ตอนที่ 625 เงื่อนไขการร่วมมือ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ทุกคนจ้องมองไป สิ่งที่ร่อนลงในมือของเยี่ยเทียนหยวนคือวัตถุสีขาวบริสุทธิ์ความยาวสิบชุ่น เล็กบาง ดูจากรูปร่างแล้วคล้ายกับลูกธนูที่ขาดหัวศรไป

“ศิษย์น้อง เจ้าดูสิ” เยี่ยเทียนหยวนนำสิ่งนี้ไปวางไว้ในมือของมั่วชิงเฉิน

เมื่อไปบนมือ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าของสิ่งนี้แทบจะเลือนรางจนมองไม่เห็น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด บนนั้นมีลวดลายเมฆาทอดยาวต่อเนื่อง มีไอสีขาวล้อมรอบอยู่รางๆ แต่แค่ตรงปลายยอด มีลักษณะตัดเรียบ ราวกับยังมีอีกท่อน ที่ถูกอาวุธแหลมคมตัดไป

มั่วชิงเฉินนำสิ่งนี้ส่งให้หลัวอวี้เฉิงและมั่วเฟยเยียน

ส่งวนรอบหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมาอยู่ในมือของเยี่ยเทียนหยวน

“นี่ น่าจะเป็นลูกศรกระมัง” สมบัติเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉินคือธนูเขียวซ่อนเร้น แน่นอนว่าย่อมคุ้นเคยกับลูกศรเป็นอย่างดี

“สิ่งนี้ออกมาจากร่างกายของอสูรลวงตา หากตัวศรถูกเจ้าปีศาจแย่งไป นี่ก็ก็น่าจะเป็นหัวศร” หลัวอวี้เฉิงเอ่ย

มั่วเฟยเยียนเอ่ยถามตรงๆ “ตัวศรและหัวศรประกอบกันเป็นหนึ่ง จะสามารถทลายความว่างเปล่านี้ได้หรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้ม “เรื่องนี้ผู้ใดจะตัดสินได้ แต่ดูจากตอนนี้พวกเราคงทำได้เพียงลองทดสอบดูแล้ว”

“เช่นนั้นจะรออะไรอีก พวกเราไปหาเจ้าปีศาจกันเถิด” มั่วเฟยเยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แม้ว่านางจะครอบครองพลังในการใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมหลอมรวมความรู้สึกต่างๆ ได้ แต่การติดอยู่ในนี้โดยไม่ได้ฝึกฝนมาห้าสิบกว่าปี นี่ก็แทบจะกลายเป็นบ้าอยู่ก่อนแล้ว

“ไม่ต้องไปหาเจ้าปีศาจ” เยี่ยเทียนหยวนกุมสิ่งนั้นเอาไว้แล้วเอ่ยปากขึ้น

เมื่อเห็นสายตาของทั้งสามคนก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าปีศาจติดตามพวกเรามายี่สิบสามสิบปี แล้วยังมาปรากฏตัวแย่งของไปในเวลาที่พอดิบพอดี คิดดูแล้วตั้งแต่ที่พบกับอสูรลวงตาประหลาดนั่น ก็คงนึกถึงจุดนี้ได้แล้ว หากส่วนหัวของอสูรลวงตาและของในร่างจำต้องรวมกันถึงจะมีโอกาสออกไปได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องกลับมาหาพวกเรา”

เพิ่งจะสิ้นเสียง เสียงหัวเราะพลันดังขึ้น ชั่วพริบตาเงาร่างสีฟ้าก็ร่อนลงมา

สายตาของเจ้าปีศาจกวาดไปบนใบหน้าของทุกคนอย่างช้าๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่มือของเยี่ยเทียนหยวน

ทุกคนขยับตัวเข้าหากัน มองเจ้าปีศาจด้วยความระมัดระวังตัว

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างลึกลับ “ไม่ต้องตื่นเต้น ที่ข้ามา ก็เพราะอยากร่วมมือกับพวกเจ้า”

คำพูดของเขา เป็นเครื่องพิสูจน์การคาดเดาก่อนหน้านี้ของทุกคน

มั่วชิงเฉินมองเจ้าปีศาจ ความทรงจำที่ไม่น่าภิรมย์นักค่อยๆ ย้อนกลับมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ใต้เท้าเจ้าปีศาจช่างมั่นใจในตัวเองเสียนี่กระไร อยากมาร่วมมือกับพวกเรา คิดว่าพวกเราจะเห็นด้วยหรือ”

เจ้าปีศาจหรี่ตาลง “นางหนูน้อย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

มั่วชิงเฉินเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เอ่ยทีละคำๆ ว่า “ความหมายของข้าคือ หน้าของเจ้า ไม่ได้ใหญ่อย่างที่เจ้าคิด!”

“เหอะ!” เจ้าปีศาจโกรธจนแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ร่างกายเพิ่งจะขยับ ทุกคนก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีทันที

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ระงับโทสะ เอ่ยว่า “เมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะมีคนบอกว่าจะไปหาข้า หรือว่าข้าฟังผิดไป”

เอ่ยไปพลาง สายตาก็ตกอยู่บนร่างของมั่วเฟยเยียน

มั่วเฟยเยียนมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยอย่างราบเรียบ “เจ้าหูฝาดไป”

“พวกเจ้า!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงพลันหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเย็นชาขึ้น “น่าสนใจนัก พวกเจ้าพูดว่าไม่ร่วมมือกับข้า หรือว่าจะออกไปเองได้”

มั่วชิงเฉินเม้มปากฉีกยิ้ม “คงไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสต้องลำบากแล้ว ศิษย์พี่ พี่เก้า สหายหลัว พวกเราไปกันเถิด”

เดิมเจ้าปีศาจคิดว่ามั่วชิงเฉินใช้อารมณ์มาจัดการเรื่องราว เยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิงที่ไม่ยอมเอ่ยปากมาโดยตลอดย่อมไม่ยอมทำตามแน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอนางหันกาย คนอื่นๆ ก็เดินตามไปทันที กระทั่งไม่มองเขาแม้แต่แวบเดียว

เจ้าปีศาจตกตะลึงอยู่ที่เดิม สีหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าพวกเขาจะมีลูกไม้อะไรอีก ทันใดนั้นเงาร่างคนเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วร่อนลงตรงหน้าของทั้งสี่คน

“เปิดใจคุยกันเถิด พวกเจ้าไม่ร่วมมือกับข้า เพราะอยากทดสอบความอดทนของข้า หรือว่ามีเจตนาอื่น”

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย “ผู้อาวุโส หากท่านอยากร่วมมือ ก็โปรดแสดงท่าทางของผู้อยากร่วมมือ หากเอาแต่ใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง ก็ขออภัยที่พวกเราไม่ไปกับท่าน”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงแววตาเปล่งประกาย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา “ที่แท้ พวกเจ้าก็แสร้งปล่อยเพื่อจับ[1]เท่านั้น ความจริงแล้วจะจำเป็นอะไร หากอยากออกไป พวกเราก็มีแต่ต้องร่วมมือกัน พอออกไปได้ พวกเรามีความสัมพันธ์อย่างไรกันพวกเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ท่าทางอย่างไร จะสำคัญอะไร”

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ต้องอยู่ที่นี่กับผู้อาวุโสแล้ว ไม่เช่นนั้นพอออกไปได้เกิดผู้อาวุโสอยากลงมือสังหาร พวกเราก็รักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้” มั่วชิงเฉินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเยาะ

เจ้าปีศาจเลิกคิ้วขึ้น “มนุษย์อย่างพวกเจ้า ชอบพูดจาอ้อมไปอ้อมมา มีเงื่อนไขอะไร ก็เอ่ยมาเถิด”

เขาไม่ได้โง่เขลา แน่นอนว่าย่อมไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะยอมติดอยู่ที่นี่ตลอด แต่หากออกไปได้ จากพละกำลังแล้วตนก็เหนือกว่าขั้นหนึ่ง ต่อให้ไม่อาจสังหารทั้งหมดได้ แต่สังหารให้ตายสักคนนั้นง่ายดายอย่างมาก

หากขบคิดจากจุดนี้ พวกเขาก็อาจจะยอมดับสูญอยู่ที่นี่จริงๆ

ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พวกเราอยากสูญสิ้นกันอยู่ที่นี่ กลับเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจแล้วจริงๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ถอยก่อนก้าวหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะลองไม่ได้ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล

“ข้อแรก พวกเราต้องตามหาพี่สิบก่อน” มั่วชิงเฉินเอ่ยปาก

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงขมวดคิ้วและย้อนนึกถึงความทรงจำพลางเอ่ย “นางหนูน้อยที่สวมชุดสีแดงหรือ”

“ใช่แล้ว”

“นางหนูนั่นมีพลังยุทธ์แค่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย อยู่ที่นี่ตั้งหลายปีก็ยังไม่เห็นเงาร่าง ไม่แน่ว่าอาจจะตายไปตั้งนานแล้ว” เจ้าปีศาจเอ่ยอย่างไม่สนใจ

มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่เจ้าปีศาจแวบหนึ่ง “ผู้อยู่กับพี่สิบของข้า ยังมีปีศาจบำเพ็ญเพียรอาชิงด้วย ที่นี่ปีศาจบำเพ็ญเพียรมีข้อได้เปรียบไม่เหมือนใคร มีเขาคอยคุ้มครอง พี่สิบของข้าปลอยภัยแน่นอน”

“ปีศาจบำเพ็ญเพียรอาชิง?” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ “ได้ เงื่อนไขนี้ข้ายอมรับ และยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะช่วยพวกเจ้าตามหาคนด้วย ยังมีเงื่อนไขอะไรอีก”

“ภายในระยะเวลาสิบปีหลังออกจากที่นี่ได้ ผู้อาวุโสห้ามมาหาเรื่องพวกเรา” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย

เจ้าปีศาจหยักมุมปาก “สิบปี? ได้ เงื่อนไขนี้ข้าตกลง พอใจหรือยัง”

เมื่อมีเหตุผลที่พอเหมาะก็สมควรหยุด นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ควรรู้ มั่วชิงเฉินพยักหน้า ฉับพลันนั้นก็ได้ยินหลัวอวี้เฉิงเอ่ยปากว่า “ช้าก่อน ยังมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง”

เมื่อได้ยินหลัวอวี้เฉิงเอ่ยปาก เจ้าปีศาจก็เลิกคิ้วขึ้นตามจิตสำนึก แล้วถึงได้เอ่ยถามว่า “เงื่อนไขอะไร”

หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เงื่อนไขนี้ของชนรุ่นหลังง่ายดายกว่าพวกเขามาก ผู้อาวุโสให้ชนรุ่นหลังยืมชุดใส่หน่อยได้หรือไม่”

สวมชุดสตรีในแดนหยินเข้มข้นมาหลายปีแล้วก็น่าเวทนามากแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าตั้งแต่เข้ามาที่นี่ แม้แต่เสื้อผ้าสตรีก็ยังไม่มีให้สวม จึงเปลือยท่อนบนมาห้าสิบกว่าปีเสียเลย

เขาล่วงเกินเทพองค์ใดไปหรือ เหตุใดถึงไม่ปัญหากับอาภรณ์นัก!

“เจ้าพูดอะไร” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงคิดว่าตนเองฟังผิดไป

“ชนรุ่นหลังกล่าวว่า ขอยืมอาภรณ์ของผู้อาวุโสหน่อย” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยหน้าแดงพร้อมกับหอบหายใจ

“บังอาจนัก!” เจ้าปีศาจรู้สึกอับอายจนโมโห ใบหน้าแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู

มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไปทางหลัวอวี้เฉิงแวบหนึ่ง

สหายหลัว เกินไปแล้ว เจ้าไม่กลัวสุนัขจนตรอกหรือ

หลัวอวี้เฉิงหันมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง

เกินไปตรงไหน ข้าเปลือยท่อนบนมาหลายปีไม่เกินไปหรือ

มั่วชิงเฉินกะพริบตาปริบๆ

ถึงอย่างไรเสีย…ข้าก็ชินแล้ว

นี่คือคำพูดที่คนควรพูดหรือ นอกจากเสียสติ สตรีผู้ใดจะชินกับบุรุษเปลือยเปล่าได้!

หลัวอวี้เฉิงเลื่อนสายตาออกอย่างโมโห

แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เอ่ยปากและไม่อาจใช้จิตสัมผัสได้ แต่กลับแลกเปลี่ยนกันผ่านสายตาโดยไม่ปิดบัง

จนปัญญา การได้ลับฝีปากกันหลายครั้งที่หุบไร้วิญญาณในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจคำพูด ความคิด และท่าทางของอีกฝ่าย

เมื่อเห็นหลัวอวี้เฉิงยังยืนกราน เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็โกรธแค้นไม่หยุด มั่วเฟยเยียนเอ่ยกับเจ้าปีศาจอย่างติดรำคาญ “ผู้อาวุโส ก่อนที่ท่านจะแปลงกายได้ ก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้ามิใช่หรือ ตอนนี้จะอายอะไรอีก เสียเวลา!”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงมีสีหน้าแข็งค้าง โกรธจนเสียสติแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้ที่เขาเกลียดชังที่สุดก็คือนางหนูผู้นี้ จึงคำรามออกไปว่า “นางเด็กบ้า เจ้ากำลังลบหลู่เผ่าเฉาเฟิงของพวกข้าหรือ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเผ่าชั้นสูงอย่างพวกข้า แปลงกายได้ตั้งแต่เกิดแล้ว!”

มั่วเฟยเยียนมีสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่ใช่อสูรปีศาจ จะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อเผ่าเฉาเฟิงเป็นเผ่าชั้นสูง เจ้าคืนร่างเดิมก็ได้แล้ว จะได้เอาอาภรณ์ให้สหายหลัว”

ไม่ว่าบุรุษหรือว่าอสูรปีศาจเพศผู้ ล้วนจู้จี้จุกจิกและไม่มีเหตุผลทั้งนั้น!

อาภรณ์ชุดหนึ่งนั้นช่างเถิด ไม่สวมแล้วอย่างไร ผู้ใดจะสนใจมอง

เห็นเจ้าปีศาจหน้าดำคล้ำพูดไม่ออก มั่วเฟยเยียนก็เอียงคอมองหลัวอวี้เฉิง “สหายหลัว ไม่เช่นนั้นเอาอาภรณ์ของข้าให้เจ้าก็แล้วกัน”

เจ้าปีศาจ หลัวอวี้เฉิง เยี่ยเทียนหยวนทั้งสามคนล้วนตัวแข็งทื่อพร้อมกัน

มั่วชิงเฉินอ้าปาก จนเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา รีบหันกายมา

สวรรค์ นางเพิ่งจะรู้ได้อย่างไรว่าศิษย์พี่เก้าจะน่ารักถึงเพียงนี้!

อาภรณ์สีเขียวชุดหนึ่งร่อนลงมาบนฝ่ามือของหลัวอวี้เฉิง

หลัวอวี้เฉิงพลันตกตะลึง “สหายลั่วหยาง นี่คือ…”

สายตาตกอยู่บนร่างของอีกฝ่าย สีหน้าตกตะลึงไปเล็กน้อย “คาดไม่ถึงว่าสหายลั่วหยางจะสวมชุดสองชั้น”

สายตาของทั้งสามคนรวมทั้งเจ้าปีศาจจับจ้องมา เยี่ยเทียนหยวนก็หน้าแดงก่ำเล็กน้อย เอ่ยอย่างใจดีสู้เสือว่า “ยามที่ลั่วหยางออกจากพรรคมาหาประสบการณ์ ก็ชินกับการสวมอาภรณ์เช่นนี้…”

เขาจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าเป็นเพราะออกจากพรรคตั้งแต่เล็ก ถูกสตรีผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนไล่ตามฉีกเสื้อผ้าจนเปลือย เลยจำฝังใจ จึงคุ้นชินมาตั้งแต่นั้น

หลัวอวี้เฉิงได้ยินพลันกวาดสายตาเย็นชาไปที่มั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองเยี่ยเทียนหยวน กัดฟันเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดก่อนหน้านี้สหายลั่วหยางไม่ให้ข้ายืมก่อนเล่า หรือว่าเสียดาย…”

มั่วชิงเฉินถูกสายตาเย็นชากวาดมาอย่างแปลกประหลาด ก็ถลึงตากลับไปแวบหนึ่ง ใช้แววตาแสดงความหมายออกไปว่า เกี่ยวอะไรกับข้า ศิษย์พี่จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ารังเกียจเสื้อผ้าของเขาหรือไม่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดว่าเจ้าชอบเช่นนี้!

หลัวอวี้เฉิงเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉินดี จึงโกรธจนตะลึงค้าง กำลังจะพูดจาเยาะเย้ย ก็ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนกล่าวว่า “ขออภัยด้วย ลั่วหยางคิดไม่ถึงจริงๆ ข้าน้อยคิดว่า เอ่อ สหายหลัวคิดว่าเช่นนี้คล่องตัวกว่า…”

หลัวอวี้เฉิงยกมือขึ้นลูบหน้าผากด้วยสีหน้าดำคล้ำ ความคิดแสนประหลาดเช่นนี้ สามีภรรยาคู่นี้คิดเหมือนกันได้อย่างไร

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตนต้องพ่ายแพ้ที่นี่แล้ว!

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงจัดอาภรณ์ของตนเองอย่างเงียบๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกมา

โชคดีที่ยืนหยัดไปนิด มือเชื่องช้าไปหน่อย ในที่สุดอาภรณ์บนร่างก็ยังรักษาเอาไว้ได้

หึ ขอแค่ไม่ถอดเสื้อผ้าของเขาก็พอแล้ว กายเนื้อของเผ่าเฉาเฟิงข้า จะให้มนุษย์พวกนี้ดูได้อย่างไร!

จากนั้น ก็กวาดสายตาไปทางทุกคนแวบหนึ่ง จึงถือโอกาสอวดฉลาดออกมา “มนุษย์อย่างพวกเจ้า จะหยุดได้หรือยัง ตกลงจะเริ่มร่วมมือได้หรือยัง”

[1] แสร้งปล่อยเพื่อจับ หมายถึง เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการใช้สติปัญญาในการวางแผน การจับเชลยศึกสงครามได้นั้นถ้าหากบีบคั้นจนเกินไปจนไม่สามารถรีดเอาความต่าง ๆ ได้ เปรียบประหนึ่ง “สุนัขที่จนตรอก ย่อมต่อสู้จนสุดชีวิต” การปล่อยศัตรูให้เป็นฝ่ายหลบหนีก็จักเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจ ความเหิมเกริมของศัตรูได้ การปล่อยศัตรูหลบหนีจะต้องนำกำลังไล่ติดตามอย่าลดละ เพื่อเป็นการบั่นทอนกำลังทหารของศัตรูให้อ่อนแรง กะปลกกะเปลี้ย ครั้นเมื่อหมดสิ้นเรี่ยวแรง มิได้มีใจคิดต่อสู้ด้วยก็จะยอมจำนนสวามิภักดิ์ เมื่อนั้นจึงจับเอาเป็นเชลยได้โดยง่าย ซึ่งเป็นการทำศึกสงครามที่ไม่เสียเลือดเนื้อและกำลังทหาร อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ศัตรูแตกพ่ายยับเยินไปเอง ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับไปใช้ได้แก่ขงเบ้งที่ทำศึกสงครามกับเบ้งเฮ็ก เมื่อจับได้เป็นเชลยก็ปล่อยตัวเสียเพื่อให้เบ้งเฮ็กไปรวบรวมผู้คนมาต่อสู้อีกครั้ง จนกระทั่งยอมแพ้และสวามิภักดิ์ต่อขงเบ้ง