ตอนที่ 423

Black Tech Internet Cafe System

“เข้าร่วม ..” พวกเขาตัวแข็งไปชั่วขณะ “เข้าร่วมสมาคมของเจ้า?”

 

ฟางฉีเอ่ยถามพวกเขาว่าต้องการเข้าร่วมสมาคมของเขาหรือไม่

 

หลี่หลันเหลียวรู้สึกพูดไม่ออก สำหรับเธอแล้วมันเป็นการเอาชีวิตรอดและหลบหนีอย่างหวุดหวิดจากการโจมตีของผู้คนจากวังดาบสวรรค์และเธอเองยังคงรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย

 

อย่างไรก็ตามกลับมีผู้อาวุโสลกลับได้เชื้อเชิญให้เธอเข้ารวมสมาคมของเขา ..

 

“แน่นอนว่าข้าต้องการเข้าร่วม” เธอกล่าว “แต่ .. วันนี้ข้าสร้างปัญหาให้ท่านมากพอแล้วโดยการทำให้ท่านกลายเป็นศัตรูของคนจากวังดาบสวรรค์ เช่นนี้แล้วจะให้ข้าสร้างความเดือดร้อนให้ท่านเพิ่มได้อย่างไร”

 

ผู้คนในร้านครึ่งเมืองต่างส่งความเห็น [ไม่ใช่ปัญหา! เขาสามารถเอาชนะปีศาจจากที่ลับของหนานหัวได้สบายมาก ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้!]

 

รวนหนิง [ขนาดปีศาจผู้แข็งแกร่งเขายังจัดการมาแล้ว!]

 

รวนหนิงและซียือคุยกันอยากออกรส “อีกไม่นานก็จะพามือใหม่ออกจากวิถีดั่งเดิม”

 

เมื่อมองดูความเห็นใบหน้าของเขากระตุก “พวกเจ้าอย่าเพิ่งสร้างปัญหาได้มั้ย”

 

จากนั้นเขาพูดกับคนที่เขาช่วยชีวิตว่า “มันไม่มีปัญหาอะไรเลย พวกเขามายุ่งกับสมาคมของข้าก่อนและคนที่มีปัญหาคือพวกเขาไม่ใช่เรา!”

 

“นี่!?” ผู้อาวุโสลูบเคราพลางคิดก่อนจะพูดว่า “ในนามของตระกูลหลี่ข้าขอขอบคุณ!”

 

พวกเขามองหน้ากันและคุ้นคิดว่าชื่อของสมาคมเกมสวรร์เองก็ฟังดูยิ่งใหญ่และทรงพลัง

 

หลี่หลันเหลี่ยวคิดว่าผู้อาวุโสตรงหน้าเธอแข็งแกร่งมากเป็นไปได้มั้ยว่าเขาเองก็คงจะมีพลังที่เนื้อชั้นซ่อนอยู่

 

เธอตกใจมองไปที่ฟางฉีเธอกำลังคิดว่าเป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นการกลับคืนจากวัยชรามาสู่วัยเยาว์ตามตำนานหรือไม่!?

 

ตอนนี้ตัวตนของฟางฉีได้เปลี่ยนไปจากปีศาจเฒ่าเป็นหนุ่มวัยเยาว์ผู้ชอบธรรมดาหลังจากทำการบำเพ็ญมานานหลายพันปี

 

ในเมืองครึ่งผู้คนส่วนมากมีอายุมากกว่าสองร้อยปี ตอนนี้ในสายตาพวกเขาฟางฉีเหมือนคนที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปี แน่นอนว่าฟางฉีไม่ได้สนใจการคาดเดาของพวกเขา เขาเป็นแค่ชายหนุ่มวัยยี่สิบจะไปรู้เกี่ยวกับรัศมีพวกนั้นอย่างเข้าใจได้ยังไง

 

คนที่เห็นเขาส่วนมากมักจะตัดสินว่าเขาต้องมีอายุมากแน่นอนเมื่อเห็นจากลักษณะท่าทางพลังและอำนาจของเขา แต่จริงๆ แล้วเขาเองตั้งหากที่รู้ว่าจะต้องแสดงออกอย่างไร ด้วยมือในกระเป๋าของเขา เขาบินด้วยใบหน้าสงบนิ่งบนดาบ ขณะที่คนอื่นเองพยายามตามเขา แม้ว่าผู้ฝึกฝนของตระกูลหลี่จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนบินตามไม่ทันอยู่ดี

 

ฟางฉีหันไปถามเขาว่า “ความเร็วของพวกเจ้ามีขีดจำกัด ให้ข้าพาบินมั้ย?”

 

ผู้ฝึกฝนของตระกูลหลี่พยักหน้าด้วยความพร้อมเพียง

 

 

การเดินทางเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นและสนุกสนานในขณะที่พวกเขาบินผ่านภูเขาและแมน้ำที่มีชื่อเสียง ระหว่างทางฟางฉีแสดงให้เห็นถึงวิวรอบนอกของอาณาจักรทะเลล้างให้คนทั้งสองร้านดู

 

ในฐานะสมาชิกใหม่ของสมาคมหลี่หลันเหลี่ยวและคนอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางและแนะนำให้ฟางฉีทราบถึงประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ของที่นี่และของแต่ละกองกำลัง

 

“ดู! ดูนั้นฝูงเหล่าอสูรด้านล่าง!”

 

“เงยหน้ามาสินั่นนกปีศาจ!” นกปีศาจตัวใหญ่ลักษณะของมันคล้ายยกกระจกแต่ตัวใหญ่กว่าปกติเป็นสิบๆ เท่า

 

พวกเขาบินผ่านภูเขาจิตวิญญาณมากมายและแม่น้ำที่สวยงาม ธรรมชาติสร้างสรรค์ที่นี่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรและนกน้อยนานาชนิด ระหว่างทางพวกเขาเห็ยสถานที่หลายแห่งที่ผู้ฝึกฝนมารวมตัวกัน นอกจากนี้ยังเป็นทางสัญจรของเหล่าผู้ฝึกฝนอีกด้วย ผู้ฝึกฝนจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งหลักของเมือง ฟางฉีพบว่าโลกทั้งสองแห่งในตอนนี้เจริญรุ่งเรืองกว่าดินแดนทะเลร้างเป็นอย่างมาก

 

ที่สำคัญพวกเขาแทบไม่ได้เห็นคนธรรมดาในเมืองใหญ่ เพราะส่วนใหญ่แล้วมักเป็นผู้ฝึกฝนหรือนักรบที่ประจำอยู่ในเมือง จะมีก็แต่หมู่คนกลุ่มเล็กที่เป็นสามัญชนธรรมดาอาศัยอยู่ตามชนบท คนธรรมดาสามารถเรียนรู้ทักษะเพื่อป้องกันตัวเองได้เช่นกัน

 

นักรบที่นี่ส่วนมากพวกเขามีแรงบรรดาลใจในการพัฒนาตนเองพวกเขามีความสนใจในเทคนิคพิเศษต่างๆ นอกจากนี้สถานที่ยังสงบอำนวยความสะดวกในการฝึกซ้อมอย่างมีสมาธิอีกด้วย

 

“เมืองหยวนหยางของเราอยู่ข้างหน้าแล้ว” หลี่หลันเหลียวชี้ไปที่เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาแลโอบล้อมไปด้วยภูเขาขนาบข้าง “นี่คือเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสำนักสวรรค์มากที่สุด เหล่าสาวกส่วนมากที่จะไปสอบมักเป็นคนจากเมืองนี้ซะส่วนใหญ่ หรือบางคนก็แวะมาพักผ่อนก่อนออกเดินทาง”

 

“การสอบของสำนักสวรรค์แต่ละครั้งจะดึงดูดชนชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก” หลี่หลันเหลียวกล่าว “แม้แต่ครอบครัวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกก็ยังส่งสมาชิกรุ่นเยาว์เข้ามาศึกษาร่ำเรียน”

 

“สุดยอด” ฟางฉีพูดขึ้นและมองไปที่หญิงสาวในชุดผ้าไหม “จากลักษณ์ที่ได้ฟังแล้ว มันยากมากมั้ยในการสอบ? เจ้าเดินทางจากที่แสนไกลเพื่อไปทดลองหรือไม่?”

 

เมื่อเจอคำถามนี้หลี่หลันเหลียวตอบเสียงเศร้าว่า “ข้าถูกบังคับให้จนมุมและต้องลอง ..”

 

ผู้อาวุโสที่เสียแขนไปข้างหนึ่งถอนหายใจอย่างหนักหน่วงและกล่าวว่า “การตามหาพวกเราของหนานกงจิวเหวิ่นนั้นหมายความถึงตระกูลหลี่เฟงอาจจะถูกกวาดล้างไปจากโลกในเร็ววันนี้ ข้าเองกลัวว่าแม้แต่ครอบครัวอื่นที่อาศัอยู่ที่นี่ก็จำต้องประสบกับชะตาเดียวกัน เราเป็นคนสุดท้ายของครอบครัวเราเองจึงต้องรักษาสายเลือดของเราไว้ให้ดีที่สุด”

 

ฟางฉีกล่าว “ทำไมพวกเจ้าจึงตกอยู่ในสภาพแย่เช่นนี้”

 

คนอื่นๆ มองด้วยสายตาไม่สู้ดี

 

พวกเขามองหน้ากัน หลี่หลันเหลียวกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้ารักสมบัติจนไม่อยากมอบให้หรอกนะ ในความจริงคือพลังของมันผสานเข้ากับเลือดของข้าจนข้าไม่สามารถเอามันออกไปได้ ..”

 

ฟางฉีโบกมือ “เจ้าสามารถเก็บสมบัติของเจ้าได้นะ แต่เข้าเมืองกันดีกว่า”

 

เมืองใหญ่ข้างหน้าเขาเป็นเมืองที่ใหญ่มาก หากมองจากมุมไกลจะเห็นว่าเป็นหน้าผาสูงชั้น

 

พวกเขามองไปรอบๆ จะเห็นได้ว่ามีเรือจิตวิญญาณหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ ผู้คนที่เข้าออกส่วนมากล้วนสวมเสื้อคลุมเปล่งแสงแห่งจิตวิญญาณอันสดใส พวกเขาอยู่ในวัยหนุ่มสาว บางคนก็เป็นถึงผู้ฝึกฝนที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนสัญจรไปมานอกจากนี้ หากสังเกตุดีๆ จะพบว่าคนส่วนมากที่อาศัยอยู่ทีนี่ไม่ใช่คนธรรมดา

 

คนส่วนใหญ่ในที่นี่ล้วนเป็นสมาชิกจากครอบครัวใหญ่ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์ที่แท้จริงของเหล่านักรบและผู้ฝึกฝนระดับสูง