อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 369 นางคือหัวหน้าเผ่า
คนตรงหน้าคือชายชราอายุประมาณห้าสิบกว่า เขายังไม่ถึงหกสิบ แม้มีกำลังวังชา แต่เส้นผมกลับขาวโพลน

ชายชราเห็นนาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตา “อาหน่วน ตามตัวยังเจ็บหรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยข้า”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว นังเด็กอินเอ๋อร์นั่นปากมากนัก เจ้าอย่าฟังนางพูดเพ้อเจ้อ มา กินข้าวก่อนเถอะ เจ้าหมดสติไปหลายวันหลายคืนแล้ว”

ชายชราถือโจ๊กยาบำรุง ควันร้อนพวยพุ่งชามหนึ่งขึ้น เป่าเบาๆ ป้อนให้กู้ชูหน่วนด้วยตนเอง

โจ๊กยาบำรุงหอมมาก เพียงสูดดมนางก็รู้ทันที ว่าโจ๊กยาบำรุงนี้ใช้สมุนไพรชั้นเลิศ รวมไปถึงของบำรุงหายากตุ๋นช้าๆ หลายชั่วยามจึงจะเสร็จ

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงอี้เฉินเฟย เหล่าอาวุโสกำลังช่วยเขาสุดกำลังอยู่แล้ว จะรอดหรือไม่ ก็ดูคืนวันนี้แล้ว”

ไม่รู้ว่าเพราะนึกถึงอาการบาดเจ็บของอี้เฉินเฟยหรืออย่างไร ดวงตาฟางคู่นั้นของชายชราจึงมีความเจ็บปวดที่ขจัดไม่ออก

ไม่ได้กินข้าวหลายวัน ท้องของกู้ชูหน่วนกำลังปกปิดความว่างเปล่าอยู่ นางกินไปก็ถามไป “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า?”

“ปู่ไป๋เฉ่าแม้แก่แล้ว แต่ตายังไม่บอด อย่าได้สงสัย เจ้าก็คือหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก และเป็นอาหน่วนที่เราเห็นมาแต่เล็กจนโต ระยะก่อนเจ้าเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บที่ศีรษะ ปู่ไป๋เฉ่ารู้ว่าหลายๆ เรื่องเจ้าจำไม่ได้แล้ว ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิดก็ได้ ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างมีความสุขก็พอ”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว “ตามความทรงจำในหัวของข้า แต่เล็กจนโตข้าโตอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง”

“เด็กโง่ จวนเฉิงเซี่ยงเป็นแค่ที่เล็กๆ ที่เจ้าพักอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เจ้ายังเห็นที่นั่นเป็นบ้านตัวเองจริงเสียนี่”

“ฉะนั้น ฐานะที่แท้จริงของข้าคือหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก คุณหนูสามที่ไม่เป็นที่รักของจวนเฉิงเซี่ยง เป็นแค่อีกตัวตนของข้าเท่านั้น? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ารับความอยุติธรรมมากมายในจวนเฉิงเซี่ยงขนาดนั้น ทำไมพวกท่านไม่รับข้ากลับมา แล้วยังดูพวกเขาทำร้ายข้าต่อหน้าต่อตาอีก?”

ทันใดนั้นร่างกายผู้อาวุโสไป๋เฉ่าก็แข็งทื่อ ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้แต่เนื้อตัวก็แผ่กลิ่นอายเศร้าหมองออกมาจางๆ

อยู่นานเขาถึงถอนหายใจเบาๆ “อาหน่วน หลายๆ เรื่องไม่อาจพูดได้หมดในคำเดียว เอาไว้อาการเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะค่อยๆ บอกกับเจ้า”

“ไม่อาจพูดได้หมดในคำเดียว เช่นนั้นก็เล่าแบบรวบรัดใจความ ถ้าไม่อยากพูด ก็พาข้าไปหาอี้เฉินเฟยเดี๋ยวนี้ ข้ารอไม่ได้แม้แต่ยามเดียว”

“เด็กคนนี้นี่ เหตุใดยังดื้อรั้นใจร้อนเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด”

ผู้อาวุโสไป๋เฉ่ายังอยากกล่าวบางอย่าง จู่ๆ ข้างนอกก็มีเสียงเรียกใสดังขึ้น “ผู้อาวุโสไป๋เฉ่า ผู้อาวุโสใหญ่เรียกให้ท่านไปหน่อย”

“ผู้อาวุโสใหญ่มีอะไรสั่งหรือ?”

“ข้าก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน แต่ผู้อาวุโสใหญ่รีบร้อนมาก ให้ท่านไปเดี๋ยวนี้”

ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “เช่นนั้น เจ้าก็พักผ่อนก่อน ข้าไปดูสิว่าผู้อาวุโสใหญ่ตามข้าด้วยเรื่องอะไร เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”

“ได้”

กู้ชูหน่วนรับคำเบาๆ มองผู้อาวุโสไป๋เฉ่าออกจากห้อง

นางลุกขึ้น ผลักประตูออก กลับที่นี่เป็นวิมารแดนดิน ดอกไม้ป่าเบ่งบานทั้งภูผา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีชุ่มฉ่ำ เคหะบ้านเรือนสลับเฉเฉียงน่าสนใจ หลังหนึ่งเชื่อมกับอีกหลังหนึ่ง สายลมอ่อนพัดโชย ไม่เพียงพกพากลิ่นอายวสันตฤดู ยังมีกลิ่นหอมมวลดอกไม้จางๆ สุดลูกหูลูกตา

ในหมู่บ้าน เด็กๆ กำลังหยอกล้อเล่นกัน บรรดาบุรุษทำไร่ทำนา สตรีบ้างซักอาภรณ์อยู่ข้างลำธาร บ้างจับกลุ่มล้อมวงสนทนาอะไรกัน เผยรอยยิ้มชื่นบานเป็นครั้งๆ

ภาพในหุบเขาช่างงดงามเหลือเกิน ทุกอย่างดูเงียบสงบและอบอุ่น

แต่ไม่รู้เพราะอะไร คนทั่วไปที่นี่กลับดูแก่ บุรุษที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ โดยรวมอายุไม่ถึงสี่สิบก็ผมหงอกขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

สีหน้าเหล่าสตรีก็ทั้งขาวทั้งไม่น่ามอง ประหนึ่งขาดสารอาหารเป็นเวลานาน หรือความทรมานจากโรคภัย