ตอนที่ 107 หายเป็นปกติแล้ว!

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

หลังจากนั้น มีคนมาขอน้ำอมฤตที่จวนของเซียวเถี่ยเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กู้จิ้งก็ปฏิเสธไปโดยไม่เกรงใจสักนิด เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดี เขาสั่งให้คนเชิญคนเหล่านั้นออกไป ถ้าใครไม่ยอมจากไป ที่ด้านหลังยังมีองครักษ์อยู่อีกทั้งกลุ่ม ไม่นานนักองครักษ์ก็เริ่มลงมือไล่คน

ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันตีอกชกหัว ทำไมตอนที่หมอเทวดาขายน้ำอมฤต พวกเขาถึงไม่มาซื้อนะ? ตอนนี้จะไปซื้อที่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีคนแอบซื้อขายกันลับๆ ไม่นานนัก ราคาของน้ำอมฤตก็พุ่งจากขวดละสิบตำลึงไปเป็นสามสิบตำลึง

แต่ถึงจะมีราคาสูงถึงเพียงนี้ก็ยังต้องอาศัยเส้นสายถึงจะหาซื้อได้

แม้กระทั่งในตลาดก็มีน้ำอมฤตปลอมออกมาวางขายหลอกลวงผู้คน

กู้จิ้งงุนงงเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้เธอจึงให้เซียวเถี่ยเฟิงไปหาผู้ป่วยวัณโรคมาคนหนึ่ง เพราะผู้ป่วยรายนี้บอกว่า น้ำอมฤตสามารถรักษาวัณโรคให้หายขาดได้

“เมื่อก่อนป้าเคยเป็นวัณโรคหรือ?”

“ใช่ๆ ท่านหมอเทวดา เมื่อก่อนข้าเป็นวัณโรค ตอนกลางคืนมักจะไอจนนอนไม่หลับ แต่ท่านดูสิ ตอนนี้ข้าหายแล้ว หายเป็นปกติแล้ว!”

“ไม่ไอสักนิดเลยรึ?”

“ยังมีอยู่นิดหน่อย แต่วันๆ หนึ่งก็ไอแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหาสักนิด ข้าพอใจแล้ว! เมื่อก่อนข้าไอมากจนปอดแทบจะหลุดออกมา ไอมากจนปวดท้อง ปวดจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้”

“นอกจากน้ำอมฤต ป้ายังกินยาอื่นด้วยไหม?”

“ยาอื่น? ไม่มี! เฮ้อ น้ำอมฤตนี่แพงมาก ตั้งสิบตำลึง โชคดีที่ลูกชายข้ากตัญญู ที่บ้านก็พอมีที่นาอยู่บ้าง ลูกชายกับลูกสะใภ้ปรึกษากันแล้วก็ตกลงใจเอาเงินสิบตำลึงออกมาซื้อน้ำอมฤตให้ข้า ข้ากินแล้วหายดีทันที ลูกชายยังพูดว่าจะซื้อมาให้อีกขวด แต่ข้าเห็นว่าตอนนี้ขวดหนึ่งราคาตั้งสามสิบตำลึง เวรกรรมแท้ๆ ข้าว่าข้าไม่กินดีกว่า”

กู้จิ้งฟังแล้วถอนใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงหันไปสั่งสาวใช้ให้ไปหยิบ ‘น้ำอมฤต’ ขวดหนึ่งมาให้หญิงชรา

หญิงชราขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะจากไป

กู้จิ้งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

ในตอนนั้นเอง เซียวเถี่ยเฟิงก็ก้าวเข้ามาในห้อง เขาส่งคนไปสืบเรื่องของหญิงชรามาแล้ว ข่าวที่ได้รับทำให้เขาต้องประหลาดใจไม่น้อย หญิงชราผู้นี้ไม่ได้โกหก ก่อนหน้านี้นางเป็นวัณโรคจริง ต้องทรมานกับการไอมาหลายปี กินยาไปมากมายแต่ก็ไม่ดีขึ้น

แต่ตอนนี้ อยู่ดีๆ ก็หาย

แถมระยะนี้นางก็ไม่ได้กินยาอะไร นอกจากน้ำอมฤต

คราวนี้กู้จิ้งงงจริงๆ เธอถึงกับหยิบน้ำอมฤตขวดหนึ่งออกมาลองชิมดู

หรือเกลือผสมน้ำกลั่นสมัยโบราณนี่จะมีอะไรพิเศษ แต่ชิมแล้วเธอก็ไม่พบความผิดปกติอะไร สูตรก็สูตรที่คุ้นเคย รสชาติก็รสชาติที่คุ้นเคย

กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความงุนงง “เอาอย่างนี้ดีไหม นายลองฟันฉันสักที เรามาทดลองดูว่าน้ำอมฤตนี่จะได้ผลไหม?”

เซียวเถี่ยเฟิงพูดไม่ออก เขายื่นมือไปหยิกแก้มเธอทีหนึ่ง “ก็บอกแล้วว่าเป็นน้ำอมฤต ยังมีอะไรต้องสงสัยอีก”

กู้จิ้งแบมือ “แต่นี่เป็นเกลือผสมน้ำกลั่นชัดๆ!”

เซียวเถี่ยเฟิงย่อมรู้ แม่ทัพใหญ่ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากอู่อ๋องเช่นเขาเคยช่วยนางเคี่ยวน้ำกลั่น ย่อมรู้ที่มาของน้ำในขวดนั้นดี หากมันสามารถรักษาโรคได้ ทุกคนแค่ดื่มน้ำผสมเกลือก็น่าจะรักษาโรคได้เช่นกัน และบนแผ่นดินนี้ก็จะไม่มีใครล้มป่วยอีก

เขานึกถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในอดีต

ตอนแรกที่พบกู้จิ้ง เขาเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นปีศาจ ตอนนั้นดูอย่างไรก็รู้สึกว่านางเหมือนปีศาจสาวที่ปรากฏตัวออกมายั่วยวนผู้ชายเพื่อดูดไอหยาง พอปีศาจสาวตนนี้วิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้าน หมูหมากาไก่ก็พากันตื่นตระหนก ใครเห็นใครก็กลัว ต่อมาปีศาจสาวช่วยรักษาโรคให้ผู้คน ไม่มีครั้งไหนที่ไม่สำเร็จ แม้กระทั่งวิธีดูแลสุขภาพให้แข็งแรงที่นางถ่ายทอดให้ ทุกคนก็พบว่าได้ผลเป็นอย่างดี

ปีศาจสาวร้องตะโกนแค่คำเดียวก็ทำให้ฝนตกหนักติดต่อกันถึงสามวัน

ส่วนเรื่องที่มีคนคิดจะทำร้ายนาง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวางมาตรการป้องกันเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำ สวรรค์ลิขิตเอาไว้แล้วว่า ปีศาจน้อยจะสามารถรอดพ้นไปได้อย่างงดงามทุกครั้ง

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะอะไร เซียวเถี่ยเฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “เซียนที่เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่คงจะคอยปกป้องเจ้าอยู่ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าอยากทำอะไรก็จะสำเร็จเสมอ ไม่ว่าเจอกับปัญหาใดก็จะรอดพ้นไปได้ทุกครั้ง”

จริงๆ กู้จิ้งเองก็คิดได้เหมือนกัน

ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องเด็กสาวใบหน้ารูปผลท้อคนนั้น เธอไม่ได้ทำอะไรสักนิด ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตกใจเผ่นหนีไป? ยังมีคุณชายลั่วดวงซวยคนนั้น เธอให้คนกินยาเพนิซิลลินไม่รู้ตั้งกี่คนต่อกี่คน แต่ไม่เคยมีใครแพ้ยามาก่อน ทว่าเขาให้คนกินแค่สองคนก็มีคนแพ้ยาเสียแล้ว

พูดตามตรงก็คือ ใครคล้อยตามเธออยู่ใครขวางเธอตาย ไม่ว่าเธออยากทำอะไรก็ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่สำเร็จทั้งนั้น

แต่…เธอไม่มีแม่เลี้ยงเซียนที่ไหนทั้งนั้นนี่นา!

กู้จิ้งส่ายหน้า “ไม่นะ หลังจากเซียนท่านนั้นเลี้ยงดูฉันจนเติบใหญ่ก็ไม่เคยช่วยอะไรฉันอีก ท่าน…ท่านไม่รู้จักโลกมนุษย์ ไม่มีทางคุ้มครองฉันได้หรอก”

คงไม่คิดจะให้เธอพูดว่า ยายซึ่งอยู่ในโลกยุคปัจจุบันคุ้มครองเธอซึ่งมาแต่งงานกับท่านบรรพบุรุษอยู่ในสมัยโบราณหรอกนะ ลำดับมันไม่ถูกต้อง

“นั่นคือเซียน เซียนย่อมต้องมีอิทธิฤทธิ์ เซียนให้เจ้าลงมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนย่อมต้องมีเหตุผล ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาเช่นเจ้ากับข้าจะเข้าใจได้ หรือบางที เจ้าอาจจะบำเพ็ญวิชาเซียนจนสำเร็จถึงขั้นคิดอะไรก็ได้สมใจปรารถนาแล้ว เพียงแต่เจ้าไม่รู้ตัวเท่านั้น”

คำพูดของเซียวเถี่ยเฟิงทำให้กู้จิ้งสะดุ้งด้วยความตกใจ

ดังคำว่าสะดุ้งตื่นจากฝัน จู่ๆ เธอก็ตะลึงงันอยู่กับที่

ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด เธอเกิดในสมัยโบราณ แต่กลับถูกหลวงจีนอะไรนั่นใช้ถุงหนังสีดำจับโยนไปอยู่ในยุคปัจจุบัน หลังจากไปอยู่ที่นั่น เธอได้เรียนรู้วิชาแพทย์แผนปัจจุบัน หลังจากนั้นยังบังเอิญโยนข้าวของที่มีประโยชน์กองหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นตัวเองก็มุดเข้าไปในกระเป๋า ข้ามเวลากลับมายังสมัยอดีต

ดูยังไงก็เหมือนแผนการที่ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้า นี่มันแผนการที่วางไว้ให้คนในสมัยอดีตไปกินไปเที่ยวไปเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน จากนั้นก็หอบเอาข้าวของกลับมาสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างชื่อเสียงในสมัยโบราณชัดๆ

หรือว่า…เธอจะมีเซียนคอยคุ้มครองอยู่โดยไม่รู้ตัวจริงๆ?

“ฉันไม่ใช่สิบแปดมงกุฎ แต่เป็นเซียนงั้นรึ?” เธอยกมือขึ้นลูบคาง ท่าทางเหมือนเพิ่งค้นพบความจริงบางอย่าง

“ใช่” เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงเรื่องที่เธอเคยถ่ายทอดวิชาช่วยเหลือผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋น ดังนั้นจึงเสนอความเห็นว่า “ไม่ว่าเจ้าทำอะไรก็มีเซียนคอยช่วยเหลือ ในเมื่อตอนนี้น้ำอมฤตของเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่สู้ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน เปิดสำนักถ่ายทอดวิธีขจัดโรคภัยไข้เจ็บอีกครั้ง อย่างน้อยก็ถือเป็นการทำเพื่อชาวบ้านที่นี่”

ความคิดนี้ไม่เลว กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบรรยายวิธีใช้น้ำอมฤตก็แล้วกัน”

 

ในเมื่อน้ำอมฤตมีชื่อเสียงโด่งดัง แถมยังถูกปั่นราคาเสียจนสูงลิบ กู้จิ้งจึงรู้สึกว่าตนเองสมควรอธิบายวิธีใช้ให้ละเอียดสักรอบ ทุกคนจะได้ไม่นำไปใช้กันผิดๆ แม้จะบอกว่ามีเซียนคอยคุ้มครอง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอคงจะรู้สึกผิดมาก

ด้วยเหตุนี้ วันนี้กู้จิ้งจึงประกาศออกไปว่า เธอจะเปิดสำนักถ่ายทอดวิชาความรู้ที่สนามหญ้านอกจวนแม่ทัพเซียว

ทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป ทุกคนต่างตื่นเต้นเป็นอันมาก ผู้คนบอกกันปากต่อปาก ไม่นานนักคนทั้งเมืองก็รู้กันหมด แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อกันหมด คนที่ไม่เชื่อก็มี เช่น ท่านหมอหู เขาพูดกับท่านหมอเฉินว่า “ลูกสาวบุญธรรมของท่านอาศัยน้ำอมฤตสร้างชื่อเสียง จริงๆ แล้วไม่มีความสามารถอะไร ก็แค่อาศัยท่านแม่ทัพเซียวกับน้ำอมฤตนั่น ถึงได้รับยกย่องให้เป็นหมอเทวดา”

ท่านหมอเฉินฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “ท่านหมอหูเอ๊ย พูดแบบนี้ ไม่กลัวท่านแม่ทัพเซียวแล้วหรือ?”

ท่านหมอหูนึกถึงเซียวชูอวิ๋นขึ้นมาก็รีบหุบปากเงียบทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดโพล่งออกมาว่า “ช่างเถอะ ช่างเถอะ โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว…”

ท่านหมอเฉินยิ้ม “ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่เป็นเพราะท่านหมอกู้เก่งจริงๆ ต่างหาก”

จุ๊ๆๆ ท่านหมอกู้ยังเรียกเขาว่าพ่อด้วยนะ~~

ท่านหมอหูได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเซื่องซึม

ทำไมเขาถึงไม่มีลูกสาวดีๆ แบบนี้บ้างนะ?

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะโลกเปลี่ยนหรืออะไรก็ตาม สรุปแล้วพอถึงวันที่กู้จิ้งเปิดสำนักถ่ายทอดวิชา สนามหญ้าด้านนอกก็เต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างแย่งกันเบียดเสียดไปข้างหน้าเพราะไม่อยากจะพลาดถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ไปแม้แต่คำเดียว

กู้จิ้งเห็นหัวคนยุ่บยั่บที่ด้านนอกก็ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าการเปิดสำนักถ่ายทอดวิชาของเธอจะได้รับความนิยมมากกว่าคอนเสิร์ตของนักร้องดังเสียอีก

ไม่มีทางเลือก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหยียบกันตาย กู้จิ้งจึงจำต้องบอกให้เซียวเถี่ยเฟิงส่งทหารออกไปจัดระเบียบ ให้คนแก่เด็กคนป่วยคนพิการมาอยู่ที่ด้านหน้า ส่วนชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงไปอยู่ที่ด้านหลัง เพราะจริงๆ แล้วคนที่จำเป็นต้องฟังการบรรยายวิธีรักษาสุขอนามัยก็คือกลุ่มคนชราคนป่วยคนพิการสตรีมีครรภ์นี่เอง