บทที่ 982 รับของขวัญจนมือไม้อ่อน โดย Ink Stone_Fantasy
ไม่ใช่ว่าตำหนักสวรรค์ไม่อนุญาตให้รับปีศาจเข้ามาทำงาน ที่จริงแล้วตำหนักสวรรค์มีภูตผีมารปีศาจอยู่เยอะมาก เพียงแต่ถ้าลูกน้องของเหมียวอี้เป็นปีศาจทั้งหมด ก็อาจจะดูสะดุดตาไปหน่อย ถ้านำกำลังพลออกไป ปราณปีศาจอบอวล จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกกลายเป็นรังปีศาจไปแล้ว!
ถ้าพิจารณาให้ลึกกว่านั้น ก็ยังเป็นปัญหาเรื่องความปลอดภัย การนำพวกปีศาจของทะเลดาวนักษัตรมาที่นี่ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกันแน่? นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด!
จากสายตาของผู้บังคับการกองห้าที่กำลังมองตนตาปริบๆ เหมียวอี้ก็ดูออกว่าพวกเขากำลังเฝ้ารออย่างแรงกล้า เฝ้ารอให้ตนเลื่อนขั้นให้เป็นกรณีพิเศษ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเลื่อนขั้นคนพวกนี้เป็นกรณีพิเศษ เพียงแต่หลังจากผ่านเรื่องที่ภูเขาโอนเอนมา เขาก็ไม่ค่อยวางใจคนพวกนี้เลย ถ้าดูจากในบางด้าน คนพวกนี้นับว่าเน่าเปื่อยผุผังหมดแล้ว ล้วนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนอ่างย้อมผ้า
“ผู้บังคับการกองห้าอยู่ก่อน คนอื่นถอยไป!” เหมียวอี้เรียกพวกผู้บังคับการกองห้าเข้ามา แล้วนำสิ่งที่โค่วเหวินหลานบอกถ่ายทอดให้พวกเขาไปจัดการ สั่งให้พวกเขาไปติดประกาศเรื่องเฮยหวัง
พวกผู้บังคับการกองห้าเอ่ยรับคำสั่ง ต่างก็ตบหน้าอกรับประกันว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดี แล้วก็รีบส่ายก้นออกไป รีบไปแสดงความสามารถ
เหมียวอี้ที่ยืนลำพังอยูบนบันไดตำหนักใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจะทดสอบเสียงของโค่วเหวินหลาน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ตัดสินใจจะใช้งานคนของทะเลดาวนักษัตร
อวิ๋นจือชิวบอกเขากลายครั้งแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาหาเขาบ่อยๆ ขอเพียงไม่เห็นเขา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดาออกทันทีว่าเขาไปพิภพใหญ่ แต่ละคนกระเหี้ยนกะหือรือมาก ถ้าไม่ให้คำอธิบายกับพวกเขา เจ้าสี่คนนั้นก็อาจจะจนตรอกกลายเป็นหมากระโดดกำแพง ไม่มีใครหรอกที่มองเห็นความหวังแล้วยังจะยินดีกล้ำกลืนความอัปยศอดสูอยู่ภายใต้หกปราชญ์ต่อไป
ส่วนเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าลูกน้องมีแต่พวกที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม ที่ตนเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเป็นเพื่อนกับคนอันตรายมาตลอด แต่ต่อให้อันตรายก็ต้องรู้จักเลือกให้เป็น ตราบใดที่ตนยังรักษาช่องทางไปมาระหว่างพิภพเล็ก พิภพเล็กก็ยังเป็นทางหนีทีไล่ให้ตนได้!
เมื่อคิดได้แบบนี้ เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ดูจวนขุนนางของตัวเองอย่างเป็นทางการก็เหาะออกไปแล้ว เหาะไปเหยียบนอกตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง ไปขอพบโค่วเหวินหลานอีกครั้ง
เมื่อทั้งสองพบกัน โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างแปลกใจว่า “มีเรื่องอะไร?” ถึงอย่างไรก็เพิ่งแยกกันได้ไม่นาน
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมยอกว่า “ข้าน้อยกลับไปดูมาแล้ว เบื้องล่างมีแต่เกราะรบสีขาวกับสีดำ ไม่เห็นเกราะทองสักคน ในเรื่องบุคลากร ข้าน้อยอยากจะฟังความเห็นของผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย”
โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้เขานั่งลงคุยกัน พอตัวเองนั่งลงแล้ว ก็ถามว่า “ทำไม? ข้ามอบอำนาจให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้? ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหาเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องหาคนข้าก็หาได้อยู่ เพียงแต่กำลังคนที่พอจะใช้งานได้ ที่ข้ารู้จักส่วนใหญ่ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้ว่าข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน รู้จักคนของตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ เติมนักพรตบงกชทองรวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งหมดไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์เลย ข้าน้อยเองก็ไม่มีความสามารถที่จะรับพวกเขาเข้ามาทั้งหมดในรวดเดียว”
โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็เข้าใจความหมายแล้ว ที่มาขอคำแนะนำคือเรื่องโกหก หวังให้ตนออกหน้าช่วยต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ลูกน้องที่ตนเลื่อนขั้นให้มาขอร้องเป็นเรื่องแรก คงไม่ดีถ้าจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยังกล่าวเสียงต่ำว่า “เข้าตำหนักสวรรค์รวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งยังเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก! ข้าสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ แต่เจ้าต้องเข้าใจก่อนนะ ว่าคนที่เลือกมาจะต้องเชื่อถือได้ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าไม่เพียงแค่จะไม่รับผิดชอบให้เจ้า หากเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะต้องรับไว้เอง!” เขามีความสามารถและอำนาจหนุนหลังสำหรับการหาแพะรับบาปแน่นอน
“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจ ถ้าเชื่อถือไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่เอ่ยปากเหมือนกัน” หลังจากเหมียวอี้ตอบ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ยังมีอีกปัญหาหนึ่งขอรับ สามสิบกว่าคนนี้เป็นนักพรตปีศาจทั้งหมด!”
“…” โค่วเหวินหลานอ้าปากค้างครู่หนึ่ง มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักคนอื่นเลย คบค้าแต่กับปีศาจมาตลอด? หลังจากอ้าปากค้าง ก็บอกว่า “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ห้ามมีครั้งหน้า!”
“รับทราบ!” เหมียวอี้ยืนขึ้นทันที กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าซาบซึ่งใจ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาหาโค่วเหวินหลาน ถ้าคนนอกจะเข้าตำหนักสวรรค์ ก็จะต้องมีคนระดับผู้บัญชาการใหญ่สามคนแนะนำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือช่วยรับประกัน หากเกิดเรื่องขึ้น คนที่รับประกันก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ทว่าคนระดับผู้บัญชาการใหญ่ที่เขารู้จัก ก็มีแค่โค่วเหวินหลานคนเดียว จะไปหาผู้บัญชาการใหญ่มากขนาดนั้นจากไหนมารับประกัน?
ส่วนที่บอกว่า ‘ห้ามมีครั้งหน้า’ เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลอะไร ถ้าตัวเองเข้าตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ไม่เชื่อหรอกว่าต่อไปจะไม่รู้จักคนระดับผู้บัญชาการใหญ่อีก ถ้าในภายหลังหาคนจากพิภพเล็กมาอีก อย่างมากก็ไปขอให้คนอื่นแนะนำก็ได้
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็กลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างหายห่วงเสียที กลับไปที่ลานบ้านของตัวเองโดยตรง เมื่อเดินมาตรงหน้าศาลเจ้าของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ในโถงหลัก ร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของตัวเอง
ข้างในยังคงเป็นลานบ้าน สภาพข้างในถูกโค่วเหวินหลานซึ่งเคยดำรงตำแหน่งมาก่อนตกแต่งไว้ดีมาก เพียงแต่เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร เขาไม่ใช่คนสง่างามมีระดับ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยสนใจของสวยงามเลย จึงเดินตรงไปที่โถงหลัก
ของที่ควรวางแสดงในโถงหลักถูกโค่วเหวินหลานเก็บไปด้วยหมดแล้ว ดูว่างเปล่ากว้างโล่ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ ต่อให้โค่วเหวินหลานไม่นำไปด้วย เขาก็ ‘ทำใจไม่ลง’ ที่จะใช้ของที่โค่วเหวินหลานทิ้งไว้อยู่ดี
ตรงกึ่งกลางโถงหลักมีจานกลมสีทองที่เหมือนกับแท่นโม่ กินพื้นที่ของห้องโถงไปเกินครึ่ง แบ่งเป็นสามชั้น แต่ละชั้นหมุนเป็นเกลียวลงมาเหมือนก้นหอย เหมือนรองรับให้ของอะไรบางอย่างไหลลงมาเพื่อใช้งานด้านล่าง ด้านบนมีของบางอย่างที่คล้ายๆ เชิงเทียน
ของชิ้นนี้สูงเท่าหน้าอก ทะลุลงใต้ดินโดยตรง เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับชัยภูมิถ้ำสวรรค์ นี่ก็คือเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถน
เหมียวอี้เดินวนพลางยื่นมือไปลูบไล้ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็ใช้สองนิ้วแตะบนเครื่องมือ ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป
เมื่อประทับตราอิทธิฤทธิลงไป ไม่นาน บน ‘เทียนไข’ ที่เหมือนเชิงเทียนก็มีแสงสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทันที คล้ายๆ กลับจุดเทียน
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ สงสัยทางโค่วเหวินหลานจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก พอประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป เทียนไขเล่มนี้ก็จุดติดไฟทันที แสดงว่าทางโค่วเหวินหลานนำตราอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองส่งให้ใส่มาที่เครื่องมือทางฝั่งเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นทางฝั่งนี้คงไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
หรือพูดได้อีกอย่างว่า พลังปรารถนาที่เขารวบรวม เป็นสิ่งที่ทางโค่วเหวินหลานแจกจ่ายมาให้ สิ่งนี้ทันสมัยกว่าเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็ก อย่างน้อยก็ไม่ต้องคุ้มกันส่งส่วยอะไรนั่นอีก เทียวไปเทียวมายุ่งยากเกินไป
ผ่านไปไม่นาน ‘น้ำตาเทียน’ ก็หยดลงมาหนึ่งหยด พอมันกระโดดในแอ่งเว้าของจานกลม ลูกแก้วพลังปรารถนาขนาดเท่าไข่นกคุ่มลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แล้วไหลตามปากหอยลงมาในแอ่งเว้าที่อยู่ล่างสุด
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดมาไว้ในมือแล้วใช้นิ้วขยี้ดู เป็นลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งลูก นี่ก็คือรายได้ของผู้บัญชาการอย่างตน
สวัสดิการของเขาคือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงปีละหนึ่งล้านลูก หรือเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก ไม่ต่ำกว่ารายรับในแต่ละปีของหกปราชญ์ที่พิภพเล็กเลย แน่นอนว่าหกปราชญ์ยังมีรายนับด้านอื่นๆ อีก แต่เขาก็มีรายรับอย่างอื่นอีกเหมือนกัน นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ลำพังแค่เงินสินบนจากร้านค้านับหมื่นในเขตเมืองตะวันออกก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่หกปราชญ์จะเทียบติดเลย นี่ก็คือทรัพยากรฝึกตนของพิภพใหญ่
เสียงหยดติ๋งๆ บนจานกลมดังไม่หยุด ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงโผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเหมือนน้ำซับฟังแล้วรื่นหูมาก ช่างฝีมือที่ออกแบบหลอมสร้างก็นับว่าใช้ความคิดไปพอสมควร ตรงนี้ไม่ได้มีแค่รายได้ของเขาคนเดียว รายได้ของพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกก็รวบรวมไว้ที่นี่เช่นกัน โดยมีเขาเป็นคนแจกจ่าย
หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขที่อยู่บนจานกลมให้สูงขึ้นหนึ่งชั้น เสียงของลูกแก้วพลังปรารถนาที่ตกลงมาฟังดูรวดเร็วขึ้นเยอะมาก ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับกลางไหลตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า พอร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขให้สูงขึ้นอีกชั้น ก็ได้ยินเสียงลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำกลิ้งออกมาทันที เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างหนวกหู
จากนั้นก็ย้ายกลับมาอยู่ในสถานะรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูง เสียงหยดคล้ายๆ น้ำซับน่าฟังกว่านิดหนึ่ง…
ตลาดสวรรค์แบ่งเป็นสี่แยกโดยมีตำหนักคุ้มเมืองอยู่ตรงกลาง แบ่งเป็นเขตเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเปลี่ยนคนแล้ว มีคนมาแสดงความยินดีที่จวนผู้บัญชาการอย่างไม่ขาดสาย ล้วนเป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาเยี่ยมคารวะ ย่อมต้องถือของขวัญมาด้วยอยู่แล้ว ทุกคนไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยมาที่นี่ อันดับหลักและอันดับรองคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ความหนักเบาในการให้ของขวัญย่อมมีการแบ่งแยกอยู่แล้ว
เหมียวอี้ที่รักษาการณ์ที่ผู้จวนบัญชาการ ช่วงนี้ไม่ได้ทำงานอะไรทั้งนั้น เรื่องบุคลากรก็วางไว้ก่อนชั่วคราว เขาแค่ยุ่งอยู่กับการรับแขกที่เป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ร้านค้านับหมื่นของเขตเมืองตะวันออก ถ้าจะให้รับแขกทุกร้านก็ทำไม่ได้ไหว ทำได้เพียงรับแค่ร้านที่รวยๆ เท่านั้น รับมือกับพ่อค้าที่ค่อนข้างมีอำนาจหนุนหลัง
ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกับผู้บัญชาการปรากฏออกมาแล้ว ปกติพ่อค้ารายใหญ่พวกนั้นจะไม่สนใจใยดีผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ เลย การที่พวกเขาสามารถมีที่ยืนตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามีอำนาจและภูมิหลังในระดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ แต่สำหรับผู้บัญชาการที่คุมเขตนี้ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ไม่ว่าในใจจะดูถูกหรือไม่ แต่การพูดจายกยอก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะกลั่นแกล้งให้ลำบากใจ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ยังมีโค่วเหวินหลานหนุนหลังอยู่ด้วย
คนหนุนหลังระดับโค่วเหวินหลานไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีเรื่องด้วยไหว ยกตัวอย่างเช่น หลังจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก่อเรื่องที่เขตเมืองตะวันออก ทำลายร้านค้าเสียหายไปมากมาย ติดหนี้ไว้แล้วหนีไปแล้ว แต่ใครจะกล้าพูดอะไรล่ะ? ใครจะกล้าไปทวงหนี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง? ทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเท่านั้น ที่จริงร้านค้าพวกนั้นก็คือคู่กรณี เรียกได้ว่าเห็นกับตาว่าลูกน้องของโค่วเหวินหลานปล้นของในร้านค้าไป แต่ใครจะกล้าไปพูดจาซี้ซั้วล่ะ! ถ้าทำแบบนั้นก็แสดงว่าไม่อยากทำมาหากินแล้ว อำนาจที่หนุนหลังอีกฝ่ายสามารถทำลายตระกูลเจ้าได้เลย ไม่เห็นหรือว่าขนาดปี้เยว่ฮูหยินยังต้องหลับตาข้างเดียว!
ผู้ที่มาพากันเอ่ยปากเชิญแทนเจ้าของร้านของตัวเอง เชิญให้เหมียวอี้มาเป็นลูกค้าที่ร้านยามมีเวลาว่าง เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ขยายเครือข่ายเส้นสายให้เหมียวอี้แล้ว
ท่านขุนนางเหมียวเรียกได้ว่ารับของขวัญจนมือไม้อ่อน รอยยิ้มบนใบหน้าค้างจนกลายเป็นแม่พิมพ์ไปแล้ว มีคนนำของขวัญมาให้ถึงที่ จะไม่มอบใบหน้ายิ้มแย้มให้สักหน่อยก็ไม่ได้หรอกมั้ง? ส่วนเจ้าของร้านส่วนใหญ่ที่ระดับยังไม่สูงพอ เขาก็ไม่แม้แต่จะพบหน้าด้วยซ้ำ คนพวกนั้นก็รู้เช่นกันว่าคนที่มารับตำแหน่งใหม่อย่างเขามาพบไม่ไหวจริงๆ ดูจากผู้ที่คนขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ขาดสายที่นอกผู้จวนบัญชาการก็รู้แล้ว ทำได้เพียงทิ้งของขวัญกับนามบัตรไว้ให้แล้วกล่าวอำลา
เข้าสังคมทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่องหลายวัน ที่จริงนักพรตก็ไม่สนใจว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพียงรักษาความเคยชินดั้งเดิมตอนเป็นมนุษย์ไว้เท่านั้นเอง เมื่อผ่านไปหลายวัน ตอนที่กระแสผู้คนค่อยๆ เบาบางลง ก็มีลูกน้องยื่นกระดาษชิ้นเล็กมาให้ พอเหมียวอี้เปิดอ่านก็อึ้งทันที หวงฝู่จวินโหรวแห่งร้านค้าสมาคมวีรชนมาแล้ว
ผู้หญิงคนนี้จะถ่อมาประสมโรงทำไม? เจ้าอยู่เขตเมืองตะวันตก จะถ่อมาแสดงความยินดีที่นี่ทำไม? เหมียวอี้ที่กลัวว่าจะหลบไม่ทันปวดประสาทนิดหน่อย เขาค่อนข้างกลัวนาง
…………………………