Sign in Buddha’s palm 150 กับดัก

 

“ยอมจํานนต่ออาณาจักรถัง?”

 

ท่าที่ของบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองคนอื่นๆก็เปลี่ยนไป

 

ในตอนนี้ เรื่องที่อาณาจักรถังเตรียมกวาดล้างอาณาเขตทั้งสิบแห่งกระจายไปทั่วแล้ว แทนที่จะรอการบุกโจมตี ยอมจํานนเสียดีกว่า อย่างน้อยยังพอรักษาความรุ่งเรืองในอดีตสักครึ่งหนึ่งได้ก็ยังดี?

 

ในขณะที่หัวใจของเหล่าบุตรชายราชาหัวเมืองกําลังสั่นสะท้านกับความคิดนั้น

 

จู่ๆก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา

 

“ยอมจํานน?”

 

“คนอื่นอาจจะรอดไปได้หากพวกเขายอมจํานน”

 

“แต่พวกเจ้าในฐานะทายาทของราชาหัวเมือง คงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เห็นเป็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวมีรอยสีแดงเลือดจางๆที่หน้าผาก ค่อยๆเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

 

“เจ้าคือ?!”

 

สีหน้าของเหล่าบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

“เจ้าคือคนของสํานักสังหารโลหิตหรือ?”

 

มีเพียงบุตรชายของราชาชวอฟางเท่านั้นที่กล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม

 

“สํานักสังหารโลหิต?”

 

บุตรชายของราชาหัวเมืองที่เหลือต่างชําเลืองมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นน่าเกลียด

 

ถ้าไม่ใช่เพราะสํานักสังหารโลหิตมายุยงส่งเสริม ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็คงไม่มีความกล้าที่จะก่อกบฏ

 

ถ้าไม่มีการกบฏก็จะไม่มีวันนี้

 

ปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทําให้พวกเขาตกอับถึงขนาดนี้ก็มาจากสํานักสังหารโลหิต

 

“ไม่เลว”

 

ท่ามกลางสายตาของเหล่าบุตรชายของราชาหัวเมือง ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงกลางหน้าผากก็ยอมรับออกมาตรงๆ

 

“ที่เจ้าเพิ่งพูดมามันหมายความว่าอย่างไร” บุตรชายคนโตของราชาชวอฟางขมวดคิวจ้องไปที่ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก

 

“หมายความเช่นไร?”

 

ชายที่หน้าผากมีรอยสีเลือดยิ้มเยาะเย้ย “เจ้าเดาไม่ออกหรือไร?”

 

“ในเมื่อมีการก่อกบฏเกิดขึ้นแล้ว ตระกูลใหญ่ทั้งเก้าย่อมเข้ามายุ่งเกี่ยว จักรพรรดิถังจะไม่สังหารทุกคนเพื่อที่จะยึดครองอาณาเขตให้สําเร็จ แต่ในฐานะที่เป็นทายาทของราชาหัวเมือง พวกเจ้าคิดว่าตนเองจะรอดตัวกันหรือ?”

 

เมื่อชายที่มีเครื่องหมายสีแดงบนหน้าผากกล่าวขึ้น ร่องรอยของการดูหมิ่นก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าตามมา

 

แม้แต่คนนอกก็ยังมองออกว่าทุกคนคงจะมีทางให้ลง แต่ไม่ใช่กับบุตรชายของเหล่าราชาหัวเมือง

 

อย่างดีที่สุดก็คงต้องถูกบังคับให้ดื่มเหล้าผสมพิษสักหนึ่งแก้ว

 

คําพูดของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดทําให้เหล่าบุตรชายของราชาหัวเมืองส่งเสียงร้องลั่น มือและเท้าเย็นเยียบ

 

“เอาชนะก็ไม่ได้ ขนาดการยอมจํานนก็ไม่ใช่ทางออกที่จะกระทํา”

 

“แล้วตอนนี้เราควรทําเช่นไรดี?”

 

คําพูดของบุตรชายราชาฟานหยางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

พวกเขาคิดจะหนี แต่ในโลกนี้พวกเขาจะหนีไปไหนได้

 

บางที ทันทีที่เขาออกจากอาณาเขตตัวเอง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอาจจะลอบตัดหัวตนถวายแด่องค์จักรพรรดิถังก็เป็นได้

 

“ในเมื่อเจ้ามาหาเรา มันคงจะมีทางออกสินะ?”

 

บุตรชายของราชาชวอฟางจ้องตรงไปที่ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก จากนั้นจึงพูดด้วยน้ําเสียงที่ดูลึกล้ํา

 

“ฮ่าฮ่า

 

เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “การกบฏครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตทั้งสิบของราชาหัวเมืองต้องสูญเสียอย่างหนัก แต่พวกเราสํานักสังหารโลหิตก็สูญเสียไปไม่น้อย”

 

เพื่อสนับสนุนการก่อกบฏของราชาหัวเมืองทั้งสิบ เขาได้ส่งผู้อาวุโสระดับสูงของสํานักออกมาสามคน แต่กลับถูกฝังกลบตกตายไปพร้อมกับราชาหัวเมืองด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น

 

การสูญเสียเช่นนี้ แม้แต่องค์กรขนาดใหญ่อย่างสํานักสังหารโลหิตที่มีตํานานยุทธอยู่ก็ต้องเจ็บปวดชอกช้ํา

 

และสิ่งที่สําคัญที่สุด ไม่ช้าก็เร็วอาณาจักรถังจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นกลอุบายของสํานักสังหารโลหิต

 

เมื่อถึงตอนนั้นอาณาจักรถังจะต้องตอบโต้กลับมาอย่างแน่นอน

 

หากเป็นอาณาจักรอื่น พวกเขาอาจจะเกรงกลัวตํานานยุทธที่เคยอยู่ในสํานักสังหารโลหิตเมื่อสองร้อยปีก่อนและไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร

 

แต่ตอนนี้พระราชวังถังมีตํานานยุทธอยู่ จึงไม่จําเป็นต้องกังวล

 

ดังนั้นชายที่มีรอยสีแดงบนหน้าผากจึงไม่อาจหยุดมือได้ ต้องออกมาเพื่อต่อสู้กันเป็นครั้งสุดท้าย

 

“วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก”

 

“แค่พวกเจ้ายอมจํานน

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเหลือบมองเหล่าบุตรชายของราชาหัวเมืองและกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ยอมจํานน…”

 

บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองมองหน้ากัน ต่างเต็มไปด้วยความสงสัย

 

ในตอนแรกชายคนนี้บอกพวกเขาว่าจะต้องตายแน่ๆหากยอมจํานน แต่ตอนนี้กลับบอกให้พวกเขายอมจํานน

 

“ข้าจะให้พวกเจ้ายอมจํานน แน่นอนว่ามันจะเป็นการยอมจํานนปลอมๆ”

 

“ข้าจะแทนที่หนึ่งในพวกเจ้าและไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิถังด้วยกัน”

 

“จากนั้นข้าจะลงมือสังหารจักรพรรดิถังด้วยน้ํามือของข้าเอง”

 

“เมื่อจักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์ อาณาจักรถังย่อมตกอยู่ในความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง คงไม่มีเวลามาดูแลอาณาเขตหัวเมือง”

 

ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากกล่าวคําช้าๆ

 

“ลอบสังหารจักรพรรดิถัง”

 

ใบหน้าของบุตรชายของราชาชวอฟางเปลี่ยนไป “ในพระราชวังถึงมีตํานานยุทธคอยดูแลอยู่ เจ้าจะลอบสังหารจักรพรรดิถังภายใต้สายตาของเขาได้อย่างไร?”

 

บุตรชายของราชาหัวเมืองต่างก็มองไปที่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดง

 

แผนของชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทํา

 

“ตํานานยุทธ?”

 

“สํานักสังหารโลหิตของข้าก็เคยมีตํานานยุทธมาก่อนไม่ใช่หรือ?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล วิธีการลองสังหารของสํานักสังหารโลหิตไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้”

 

“เยี่ยม”

 

“งั้นก็จงทําตามนั้น!”

 

เมื่อได้ฟังดังนั้น บุตรชายของราชาชวอฟางก็กัดฟันพร้อมกับกล่าวคําว่าเห็นด้วย

 

เช่นเดียวกับที่ชายชุดขาวหน้าผากแดงกล่าว พวกเขาในฐานะบุตรชายของราชาหัวเมือง ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย

 

ภายในพระราชวังถัง

 

ซูฉินกําลังเดินเตร็ดเตร่เรื่อยเปื่อย

 

ในทุกวันนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนบ่มเพาะแล้ว เขายังให้คําแนะนําแก่หลีหว่านบ้างเป็นบางครั้งบางคราว 

 

สาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ที่ดี แม้จะไม่ได้ดีเท่าคนที่มีดวงใจพุทธะอย่างเฉียนขู่แห่งวัดเส้าหลิน แต่ความสําเร็จในอนาคตของนางก็ไม่ควรต่ําตม อย่างน้อยด้วยการแนะนําของซูฉินนางย่อมขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ส่วนนางจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของตัวนางเอง

 

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ แต่ไม่มี “โอสถไทหยวน” ให้เห็นอีกเลย…”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนสลับไปมาอยู่ในหัว

 

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่ได้รับ โอสถไทหยวนเม็ดที่สอง ซูฉินก็ไม่ได้รีบร้อน

 

เขามีเวลาอีกมาก ถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อได้รับมาในอีกหนึ่งปี ก็ยังมีอีกสิบปี ไม่ได้ภายในสิบปีก็ยังมีเวลาอีกร้อยปี

 

แม้ว่าในตอนนั้นซูฉินจะยังไม่ถึงขอบเขตยอดอรหันต์ แต่ก็คงอีกไม่ไกลแล้ว เมื่ออายุขัยเพิ่มขึ้นอีกครั้งเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ท้องพระโรงตําหนักไท่จี้

 

“ฝ่าบาท มีข่าวคราวมาจากอาณาเขตหัวเมือง ทายาทของห้าอาณาเขตที่เหลือเต็มใจยอมจํานนแล้ว และบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองกําลังเดินทางกลับมายังฉางอัน”

 

“ยอดเยี่ยมยิ่ง!” ใบหน้าของจักรพรรดิถังหลี่เชิงแสดงออกถึงความปีติยินดี

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน

 

บุตรชายของราชาหัวเมืองก็ถูกพาตัวกลับมาฉางอันด้วยความราบรื่น

 

“ฝ่าบาท ทายาทราชาหัวเมืองต้องการเข้าเฝ้าพระองค์ บอกว่ามีเรื่องสําคัญจะกราบทูล”

 

ขันที่เข้ามากระซิบบอกองค์จักรพรรดิถัง

 

“เข้าเฝ้าข้า?”

 

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “พา- พวกเขาเข้ามา”

 

ไม่นาน

 

บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองทั้งห้าค่อยๆ เข้ามาภายในพระราชวังโดยมีขันที่นําทางเข้ามา และในที่สุดก็หยุดอยู่ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

 

ขันทีผู้นั้นเดินนําหน้าเข้ามาก่อน จากนั้นจึงเชิญให้บุตรชายของราชาหัวเมืองตามเข้ามา

 

“เจ้ามีเรื่องอันใดจะกล่าวกับข้าหรือ?” จักรพรรดิถังนั่งบนบัลลังก์มังกรและมองดูทายาททั้งห้าของราชาหัวเมืองที่สวมใส่ชุดนักโทษอยู่

 

“ฝ่าบาท

 

“นักโทษอย่างพวกข้ามีเรื่องสําคัญที่จะต้องรายงาน เกี่ยวข้องกับสํานักสังหารโลหิต” บุตรชายของราชาฟานหยางก้าวเท้าออกไปด้านหน้า ต้องการจะกล่าวคําให้ชัดเจนขึ้น

 

“สํานักสังหารโลหิต?”

 

จักรพรรดิถังตกใจ กําลังจะเริ่มตั้งใจฟัง

 

ในฉับพลัน

 

ตอนนั้นเองบุตรชายของราชาฟานหยางก็กลายเป็นเงาสีแดงเลือดพุ่งเข้าหาองค์จักรพรรดิถัง

 

“ตามคาดคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาลอบสังหารข้า”

 

เมื่อเห็นดังนี้ จักรพรรดิถังไม่ได้ตื่นตระหนกเลยราวกับเขาคาดคิดเอาไว้ก่อนแล้ว

 

เพียงเท่านั้น

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ขันทีชุดแดงมากกว่าสิบคน ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิถัง รวดเร็วดุจสายฟ้า

 

ปัง!

 

เสียงทุ่มต่ําดังขึ้น

 

ร่างเงาสีเลือดก็กระเด็นลอยออกไป

 

“ล้มเหลว?”

 

ร่างเงาสีเลือดกลายเป็นชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

เขาไม่ได้คิดฝันว่าจักรพรรดิถังจะได้รับการคุ้มกันจากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นโหลตลอดเวลาเช่นนี้ และพวกเขาตอบสนองว่องไวแทบจะในทันทีที่เขาลงมือ

 

ตึก ตึก ตึก!

 

ที่ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าจํานวนมากและทหารระดับรองแม่ทัพจํานวนมากซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเข้ามาล้อมโถงชีวิตนิรันดร์เอาไว้ ขัดขวางไม่ให้ชายที่มีรอยแดงบน หน้าผากหลบหนีไปได้

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดรู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรก