้าอีกหลายกิโลเมตร เมื่อมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ร่างขัดสมาธิที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองตามพวกเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก!
กลิ่นอายของอันตรายและความผิดปกติที่น่าหวั่นหวาดใจทวีความรุนแรงขึ้นตามจำนวนร่างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงมองหน้ากัน ต่างคนต่างมองเห็นความเคร่งขรึมจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่าย กระนั้นพวกเขาก็ไม่ชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นแทน
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจคว้าตัวเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ก่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด ทว่าบริเวณดังกล่าวกว้างใหญ่เกินไป แม้หวังเป่าเล่อจะตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอทางออกของสถานที่ประหลาดนี้แต่อย่างใด ร่างที่ขัดสมาธิอยู่บนพื้นเพิ่มจำนวนขึ้นจนนับไม่ไหว ทุกร่างเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนท้องฟ้า สีหน้าที่เคยไร้อารมณ์ค่อยๆ เปลี่ยน… เป็นรอยยิ้ม!
ภาพของร่างที่นั่งทำสมาธิ ดวงตากลวงโบ๋ดำสนิท และกำลังคลี่ยิ้มให้พวกเขาอย่างพร้อมเพียงกันนั้น เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกลึกลับน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก หากทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจจะกลัวแต่ยังมุ่งมั่นกับการหนีอยู่ได้ ทว่าไม่นานนักเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมก็อุบัติขึ้น
เหตุการณ์ประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังถูกหวังเป่าเล่อลากไปบนอากาศ!
“นามของเจ้าคือ” เจ้าเยี่ยเหมิงที่เงียบมาตลอดทางเปิดปากพูดกะทันหัน น้ำเสียงของนางเจือด้วยความฉงน หวังเป่าเล่อตกใจมาก เขาหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง
ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มที่เหมือนกับร่างมากมายบนพื้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มตัวสั่นเมื่อเห็นหญิงชราร่างเหี่ยวย่นเกาะอยู่บนหลังเจ้าเยี่ยเหมิง กำลังย่อตัวลงกระซิบเข้าไปในหูของสหายคนงาม
หญิงชราผู้นั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่จับจ้องมา จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
แต่ดูเหมือนเจ้าเยี่ยเหมิงจะไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อที่กำลังกระวนกระวายต้องการเปิดฉากโจมตี แต่แล้วก็มีของเหลวปริศนาไหลลงมาที่หลังคอเขาเสียก่อน เลือดไหลออกจากดวงตาของจั่วอี้ฟานที่หวังเป่าเล่อแบกอยู่บนหลัง ชายหนุ่มที่สลบไสลไม่ได้สติพึมพำออกมาเช่นกัน…
“นามของเจ้าคือ”
ชายหนุ่มคนเดียวที่ยังได้สติรีบวางจั่วอี้ฟานลงในทันที เมื่อเข้าหันกลับไปมอง ร่างกายก็สั่นเทิ้มพร้อมถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ หวังเป่าเล่อจ้องหญิงวัยกลางคนที่กำลังเกาะอยู่บนหลังจั่วอี้ฟานด้วยสายตาเหมือนโดนสะกดจิต หญิงวัยกลางคนผู้นั้นกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของจั่วอี้ฟานเช่นกัน
“เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน ตื่นเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มกระวนกระวายถึงขีดสุด เขาวิ่งเข้าไปคว้าร่างทั้งสองที่เกาะหลังสหาย แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุอันว่างเปล่า ชายหนุ่มไม่มีทางหยุดเหตุการณ์นี้ได้เลย เขาทำได้เพียงมองเลือดที่ไหลทะลักออกจากลูกตาของเพื่อนทั้งสองมาขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ห่าเอ๊ย! ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ชายหนุ่มคลั่งจนแทบบ้า เขาลุกลี้ลุกลนถึงขีดสุด รีบคว้าตัวจั่วอี้ฟานขึ้นมาเขย่าอย่างแรง แต่จั่วอี้ฟานกลับทิ้งตัวอ่อนยวบยาบเหมือนหุ่นเชิด ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของชายหนุ่มเปื้อนรอยยิ้มที่ดูสยองขึ้นกว่าเดิม จนเริ่มคล้ายร่างขัดสมาธิที่ปรากฏขึ้นรายล้อมพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
อารมณ์เศร้าอันเกิดได้ยากยิ่งพุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจหวังเป่าเล่อ เขามองจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสีหน้าไร้ความหวัง ดวงใจเต็มด้วยความรู้สึกผิดหนักหน่วง เขายิ้มอย่างสังเวชใจก่อนก้าวถอยหลังไป สีหน้ามุทะลุโหดเหี้ยม ชายหนุ่มปลดปล่อยแก่นในแห่งความมืดภายในกายออกเต็มพิกัด เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง เขากำลังจะปล่อยพลังเฮือกสุดท้าย แต่ในตอนนั้นเอง…
ฉากแห่งความมืดที่มืดมิดยิ่งกว่าสิ่งใด ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันไร้ซึ่งแสงสว่าง ความมืดมิดของท้องฟ้าก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยกับฉากแห่งความมืดที่เพิ่งปรากฏขึ้น เรียกได้ว่ามันคือความดำสนิทของจักรวาลอย่างแท้จริง!
เส้นแบ่งท้องฟ้าจริงกับฉากแห่งความมืดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ฉากแห่งความมืดนั้นเหมือนม่านสีดำที่เข้าบดบังลำแสงสีแดงสายหนึ่งซึ่งสาดส่องผ่านรอยแยกของท้องฟ้าเข้ามา ไม่นานนัก ขณะที่ลำแสงสีแดงสายที่สองและสามกำลังจะหายวับไป หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู
“นามของข้าคือ…”
เสียงนั้นมีพลังประหลาด ส่งให้ร่างของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สติสัมปชัญญะเริ่มเหือดหาย จิตใจของชายหนุ่มถูกอำนาจลึกลับเข้าครอบงำ ทำให้เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา
“นามของเจ้าคือ”
ขณะพึมพำ หวังเป่าเล่อไม่ทันสังเกตว่าเปลวไฟสีดำที่เขาปล่อยออกมานั้นค่อยๆ ดับวูบลง ร่างมากมายปรากฏขึ้นรายล้อมพวกเขาอยู่บนพื้นสีดำสนิท สีหน้าของร่างเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างช้าๆ แม้ดวงตาจะยังกลวงโบ๋ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความกระหายที่แผ่ออกจากหลุมดำเหล่านั้น พวกเขาล้อมหวังเป่าเล่อและสหายเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แววตามืดมิดที่กระหายนั้น เจือด้วยความเคารพที่มีต่อร่างสามร่างที่อยู่เบื้องหลังสหายทั้งสามด้วยเช่นกัน…
ความรู้สึกเคารพนั้นเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อมองไปยังร่างที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ ร่างนั้นไม่มีศีรษะหรือแขนขา ไม่ใช่ร่างของมนุษย์ หากแต่เป็นเกราะสีแดงน่ากลัว!
“นามของข้าคือเกราะจักรพรรดิ!” เสียงต่ำเต็มไปด้วยความยโสโอหังกระซิบเข้าหูหวังเป่าเล่อเป็นคำตอบ!
สิ้นสุดคำนั้น แสงสว่างสีแดงทั้งสามสายบนฟากฟ้าก็ถูกฉากแห่งความมืดเข้าบดบัง ตอนนั้นเอง ความมืดมิดที่แท้จริงก็เข้าครอบงำผืนนภา!