ตอนที่ 486 - ปลิวละลิ่วในหนึ่งกระบวนท่า

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.486 – ปลิวละลิ่วในหนึ่งกระบวนท่า 

 

 

 

 

 

ตี๋เฉินกวาดสายตามอง แต่เขาไม่ทราบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคนๆนี้เลย 

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมืองเฟิงหลีร้องขอเข้าร่วมการคัดเลือกอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เมืองเฟิงหลีไม่มีสถานชุมชนในเครือของตัวเองเลย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแข่งขันเพื่อแย่งโควต้า ผู้ประลองถูกเลือกมาโดยตรง ข้อมูลทุกคนจึงไม่มีใครเลยที่หลุดออกมา 

 

 

 

 

 

ขณะนี้ ตี๋เฉินก้าวขึ้นสู่สังเวียน ม่านพลังงานปกคลุม แยกเสียงภายในกับภายนอกออกจากกัน 

 

 

 

 

 

ที่ทำแบบนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นตุกติก มิให้ผู้เชี่ยวชาญในส่งเสียงผ่านพลังสมาธิหรือกำลังภายใน มอบคำแนะนำให้แก่ฝ่ายตน หากปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มันจะนับเป็นการประลองอยู่อีกหรือ? 

 

 

 

 

 

ทว่าผู้ใหญ่จากตระกูลต่างๆ และผู้นำของสี่เมืองทะเลเหนือ เมื่อทั้งหมดมองไปยังชื่อบนหน้าจอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ในหัวใจของพวกเขา จู่ๆก็เริ่มเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง? คงชื่อซ้ำกันมั้ง … ใช่ไหม?” 

 

 

 

 

 

“คงใช่แหละ นี่มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ ผู้การรัฐจะเข้าร่วมการประลองได้อย่างไร” 

 

 

 

 

 

“พูดก็พูดเถอะ ได้ยินมว่าอายุของผู้การรัฐ ยังเด็กอยู่เลย” 

 

 

 

 

 

แต่ละคนหันมา ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้าอยู่ครู่หนึ่ง และสังเกตเห็นถึงความตกใจและหวั่นไหวในสายตาของอีกฝ่าย 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน พิธีกรก็เริ่มแนะนำข้อมูลของผู้ประลองทั้งสอง 

 

 

 

 

 

แน่นอน ว่าข้อมูลเหล่านี้ เป็นสิ่งที่รวบรวมมา และบางอย่างเป็นสิ่งที่ทางตระกูลของผู้ประลองคนนั้นๆให้มา 

 

 

 

 

 

“สหายผู้ชมที่รัก คนแรกที่พวกเราเห็นกันอยู่ในตอนนี้คือตี๋เฉิน เขาอายุ 19 ปี มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E3 กระบวนท่าวรยุทธที่เชี่ยวชาญคือน่องวายุเยือกแข็ง , ฝ่ามือวายุเยือกแข็ง , ดรรชนีดาบเยือกแข็ง … ฯลฯ” 

 

 

 

 

 

“ตี๋เฉินคือสุดยอดอัจฉริยะในงานประลองลูกรักของพระเจ้าของเขตเรา เป็นรุ่นเยาว์ผู้มากพรสวรรค์ที่สุดในสี่เมืองทะเลเหนือ ครอบครองความสามารถเหนือผู้คน” 

 

 

 

 

 

คำสรรเสริญเยินยอต่างๆ โถมทับตี๋เฉินอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

 

 

 

และในเวลานั้นเอง ร่างเงาของอีกบุคคลหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา 

 

 

 

 

 

รูปลักษณ์ของบุคคลที่กำลังก้าวขึ้นสู่สังเวียนยังเด็กนัก แต่ร่างกายกลับสูงใหญ่ถึง 190 ซม. ดูปราดเปรียวและบึกบึน ขนาดตัวบางกว่าตี๋เฉินเพียงเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

เขามาในชุดต่อสู้สีขาว เบื้องหลังสลักด้วยตัวอักษรสีทอง เขียนว่าเฟิงหลี 

 

 

 

 

 

แน่นอน ตัวแทนจากเฟิงหลีคนอื่นๆทั้งสิบคน ต่างก็สวมชุดแบบเดียวกัน ตี๋เฉินบนสังเวียนเลยไม่ได้สนใจอะไร 

 

 

 

 

 

ทว่าเพียงคู่ต่อสู้ปรากฏกาย ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในส่วนเลเวล D หรืออาจารย์ใหญ่จากสถาบันของสี่เมืองทะเลเหนือ ทั้งหมดเริ่มมีสีหน้าราวกับเห็นผี 

 

 

 

 

 

เสียงของพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

“เอาล่ะครับ คู่ต่อสู้อีกคนได้ปรากฏตัวแล้ว เขาคือฉินเฟิง เพิ่งอายุ 17 ในปีนี้ ทำการปลุกพลังเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ส่วนความแข็งแกร่งของเขา เอ่อ … เป็นความลับ” 

 

 

 

 

 

พิธีกรคือผู้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของสังเวียนต่อสู้ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะตระหนักถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และรู้อยู่เต็มอก ว่าฉินเฟิงผู้นี้ คือเจ้าเมืองเฟิงหลีของพวกเขา 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อกวาดสายตาอ่านข้อมูลที่ได้รับมา เขาถึงกับพูดไม่ออก 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าระดับความแข็งแกร่งของฉินเฟิงถูกกรอกเอาไว้ เขียนโต้งๆว่าเลเวล C แต่ความแข็งแกร่งแบบนี้ จะให้พูดมันออกไปได้อย่างไร 

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากแต่ละเกมประลองมักมีการเปิดเดิมพันส่วนตัว และอัตราเดิมพันฝั่งฉินเฟิง ไม่ว่าจะสูงต่ำ แต่หลังจากที่คุณซื้อแล้ว ย่อมชนะอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน คนที่ไม่รู้จักฉินเฟิง เป็นธรรมดาที่ทั้งหมดจะลงเดิมพันฝั่งตี๋เฉิน 

 

 

 

 

 

แต่ทำแบบนี้มันจะดีจริงๆหรือ? นี่ไม่ต่างไปจากการวางกับดัก โกงคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย 

 

 

 

 

 

ผู้คนที่รับชมอยู่นอกสังเวียน มีหลายคนรู้สถานะของฉินเฟิง แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนมาจากสถานชุมชนเฟิงหลี รวมไปถึงผู้คนที่ได้เข้ามาขอฉินเฟิงพักพิงในปราการชาตงแห่งใหม่ 

 

 

 

 

 

แต่ก็ยังมีกองทหารรับจ้างจากที่ต่างๆ และสมาชิกของกองกำลังต่างๆ มาที่นี่เพื่อรับชมการต่อสู้ของเหล่าอัจฉริยะเช่นกัน ซึ่งทุกดคนต่างรู้จักตี๋เฉิน แต่ไม่มีใครรู้จักฉินเฟิง สรุปสั้นๆว่ามีผู้คนหลากหลายในสังเวียนแห่งนี้ 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางสถานการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เงินเดิมพันระหว่างทั้งสอง ผลรวมคือแทบจะใกล้เคียงกัน 

 

 

 

 

 

“ในเกมนี้ ตี๋เฉินจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน!” 

 

 

 

 

 

“ถูกต้อง เพราะตี๋เฉินคืออัจฉริยะที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษโดยตระกูลตี๋ ทรงพลังเป็นอย่างมาก อายุยังน้อยแต่สามารถไปถึงเลเวล E3 แล้ว ในขณะที่เจ้าฉินเฟิงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พิธีกรไม่ได้ระบุเลเวล บางทีอาจจะต่ำเกินไปจนน่าอาย” 

 

 

 

 

 

“เฟิงหลีเพิ่งก่อตั้งมานานแค่ไหนเชียว? จะไปมีอัจฉริยะอยู่ได้อย่างไร!” 

 

 

 

 

 

“แต่อย่างน้อยเขาน่าจะไปถึงเลเวล E มิฉะนั้นคงเข้าร่วมงานประลองไม่ได้ อายุ 17 ปี แต่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ พอลองคิดดูแล้วก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน” 

 

 

 

 

 

“ถูกต้อง ความจริงฉันก็คิดว่าเด็กที่ชื่อฉินเฟิงอาจเป็นม้ามืด พลิกเอามาเอาชนะได้อยู่เหมือนกัน แต่อัตราต่อรองของเขาต่ำมาก เลยไม่คิดเดิมพัน” 

 

 

 

 

 

ระหว่างผู้คนที่มาเยือนกำลังสนทนา ขณะเดียวกันผู้ชมของเมืองเฟิงหลีที่รู้ถึงสถานการณ์ ก็ไม่คิดเอ่ยคำใด เพียงวางเดิมพันทางฝั่งฉินเฟิงอย่างเงียบๆ 

 

 

 

 

 

พิธีกรยังคงบรรยายให้แก่ผู้ชม “สหายผู้ชมที่รัก ทางเรายินดีนำเสนอ กรรมการผู้ตัดสินของงานประลองในครั้งนี้ ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล D3 มิสเตอร์เฉินเซี่ยง!” 

 

 

 

 

 

ทางฝั่งอัฒจันทร์ เสียงปรบมือดังกึกก้องทันที 

 

 

 

 

 

เพราะผู้ใช้อบิลิตี้ถือเป็นอาชีพอันดับหนึ่งในยุคนี้ และด้วยความแข็งแกร่งที่มากถึงเลเวล D3 ถือว่าน่ายำเกรงนัก 

 

 

 

 

 

“และอีกคน ตัวแทนจากตระกูลวรยุทธโบราณชั้นสูง อาวุโสแห่งตระกูลหยาง ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D1 – หยางเหมา!” 

 

 

 

 

 

ทั้งสองได้รับการแนะนำตัวในคราวเดียว พิธีการบรรยายต่อทันที “งานประลองกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า พวกเรามาให้ความสนใจกับอัจฉริยะทั้งสองกันเถอะ!” 

 

 

 

 

 

ขณะนี้ เมื่อฉินเฟิงก้าวมายังใจกลางสังเวียนต่อสู้ ตี๋เฉินเลยสามารถเห็นฉินเฟิงได้ชัดๆ สายตาที่เย่อหยิ่งของเขาตกลงบนกายของศัตรู 

 

 

 

 

 

เจ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มเอ่ยปาก “ทำไมนายถึงไม่ติดตราผู้ใช้พลัง?” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเหลือบมองตี๋เฉิน กล่าวเสียงเรียบ “ถ้าฉันติด เกรงว่านายคงกลัวจนฉี่ราด” 

 

 

 

 

 

สิ่งที่ฉินเฟิงเอ่ยเป็นความจริง 

 

 

 

 

 

เพราะตราผู้ใช้พลังของเขา คือเลเวล C ! 

 

 

 

 

 

แต่ประโยคนี้ เมื่อเข้าหูของตี๋เฉิน มันไม่ต่างไปจากการยั่วยุ! 

 

 

 

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เป็นเด็กเป็นเล็ก แต่ดันพูดจาใหญ่โต แกจะไปแข็งแกร่งกว่าฉันได้ยังไง อีกอย่าง ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของแกมาก่อนเลย!” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงยิ้มบาง “นายอาจเคยได้ยินแล้วแต่นึกไม่ถึง แต่วางใจเถอะ หลังจากกลับไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาบอกชื่อเสียงของฉันแก่นายเอง” 

 

 

 

 

 

แต่ตี๋เฉิน เห็นได้ชัดว่าดูถูกฉินเฟิง “ไม่จำเป็น ฉันไม่อยากรู้ชื่อเสียงของคนที่กำลังจะพ่ายแพ้ มันระคายรูหู!” 

 

 

 

 

 

ในแววตาตี๋เฉินเผยชัดถึงความหยามหยั่น ในขณะเดียวกัน ตี๋เล่ยที่นั่งอยู่ข้างนอกแทบจะกลายเป็นบ้า! 

 

 

 

 

 

‘ไอ้เด็กเปรต รู้รึเปล่าว่าคนตรงหน้าคือใคร? บนฮอลศึกก็เตือนแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา! เชื่อไหม่ว่าอีกฝ่ายใช้แค่นิ้วเดียวก็สามารถบี้เอ็งจนตาย!’ 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงมิได้มีเจตนาจะทำถึงขนาดนั้น  

 

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง เสียงอิเล็กทรอนิกส์เริ่มดังขึ้น 

 

 

 

 

 

“นับถอยหลัง : 10 , 9 , 8 … ” 

 

 

 

 

 

“ 3 , 2 และ1 เริ่มได้!” 

 

 

 

 

 

“ไอ้เด็กขนหน้าอกยังไม่ขึ้น เตรียมลิ้มรสฝ่ามือของบิดา!” 

 

 

 

 

 

การแสดงออกของตี๋เฉิน หยิ่งผยอง ก้าวร้าวอย่างเห็นได้ชัด เขาคร้านเกินกว่าที่จะต่อสู้กับ ‘ตัวตนเล็กจ้อยและอ่อนแอ’ อย่างฉินเฟิง เพราะยังมีการต่อสู้อีกสองนัดข้างหน้ารออยู่ บางทีเขาอาจได้พบกับรุ่นเยาว์จากตระกูลโหวและตระกูลหยางก็ได้ มีแค่ในบรรดาผู้คนเหล่านั้นเท่านั้น ที่ตี๋เฉินเห็นเป็นคู่แข่ง 

 

 

 

 

 

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจลงมือโค่นฉินเฟิงในพริบตาเดียว คร้านเกินกว่าจะเสียพลังงานไปกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าเดียว ทว่าทรงพลัง 

 

 

 

 

 

แน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับฉินเฟิง ตี๋เฉินไม่คิดแม้จะแตะอาวุธ 

 

 

 

 

 

กระบวนท่าฝ่ามือวายุนี้ ส่งกลิ่นอายและแรงกดดันเหนือชั้นชนิดหาตัวจับยาก กำลังภายในถูกควบรวม ส่งเสียงคำราม ก่อตัวเป็นลมหวิวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สร้างความรู้สึกตื่นตาให้แก่ผู้ชม 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเงยหน้ามองเขาเพียงครู่ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ชี้เป็นนิ้วเดียว 

 

 

 

 

 

เพียงพริบตา ดั่งกระสุนสังหาร พลังงานบริสุทธิ์ได้แปรเปลี่ยนเส้นตรง จี้ออกจากนิ้ว ทะลวงฝ่ามือวายุ 

 

 

 

 

 

หรือจะกล่าวได้ว่า มันทะลวงเข้าทางจุดบอดของฝ่ามือวายุก็ได้ หลังจากแหวกฝ่ามือไปได้ มันก็กระแทกเข้าใส่ไหล่ของตี๋เฉินทันที 

 

 

 

 

 

ตี๋เฉินรู้สึกราวกับความแข็งแกร่งที่มิอาจต้านทานถูกส่งเข้ามา กำลังภายในอันน่าสะพรึงตีเข้าใส่ ส่งเขาลอยกระเด็นออกไป 

 

 

 

 

 

สองขาของตี๋เฉินลอยจากพื้น ปลิวไถลมาไกลกว่า 20 เมตร ก่อนล้มกลิ้งลงกับพื้น ฝ่ามือวายุที่เขาแสนภาคภูมิ ที่เกิดจากการควบรวมและอัดแน่นของกำลังภายใน มิอาจรักษาสมดุลเอาไว้ได้ เมื่อลอยมาไกลกว่า 20 เมตร มันก็ระเบิดสลายไปทันที 

 

 

 

 

 

ส่วนฉินเฟิง นอกจากแขนข้างเดียวที่ยกขึ้น ไม่มีส่วนใดขยับเขยื้อนอีกเลย