ภาคที่ 4 ตอนที่ 35 อร่อยมาก ขอบคุณ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

กินผลไม้เชื่อมไหม? 

 

 

คนทั้งหมดนิ่งอึ้งไปแล้ว 

 

 

ต่อให้เคยคิดพันหมื่นทางก็คิดไม่ถึงว่าสตรีคนนี้จะเอ่ยประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา 

 

 

นี่คือบนสนามรบ 

 

 

บนสนามรบทำไมมีสตรีได้? สตรีทำไมมาถึงด้านหน้าที่สุดนี่ได้อีก? ทำไมมาถึงสถานที่อันตรายนี้? 

 

 

ทำไมยังพกผลไม้เชื่อมติดตัวมาอีก? 

 

 

ทำไมคำพูดประโยคแรกต้องเชิญคนกินผลไม้เชื่อม? 

 

 

คำถามนับไม่ถ้วนผุดวาบขึ้นในสมองบรรดาแม่ทัพเหล่านี้ แต่หาคำตอบไม่ได้ 

 

 

เรื่องไม่คาดฝันวันนี้มากมายเกินไปแล้ว 

 

 

คนทั้งหมดไม่ทราบว่าควรตอบสนองอย่างไร 

 

 

สายลมวสันต์ฤดูโชยไล้ใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ขับไล่กลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในจมูก ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมสะอาดของสตรีผู้นี้หรือกลิ่นหอมหวานของผลไม้เชื่อมในมือ 

 

 

เฉิงกั๋วกงมองดูเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มน้อยๆ คลายมือที่กำดาบยาวออก 

 

 

ดาบยาวร่วงลงในเลือดสดแอ่งหนึ่งบนพื้น แลดูเย็นเยียบน่าขนลุก 

 

 

เพราะเสียสิ่งค้ำยันไป ร่างกายเฉิงกั๋วกงจึงไม่มั่นคงอยู่บ้าง รองแม่ทัพหลังร่างรีบพยุงเขาไว้ 

 

 

เฉิงกั๋วกงยื่นมืออกมาแล้วก็หยุดไปอีก 

 

 

“มือของข้า สกปรกไปหน่อย” เขามองดูมือของตนเองแล้วเอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน  

 

 

บนมือเต็มไปด้วยคราบเลือด มีของผู้อื่นแล้วก็มีของตนเอง 

 

 

เขาขออภัยเพราะมือของตนสกปรก แม้ว่านี่เป็นบนสนามรบ ยามได้รับบาดเจ็บหนักหลังการเข่นฆ่า 

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อ ยื่นมือออกมาฉีกกระดาษห่อผลไม้เชื่อมออก วางไว้บนฝ่ามือที่แบออกของเฉิงกั๋วกง นางอมยิ้มมองเขาอย่างตั้งใจและคาดหวัง 

 

 

ดวงตาของแม่นางน้อยคนนี้ละมุนสุกสกาวประหนึ่งสายน้ำวสันต์ฤดูผืนหนึ่ง 

 

 

แม้ไม่ทราบว่านางเป็นใคร แต่ผู้ที่ปรากฏตัวบนสนามรบที่เต็มไปด้วยคาวเลือดแห่งนี้ได้ย่อมไม่มีทางเป็นแม่นางน้อยนุ่มนิ่มจริงๆ แน่นอน 

 

 

บนหน้าของนางเคร่งเครียดอยู่บ้าง แค่ความเคร่งเครียดนี้ของนางไม่ใช่เพราะตัวอยู่ในสนามรบ ยิ่งไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บหนักน่าหวาดผวาทั้งร่างของเฉิงกั๋วกง แต่เป็นผลไม้เชื่อมเม็ดนี้ 

 

 

เคร่งเครียดว่าเขาจะกินหรือไม่กิน เคร่งเครียดว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย 

 

 

คล้ายกับว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพียงหนึ่งเดียว 

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอีกครั้ง ฝ่ามือถือผลไม้เชื่อมที่แกะแล้ว ส่งมาถึงริมฝีปากที่แตกมีรอยเลือดอยู่ กินลงไปในคำเดียว 

 

 

เขาเคี้ยวอย่างตั้งใจ ใบหน้าอ่อนโยนยับย่นเล็กน้อย 

 

 

คุณหนูจวินกังวลนิดๆ ทันที 

 

 

“เปรี้ยวไปหน่อย” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ “อร่อยมาก ขอบคุณ” 

 

 

บนหน้าคุณหนูจวินแย้มรอยยิ้มประหนึ่งบุปผาใบไม้ผลิบานสะพรั่ง 

 

 

ผู้คนรอบด้านโล่งอกอย่างประหลาด คล้ายเรื่องยากลำบากใหญ่หลวงคลี่คลายลงแล้ว คนมากมายยังยิ้มตามโดยไม่มีที่มา 

 

 

“ผลไม้ที่นี่ไม่ไหว ทำออกมาไม่อร่อย” คุณหนูจวินเอ่ย สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย 

 

 

จะเทียบกับผลไม้เชื่อมในวังหลวงได้อย่างไร 

 

 

แม่นางน้อยคนนี้สมองคงไม่ได้มีปัญหาหรอกนะ? เม่ทัพทั้งหลายด้านข้างในที่สุดก็ได้สติกลับมา สีหน้ากลายเป็นแปลกพิกล 

 

 

ผลไม้เชื่อมของสิ่งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องหารือตอนนี้หรือ? 

 

 

“ท่านกั๋วกง แผลของท่าน…” แม่ทัพคนหนึ่งสะอื้นเอ่ย คุกเข่าข้างหนึ่งลง สีหน้าร้อนรนมองดูเฉิงกั๋วกง 

 

 

“ท่านกั๋วกงแผลของท่าน” 

 

 

แม่ทัพคนอื่นก็ได้สติตามพากันล้อมเข้ามาเอ่ยเสียงดัง เตือนสติแม่นางน้อยคนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาอะไร คนผู้นี้ตรงหน้าสภาพเป็นอย่างไร 

 

 

พูดถึงสภาพ เฉิงกั๋วกงบาดเจ็บหนักมากจริงๆ 

 

 

ดาบฟันเปิดเกราะบนแขน บนร่างทุกหนทุกแห่งเลือดย้อมเป็นแถบ 

 

 

แม้ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ไม่มีสีเลือดสักนิด บนหน้าผากยังมีหยดเหงื่อเม็ดโตๆ ไหลริน มือที่กำดาบใหญ่แน่นเมื่อครู่ก็ทิ้งลงหน้าร่างกำลังสั่นเทาอยู่บ้าง ส่วนร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นแล้ว 

 

 

เดิมทีที่กำดาบยาวเมื่อครู่ไม่ได้เพื่อค้ำยันให้นั่งอยู่ แต่เพื่อควบคุมความเจ็บปวด 

 

 

ความเจ็บนี่เห็นชัดว่ามาถึงขีดสุดแล้ว 

 

 

แผลบนร่างเฉิงกั๋วกงแม้มาก แต่ที่นำความเจ็บปวดถึงที่สุดนี้มาและเป็นจุดที่สำคัญที่สุดมีเพียงที่เดียว 

 

 

นั่นก็คือหอกยาวบนหน้าอกของเขา 

 

 

แผลนี้หนักเกินไปแล้ว! เกรงว่า…. 

 

 

แม่ทัพทหารทั้งหลายฉับพลันยิ่งโศกเศร้าเสียใจ คนไม่น้อยคุกเข่ากับพื้นหลั่งน้ำตา 

 

 

“ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหา” 

 

 

ทว่าเสียงอ่อนหวานของสตรีกลับดังขึ้น ทั้งยังมีความเบิกบานอยู่บ้าง 

 

 

ไม่เป็นปัญหา? เบิกบาน? 

 

 

เป็นเช่นนี้แล้ว! ผู้หญิงคนนี้ที่แท้จะ… 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายโกรธเกรี้ยวหันหน้ามา 

 

 

“พวกเจ้าคือกองทหารซุ่นอัน เหมาซุ่นไฉมาหรือไม่?” แม่ทัพคนหนึ่งสะกดโทสะตะโกนเอ่ย 

 

 

กองทหารด้านนั้นตอนนี้เข้ามาใกล้แล้ว เห็นธงกองทัพที่ปลิวสะบัดได้ 

 

 

แม่ทัพย่อมจดจำได้ว่านี่คือกองทหารกองไหน แม้ในนั้นยังมีธงกองทัพที่ไม่รู้จักสักนิดอยู่ด้วยก็ตาม 

 

 

เหมาซุ่นไฉเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทารซุ่นอัน ในฐานะแม่ทัพคนสนิทผู้มีความสามารถของเฉิงกั๋วกง คนที่คบหากับเขาย่อมล้วนต้องเป็นแม่ทัพระดับเดียวกัน 

 

 

คนเหล่านี้ตรงหน้าน่าจะไม่ใช่แม่ทัพระดับสูงทั้งสิ้น เพราะเขาล้วนไม่รู้จัก 

 

 

แต่เดินทางไกลช่วยโจมตีเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ย่อมต้องควบคุมบัญชาการ 

 

 

แต่ทำไมไม่เห็นแม่ทัพใหญ่เหมาซุ่นไฉเลย? ยังอยู่ในกระบวนทัพ? หรือไปลอบโจมตีค่ายใหญ่ของทหารจินแล้ว? 

 

 

แม่ทัพความคิดแล่นผ่านไป ตอนนี้ไม่สนเรื่องนี้ก่อน 

 

 

“หมอในกองทัพยังอยู่ไหม?” เขารีบร้อนเอ่ยอีกครั้ง 

 

 

หมอที่ติดตามกองทัพของพวกเขาโชคไม่ดีต้องศรตายในการโจมตีหลายครั้งก่อนของทหารจินไปแล้ว 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยรีบร้อนพยักหน้า 

 

 

“มีหมอ มีหมอ” เขาเอ่ย 

 

 

แต่ไม่ได้เสียงดังตะโกนเรียกหมออย่างนั้นอย่างที่บรรดาแม่ทัพคาดคิด กลับก้าวไปยืนด้านข้างอีกครั้ง 

 

 

“คุณหนูจวินเชิญขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม 

 

 

อีกแล้ว…. 

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าแข็งทื่อ อยากพูดอะไรก็เห็นเด็กสาวคนนั้นยื่นมือออกมาแล้ว บุรุษคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังร่างนางส่ง**บยาใบหนึ่งมาทันที 

 

 

เป็นหมอจริงๆ ด้วยรึ  

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง ที่แท้ก็เป็นหมอคนหนึ่งนี่เอง นี่จึงติดตามกองทัพมาได้ 

 

 

แต่ผู้หญิงคนนี้ไหวหรือเปล่า? 

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงสตรีเป็นหมอน้อย หมอในกองทัพนี่ไม่เหมือนกับหมอของชาวบ้าน ที่รักษาส่วนมากเป็นแผลจากการรบ สำหรับสตรีทั้งหลายแล้วทั้งเหม็นคาวเลือดทั้งไม่สะดวก 

 

 

คุณหนูจวินย่อตัวลงไปหน้าร่างเฉิงกั๋วกงเริ่มจัดการบาดแผลแล้ว 

 

 

มองดูนางเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ทั้งไม่มีท่าทางขัดเขินหวาดกลัวของสตรี คล้ายเห็นบาดแผลหนังเปิดเนื้อปริจากหอกดาบการรบนี่จนคุ้นชินแล้ว แม่ทัพทั้งหลายโล่งอกเล็กน้อย 

 

 

แต่ยังมีแม่ทัพอีกสองคนก้าวเข้าไปยืนข้างตัวพวกหลี่กั๋วรุ่ย 

 

 

“บาดแผลของท่านกั๋วกงหนักนัก พวกเจ้ายังมีหมอคนอื่นอีกไหม?” แม่ทัพคนหนึ่งในนั้น สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยเสียงเบา 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มแล้ว 

 

 

“ใต้เท้าอู่ ไม่ต้องหาหมอคนอื่นแล้ว” เขาเอ่ย “หากคุณหนูจวินยังรักษาไม่ได้ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีหมอรักษาหายได้แล้ว” 

 

 

ทำไม? วาจาโอหังปานนี้เชียวรึ? แม่ทัพขมวดคิ้ว 

 

 

“เพราะนางคือคุณหนูจวินไงขอรับ” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ย ตื่นเต้นดังเช่นยามแรกสุดที่ได้ยิน “คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง คุณหนูจวินผู้ได้ชื่อว่ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ทำหน่อฝีออกมาได้” 

 

 

ตั้งแต่รวมกองทัพมาล้วนมีนางควบคุม ยาดีที่ใช้รวมถึงฝีมือการจัดการบาดแผลช่วยนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาได้มากกว่าก่อนหน้านี้ครึ่งหนึ่ง 

 

 

ทหารที่บาดเจ็บสำหรับค่ายทหารแห่งหนึ่งแล้วเป็นความเสียหายที่น่ากลัว แต่อีกด้านหนึ่งทหารที่ผ่านร้อยศึกแต่ไม่ตายก็เป็นกำลังที่น่ากลัวของค่ายหทารแห่งหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นตลอดทางนี้เข่นฆ่าผ่านมา นายทหารที่ผ่านศึกรอดมาได้ย่อมมีประสบการณ์การรบเพรียบพร้อมมากกว่าเดิม บรรยากาศของกองทหารซุ่นอันยามนี้กำลังเข้มแข็งกว่าเดิมมาก 

 

 

ชื่อเสียงของคุณหนูจวิน แม่ทัพเหล่านี้ก็เคยได้ยินมาก่อน เรื่องอื่นไม่รู้ การปลูกฝีย่อมต้องรู้ อย่างไรในบ้านคนส่วนใหญ่ก็มีภรรยาและบุตร 

 

 

หมอที่ทำหน่อฝีออกมาช่วยเด็กๆ ให้รอดจากภัยของฝีดาษได้ย่อมเป็นหมอเทวดา 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ไม่สงสัยอีกต่อไป เข้าใจกระจ่าง 

 

 

มิน่าสตรีคนนี้ถึงติดตามกองทัพมาได้ นอกจากนี้คนเหล่านี้ยังเคารพอย่างยิ่ง ที่แท้ก็เป็นหมอเทวดา 

 

 

“คุณหนูจวิน แผลของท่านกั๋วกง…” ทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไปเอ่ยถามเซ็งแซ่ 

 

 

คุณหนูจวินจัดการบาดแผลที่อื่นของเฉิงกั๋วกงเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้กำลังกำหัวหอกบนบาดแผลแน่น 

 

 

หัวหอกย่อมไม่อาจดึง หากดึงออกมาคนย่อมตายคาที่ได้ 

 

 

“หักอีกสักหน่อย…” 

 

 

“พวกเรามาช่วยกดไว้…” 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายด้านข้างเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น 

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นสตรีผู้นั้นชักมือออกแรงสะบัด เฉิงกั๋วกงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง ร่างกายเอนมาด้านหน้า เลือดพริบตาสาดกระจาย หัวหอกที่เดิมทีปักอยู่ตรงหน้าอกถูกสตรีผู้นี้ดึงออกมาโยนทิ้งส่งๆ ไปด้านหลัง ตกลงพื้นส่งเสียงดังเคร้ง 

 

 

ผู้คนรอบด้านไม่ทันตั้งตัวถูกเลือดสาดเข้าเต็มร่างเต็มหน้า หลุดปากส่งเสียงร้องตกใจ 

 

 

เฉิงกั๋วกงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง คนก็เอนไปด้านหลังอีกครั้ง หมดสติไปทันที 

 

 

รอบด้านชะงักนิ่งไปหมด 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายในที่สุดก็ได้สติกลับมา มองดูเฉิงกั๋วกงที่ใบหน้าดั่งกระดาษทองนิ่งไม่ขยับ หน้าอกยังมีเลือดผุดทะลัก แทบจะเป็นลม 

 

 

คุณพระ! 

 

 

สตรีผู้นี้รุนแรงเกินไป เ**้ยมเกินไปแล้วกระมัง? แผลนี่รักษาเช่นนี้ได้หรือ? 

 

 

“เจ้า! เจ้า !” รองแม่ทัพคนหนึ่งท่าทางโกรธเกรี้ยวตะโกน 

 

 

คุณหนูจวินชุบผ้าพันแผลผืนหนึ่งในน้ำยาเข้มข้นจนชุ่มอย่างฉับไว จากนั้นพันบาดแผลของเฉิงกั่วกงอย่างฉับไว 

 

 

“นี่จะห้ามอยู่ได้อย่างไร…” แม่ทัพคนนั้นตะโกนต่อ 

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบ หลี่กั๋วรุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมทีหนึ่ง 

 

 

“ห้ามอยู่แล้วขอรับ” เขาเตือนเสียงเบา 

 

 

แม่ทัพคนนั้นตะลึง มองดูเลือดตรงหน้าอกของเฉิงกั๋วกงไม่ผุดทะลักออกมาอีกต่อไปอย่างที่ว่า 

 

 

“แต่ แต่…” เขาจะพูดอะไรอีก คุณหนูจวินก็ยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้าปากเฉิงกั๋วกงแล้ว จากนั้นก็ถือโอกาสนวดหลายทีให้เขากลืนลงไป ในเวลาเดียวกันเข็มทองหลายเล่มก็แทงเข้าไปบนศีรษะของเฉิงกั๋วกง 

 

 

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น เฉิงกั๋วกงที่หมดสติไปลืมตาขึ้นมา แม้ยังคงใบหน้าดุจกระดาษทอง แต่แววตากลับไม่อ่อนแอ 

 

 

“เคลื่อนไหวฉับไว ดีมาก” เขาขยับริมฝีปากเอ่ย “ขอบคุณ” 

 

 

แม้เสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาชัดเจน เห็นชัดยิ่งว่าสติปัญญาแจ่มใสอยู่ 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางยิ้มให้ ท่าทางขัดเขินอยู่บ้าง คล้ายถูกเอ่ยชมถูกขอบคุณเลยอายอยู่บ้าง 

 

 

คนอื่นก็ไม่กระไรหรอก เหลยจงเหลียนที่มองอยู่ด้านหลังคิ้วเลิกขึ้น 

 

 

ที่แท้เด็กสาวคนนี้ถูกชมก็อายเป็นด้วยหรือ 

 

 

“แผลของท่านกั๋วกง…” แม่ทัพคนอื่นเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง 

 

 

กลัวสตรีผู้นี้จะขยับทำเรื่องน่ากลัวออกมาอีกยิ่งนัก 

 

 

ยังดีครั้งนี้คุณหนูจวินไม่ขยับแล้ว นางดึงเข็มทองออกมาจากนั้นลุกขึ้นยืน 

 

 

“ตอนนี้ไม่เป็นปัญหา แต่ไม่อาจชักช้าต่อได้” นางเอ่ย “รีบออกจากที่นี่ไปสถานที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด” 

 

 

คำพูดนี้ปกติ แม่ทัพทั้งหลายโล่งใจ หลังสตรีผู้นี้ปรากฏตัวก็ไม่มีการกระทำปกติใดทำให้พวกเขากลัวได้แล้วจริงๆ 

 

 

“เหมาซุ่นไฉเล่า?” แม่ทัพคนนั้นเอ่ยถามอีกครั้ง “กองทหารของพวกเจ้าตอนนี้ใครเป็นผู้บัญชาการ?” 

 

 

สายตาของเขากวาดผ่านผู้คน หลังจากนั้นมองเห็นพวกหลี่กั๋วรุ่ยบุรุษหลายคนถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวอีกครั้ง 

 

 

คงไม่กระมัง… 

 

 

หรือว่าอีกแล้ว… 

 

 

คิ้วของแม่ทัพเลิกขึ้น 

 

 

“ตั้งทัพถอนกำลังทหาร เรียกฮั่นชิงกับกองพันที่สามกลับขบวน” เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลังร่าง