บทที่ 33 คำขอที่เป็นไปไม่ได้
ในคืนที่สอง ชายชุดดำก็ปรากฏในห้องของซูเฉินอีกครา
ซูเฉินนั่งรออยู่ในห้องมาชั่วครู่หนึ่งแล้ว เมื่อเห็นว่าชายชุดดำมาถึง เด็กหนุ่มก็ชี้ไปยังถ้วยชาด้านหลัง “ท่านดื่มชาเถิด เมื่อครู่ข้าอุ่นชาให้ท่านแล้ว เป็นชาเมฆาม่วงชั้นดีเชียวนะ”
ได้ยินดังนั้นชายชุดดำจึงไม่เกรงใจ เดินเข้าไปหยิบถ้วยชายกขึ้นดื่มในคราวเดียว
เห็นชายชุดดำท่าทางเช่นนี้ ซูเฉินจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก รู้สึกได้ว่าเรื่องทุกอย่างย่อมต้องมีทางออกเสมอ
หลังจากชายชุดดำดื่มชาแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เงื่อนไขที่เจ้าว่ามามันมากเกินควร เบื้องบนไม่อาจตอบตกลง ทว่าพวกเขามีความคิดเรื่องที่เจ้าต้องเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดแล้ว หากเจ้ายอมร่วมมือ พวกข้าอาจพอช่วยเจ้าได้”
“พวกเขาว่าอย่างไร?”
ชายชุดดำรินชาให้ตนเองอีกถ้วยก่อนจะยกขึ้นดื่มแล้วพูดขึ้น “ทางองค์กรไม่เห็นด้วยเรื่องที่จะยกเครื่องมือต้นกำเนิดให้เจ้าโดยไร้สิ่งตอบแทน ทว่าหลังจากที่ทบทวนถึงอันตรายบนเทือกเขาสีเลือดแล้ว จึงตกลงจะให้เจ้ายืมของเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว หลังจากกลับมาเจ้าต้องนำของมาคืน”
“ย่อมได้.. แต่หากได้เช่นนี้ พวกท่านไม่จ่ายน้อยไปหรอกหรือ?”
ชายชุดดำส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ “เจ้าหนุ่ม อย่าได้โลภมากนัก เจ้าคิดหรือว่าให้เจ้ายืมเครื่องมือต้นกำเนิดไปเช่นนี้ไม่มีความเสี่ยง? หากเจ้าตายอยู่ที่นั่นแล้วพวกข้าจะได้ของคืนอย่างไร?”
“เช่นนั้นทำไมพวกท่านไม่เมตตาข้าอีกสักหน่อย ให้ของที่สามารถเพิ่มอัตราในการรอดชีวิตของข้าเล่า? อย่างไรองค์กรของท่านก็ใหญ่โตมาก ต้องมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่บ้างเป็นแน่ จะให้ทิ้งไปก็เสียเปล่า เหตุใดไม่มอบพวกมันให้กับข้า? ข้าอาจใช้ประโยชน์จากของพวกนั้นได้”
ชายชุดดำนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าพูดถูกทีเดียว”
ระหว่างพูดขึ้นก็โยนถุงผ้าถุงหนึ่งไปให้ซูเฉิน
เมื่อเปิดถุงออก ซูเฉินพบกับชุดเกราะหนึ่งชุด มีดสั้นหนึ่งเล่ม ปืนสีดำหนึ่งกระบอก รองเท้าต่อสู้หนึ่งคู่ ขวดยาจำนวนมาก ไข่มุกดำสองเม็ด และมีถุงหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำอีกหนึ่งถุง
“ในขวดยาเหล่านั้นเป็นยาสมานแผล หากไม่ใช่บาดแผลถึงชีวิตดื่มแล้วจะรักษาแผลในทันที ทว่าของพวกนี้เป็นของที่ทดลองผิดพลาด ถึงหลังดื่มจะหายดีทว่าก็มีผลข้างเคียงเล็กน้อย ส่วนผลข้างเคียงเป็นแบบไหนแต่ละขวดมีผลต่างกันจึงอธิบายยาก บ้างท้องเสีย บ้างก็อ่อนกำลังลงหลายวัน แต่อย่างไรก็รักษาชีวิตไว้ได้…… ถึงจะเป็นของที่ผิดพลาดก็ยังมีข้อดีให้น่านับถืออยู่บ้าง”
“ไข่มุกดำสองเม็ดนั้นเรียกว่ามุกสลายวิญญาณ เมื่อแตกแล้วสามารถปล่อยการโจมตีจิตวิญญาณซึ่งสามารถโจมตีวิญญาณและสตินึกรู้ของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง แต่มุกนี่ก็เป็นของผิดพลาดเช่นกัน ถึงจะสามารถใช้โจมตีวิญญาณได้ ผู้ใช้ก็จะได้รับผลแบบเดียวกันด้วย…… หากอยู่ในระยะ มุกสลายวิญญาณจะโจมตีทุกคนไม่ว่าอยู่ฝ่ายใด”
“ชุดเกราะพลอยม่วงเป็นชุดเกราะพิเศษที่ตีขึ้นจากแร่ อเมทิสต์ เมื่อใช้แล้วสามารถสร้างเกราะพลังต้นกำเนิด และถึงเกราะจะถูกทำลายลง ด้วยเนื้อเกราะที่ทำจากวัตถุดิบเนื้อแข็ง จึงยังสามารถใช้ในการป้องกันการโจมตีได้ ทว่าชุดเกราะพลอยม่วงนี้ก็เป็นของผิดพลาดอีกชิ้นหนึ่ง ด้านหน้าชุดเกราะได้รับความเสียหายฉะนั้นจึงป้องกันได้ไม่เต็มที่ สามารถป้องกันการโจมตีจากด้านหลังได้เพียงอย่างเดียว”
“ปืนนักล่าเพลิงกระบอกนี้เป็นชิ้นที่ผิดพลาดหนักที่สุด แต่เดิมถูกสร้างขึ้นเพื่อแปลงพลังต้นกำเนิดเป็นพลังงานจลน์ สามารถยิงได้มากสุดแปดนัดติดต่อกัน นับเป็นหน้าไม้ที่ถูกดัดแปลงเป็นพิเศษ ทว่าระหว่างการสร้างมันขึ้นมาพวกข้าพบว่ามันเสียงดังมาก แรงสะบัดสูง ที่สำคัญคือระยะโจมตีจำกัด ความแม่นยำเชื่อถือไม่ได้หากระยะเกินหนึ่งร้อยเมตร มันถูกสร้างขึ้นเป็นอาวุธระยะไกลแต่กลับสามารถใช้ได้ในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่เส็งเคร็งที่สุดก็ว่าได้”
“รองเท้าย่ำเมฆีคู่นี้มีทักษะพลังต้นกำเนิดในตัว เมื่อใช้สามารถเพิ่มความเร็วและลอยตัวได้อย่างอิสระ ชิ้นนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่ของมีตำหนิหรือเสียหายแต่อย่างใด ทว่ามันเก่ามากแล้ว ไม่อาจใช้งานติดต่อกันนานได้ ดังนั้นใช้ได้ไม่นานก็น่าจะพัง”
“มีดสั้นเล่มนี้คือมีดสั้นริ้วดำ ตัวมีดมีหมึกลายเมฆสลักไว้ด้วยเลือดของสัตว์อสูร หมึกลายเมฆนี้บันทึกวิชาต่อสู้พลังต้นกำเนิดไว้ นั่นคือวิชาสังหารโลหิต เมื่อใช้มีพลังมหาศาล เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 8 ชิ้นเดียวที่พวกข้ามี ทว่ามีดสั้นเล่มนี้ได้รับความเสียหายระหว่างการต่อสู้ ถึงจะยังใช้งานได้แต่ทุกครั้งที่ใช้จะดูดกลืนพลังปราณ ทำให้ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ที่มีระยะเวลายาวนานได้”
“องค์กรของท่านเห็นข้าเป็นบ่อถมขยะหรือ? โยนของที่ใช้ไม่ได้แล้วมาให้ข้าทั้งหมดเช่นนี้?” ซูเฉินหัวเราะเสียงแห้ง “ท่านส่งของมาให้หลายชิ้น ทว่าไม่มีชิ้นไหนที่ดีจริง ๆ เลยงั้นหรือ?”
“ก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง หินพลังต้นกำเนิดไงเล่า” ชายชุดดำตอบ
“……”
“…….”
มีเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่จะสามารถดึงพลังจากเครื่องมือต้นกำเนิดได้ พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินยังไม่ถึงขั้นนั้นจึงใช้งานเครื่องมือได้ยาก เด็กหนุ่มจึงต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดเป็นตัวให้พลังแก่เครื่องมือต้นกำเนิดแทน
หินพลังต้นกำเนิดกักเก็บพลังต้นกำเนิดไว้ สามารถใช้ควบคุมเครื่องมือต้นกำเนิดหลากหลายชนิดได้ แล้วยังสามารถใช้เติมพลังต้นกำเนิดในร่างได้อีกด้วย ทว่าพลังต้นกำเนิดในหินนั้นไม่บริสุทธิ์ จึงใช้ได้เพียงเติมพลังไม่อาจใช้ในการบ่มเพาะพลังได้
หินพลังต้นกำเนิดไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันถูกสร้างขึ้นจากการนำพลังต้นกำเนิดภายในร่างหลอมเข้ากับหินชนิดพิเศษ จุดประสงค์คือเพื่อใช้เป็นที่กักเก็บพลังงานต้นกำเนิด
ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทุกคนจึงสามารถสร้างหินพลังต้นกำเนิดขึ้นมาเองได้
หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำหนึ่งก้อน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณใช้เวลาประมาณหนึ่งวันในการสร้างขึ้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นเริ่มต้นจึงถูกตัดสินค่าตามระดับพลัง หินพลังต้นกำเนิดถูกใช้กันอย่างแพร่หลายจนค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งของที่สามารถใช้แลกแทนเงินตรา สำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแล้ว นับว่าหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำพวกนี้สามารถใช้แทนเงินได้
มีหินพลังต้นกำเนิดอยู่ในถุงราวหนึ่งร้อยก้อน หากไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไปก็เกินพอ นับว่าหินพวกนี้เป็นของมีค่าที่สุดในหมู่ของที่องค์กรมอบให้เขาเลยก็ว่าได้
ถึงของที่ได้รับมาจะเป็นของมีตำหนิและทดลองผิดพลาด ซูเฉินก็ยังรู้สึกพึงพอใจ เพราะถึงอย่างไรเครื่องมือต้นกำเนิดก็ไม่ได้หามาใช้ง่าย ๆ หากไม่ใช่ของมีตำหนิ อีกฝ่ายคงไม่มอบให้เขายืมใช้โดยง่าย
ในคืนนั้น ซูเฉินนั่งอยู่ในห้องของตนเอง เขาเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าหลังมือของตนร้อนขึ้น ตราประทับรูปงูแดงตัวเล็กเรืองแสงอยู่ที่กลางหลังมือของซูเฉิน
สิ่งนี้คือตราประทับอสรพิษควันที่กู่ชิงลั่วทำให้ซูเฉิน อาจไม่ได้มีประโยชน์มากมาย แต่หากผู้ที่มีตราประทับเหมือนกันอยู่ไม่ห่างกันมากจะสามารถสัมผัสถึงกันได้
เมื่อเห็นว่าตราประทับส่องแสงขึ้น ซูเฉินก็รู้ว่ากู่ชิงลั่วมาถึงแล้ว
ซูเฉินเปิดประตูเดินออกจากเรือนของตน มุ่งหน้าไปยังด้านหลังภูเขา
เมื่อเดินทางไปถึงถ้ำที่มีธารน้ำ เขาเห็นกู่ชิงลั่วกำลังนั่งถูคางตนเองด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ ไม่อาจรู้ได้ว่าในหัวของสาวน้อยกำลังคิดอะไร
เมื่อเห็นซูเฉินเดินมา กู่ชั่งลั่วก็เด้งตัวขึ้นร้องทักเขาด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดก็มาแล้วหรือ?”
“มาหาข้าในเวลาแบบนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
กู่ชิงลั่วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ซูเฉิน ทำสีหน้าท่าทางลึกลับ “ข้ารู้แล้วว่าเยว่อูตี้เป็นใคร
“โอ๋?” ซูเฉินท่าทางสนใจ “เป็นใครหรือ?”
กู่ชิงลั่วหันกลับไป กุมมือไว้ด้านข้าง ทำวางท่าแล้วเดินออกไปสองสามก้าว “แล้วเจ้าถาม ข้าจำเป็นต้องตอบหรือไม่? หญิงสาวผู้นี้อุตส่าห์พยายามตั้งมากมายเพื่อหาข้อมูลนี้มา แต่เจ้ากลับไม่เอ่ยขอบคุณข้าสักคำ”
ซูเฉินหัวเราะ “คุณหนูกู่ความสามารถเหลือล้น เรื่องแค่นี้จะไปหนักหนาอันใด? เรื่องนี้สำหรับเจ้าก็เหมือนแค่เอื้อมมือไปหยิบมาก็เท่านั้น”
คำชมของเขาได้ผลเกินคาด รอยยิ้มของกู่ชิงลั่วผลิบานยามได้ยิน นางหันมาทางซูเฉิน “ดูท่าเจ้านี่ปากหวานไม่เบา”
นางกระโดดโลดเต้นมาทางซูเฉินก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้หูเขาแล้วพูดเสียงกระซิบ “ข้าพบว่าจริง ๆ แล้ว เยว่อูตี้ผู้นี้เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการกองกำลังลับในเมืองฉางผาน”
หัวหน้าผู้บัญชาการกองกำลังลับในเมืองฉางผานหรือ?
ซูเฉินตกตะลึงไป
เมืองฉางผานคือเมืองหลวงของแผ่นดินหลงซาน กองกำลังลับเป็นกองกำลังที่กุมอำนาจอยู่มาก มีอิทธิพลมหาศาลในแผ่นดินหลงซาง คนกลุ่มนี้มีหน้าที่ลาดตระเวน ลอบสังหาร ควบคุมดูแล และรับรองความปลอดภัยของแผ่นดิน เป็นหน้าที่ที่ใหญ่หลวงนัก ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิทธิพลมาก ผู้บัญชาการกองกำลังลับนับว่ามีฐานะสูงส่ง มีอิทธิพลล้นเหลือ นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของแผ่นดิน
ใครจะไปล่วงรู้ว่าเยว่อูตี้ผู้นี้จะมีฐานะสูงส่ง แล้วองค์กรลับนี่ยังกล้าจะฆ่าเขาอีก! ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรือมีความกล้ามากเหลือขนาดไหน ความกล้าพวกนั้นก็เหนือไปกว่าสิ่งที่ซูเฉินคาดการณ์ไว้มาก
การร่วมมือกับองค์กรเช่นนี้ คนอย่างเขาไม่อาจเอื้อมถึงเลยไม่ใช่หรือ?
เคราะห์ไม่ดีที่ซูเฉินไม่อาจถอยหลังได้อีกต่อไป
อาจพูดได้ว่าตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินแผนการของอีกฝ่ายเข้าก็ไร้ทางเลือกอีก ทางเลือกของเขามีเพียงถูกอีกฝ่ายฆ่าปิดปากหรือพยายามเอาชีวิตรอดเท่านั้น บางทีอาจถึงขั้นที่เขาสามารถพลิกสถานการณ์แล้วใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้
กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้น “คนกลุ่มนี้กล้าลอบสังหารผู้บัญชาการกองกำลังลับเช่นนี้ กล้ามากจริงเชียว”
“พวกเขากล้ามากจริง ๆ แต่ในเมื่อกล้าคิดเช่นนี้ ฝ่ายนั้นก็น่าจะวางอุบายไว้ไม่น้อย ชิงลั่ว หลังเจ้ากลับไป เจ้าเตรียมจดหมายลับไปเตือนท่านเยว่ผู้นี้หน่อยเถอะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เป็นผู้บัญชาการกองกำลังลับเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าในปีหนึ่งมีคนต้องการสังหารเขามากเท่าไหร่? แต่หากลอบสังหารเขาได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว เขาก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงป่านนี้หรอก เขียนจดหมายหาเขาไม่ทำให้เขาตั้งรับป้องกันมากขึ้น ทว่ากลับสร้างปัญหาให้เรามากกว่า” กู่ชิงลั่วส่ายหัวก่อนกล่าว “ไม่แน่ กองกำลังลับอาจมาตามหาตัวเจ้า เค้นถามจากเจ้าก็เป็นได้ว่าเจ้าได้ข้อมูลนี้มาจากที่ใด ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับมือสังหารหรือไม่? หากเรื่องบานปลายใหญ่โตจนเกินไป ถึงหูองค์กรนั่น ชีวิตเจ้าก็จะเป็นอันตราย”
กู่ชิงลั่วมาจากตระกูลใหญ่ นางรู้ดีว่าคนฐานะระดับนี้จัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างไร นางรู้ว่าเพียงแค่เขียนจดหมายไป อีกฝ่ายต้องไม่เชื่อเป็นแน่ เขียนไปก็พานแต่จะนำความยากลำบากมาสู่ตนเอง
ซูเฉินตอบกลับ ทำท่าราวกับเพิ่งหลุดจากภวังค์ “ข้าประมาทไปเอง ไม่ว่าจะเตือนเขาหรือไม่ สำหรับเยว่อูตี้แล้วถือว่าไม่ต่าง”
“หากแต่……” ซูเฉินพลันนึกบางเรื่องขึ้นได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดองค์กรนั่นต้องระแวดระวังขนาดนั้นด้วยเล่า? กระทั่งยอมทำตามคำขู่ของข้าเชียวนะ?”
กู่ชิงลั่วเป็นอีกคนที่รู้แผนการของซูเฉิน นางเองเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
คนทั้งคู่ตกลงสู่ภวังค์ความคิดของตนทันที
ชั่วครู่ต่อมา ซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “อาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่พวกนั้นใส่ใจ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ว่าเยว่อูตี้มีการป้องกันตนหรือไม่ แต่เป็น……”
นัยน์ตากู่ชิงลั่วส่องประกายจาง ๆ “เป็นเนินกลบวิญญาณอะไรนั่นน่ะหรือ?”
การลอบสังหารไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพวกเขา เป็นเนินกลบวิญญาณต่างหาก
“สถานที่นั้นมันอะไรกันแน่?” ทั้งคู่เอ่ยคำถามขึ้นมาพร้อม ๆ กัน