บทที่ 3 สร้อยข้อมือมิติ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 3 สร้อยข้อมือมิติ

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่หรงเสวี่ยกลับมาที่ห้องของตัวเอง เธอนึกถึงสร้อยข้อมือที่เคยให้เสี่ยวเข่อลี่ยืมไปในชีวิตที่แล้ว คุณยายเป็นคนให้มันกับเธอ ท่านเคยบอกกับเธอว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นสมบัติที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นมานานของตระกูลเฮอเหลียน

ตระกูลของคุณยายของเธอคือตระกูลเฮอเหลียนแต่ในเวลาต่อมามันก็ล่มสลายไป ต่อมาพวกเขาถึงได้ยอมให้เธอเป็นผู้เก็บดูแลรักษาต่อ เป็นเพราะคำพูดของคุณยาย ทำให้เสี่ยวเข่อลี่พยายามขอสร้อยเส้นนี้จากเธอมาโดยตลอด

เธอไม่ได้ตั้งใจจะยกให้อีกฝ่ายแต่แค่ให้ยืมในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ผลที่ได้คืออีกฝ่ายกลับโกหกกันว่าทำหายไปแล้ว จึงนำมันมาคืนให้ไม่ได้

หลังจากที่ล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา มู่หรงเสวี่ยเจอสร้อยข้อมือในกล่องล็อกแบบโบราณของตัวเอง มองแวบแรก สร้อยข้อมือเส้นนี้ดูเหมือนกับสร้อยข้อมือธรรมดาๆ แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆที่รอยสนิมเก่าๆก็จะเห็นรูปแกะสลักลายนกฟีนิกซ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนราวกับว่ามันมีชีวิต

เสี่ยวเข่อลี่บอกว่าข้างในสร้อยข้อมือเส้นนี้มีพื้นที่มิติซ่อนอยู่ คำถามคือ เธอจะเปิดมันได้ยังไง? ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่จะเปิดได้เลยนี่ หรือว่า…ฉันต้องกรีดเลือดตัวเองแล้วหยดลงบนสร้อย?!!!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รีบกัดที่นิ้วของตัวเองในทันที จากนั้นก็ออกแรงบีบให้เลือดสีสดหยดลงไปบนสร้อยข้อมือ

จู่ๆลำแสงสีสันมากมายที่มักจะทำให้คนที่มองเห็นมันรู้สึกแสบตาเปล่งออกมาจากสร้อยข้อมือในทันที

รูปร่างเดิมของสร้อยข้อมือก็ค่อยๆหลุดลอกออกไป เหลือเพียงสร้อยข้อมือสีม่วงที่งดงามประหนึ่งสมบัติล้ำค่า

เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลไปตามลวดลายของนกฟีนิกซ์

ในตอนนี้นกฟีนิกซ์ที่สลักอยู่บนสร้อยข้อมือกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและส่องแสงได้ จู่ๆมันก็กระพือปีกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้น     มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันก็ได้หายวับไปในทันที

เอ๊ะ ที่นี่คือมิติงั้นเหรอ?

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยคือดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล ไกลออกไปคือภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สระน้ำที่ใสสะอาดมีขนาดครึ่งวงกลมอยู่ด้านล่าง สายลมที่พัดผ่านได้พัดพากลิ่นหอมอ่อนๆของต้นหญ้าให้กระทบกับใบหน้า

ที่นี่เป็นเหมือนกับแดนสวรรค์บนดินไม่มีผิด!

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆเดินไปตามทางของน้ำตกด้วยความระมัดระวัง ในตอนที่ภาพของน้ำตกค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอก็ได้เห็นภาพของอาคารเล็กๆตั้งอยู่ข้างหลังน้ำตก

เมื่อมู่หรงเสวี่ยเดินไปถึงน้ำตก เธอก็พบว่าตัวเองจะเรียกอาคารนี้ว่า ‘เล็ก’ ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะอาคารนี้สูงกว่าครึ่งภูเขาเสียอีก!

อาคารนี้ได้ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของภูเขา นอกจากน้ำตกแล้ว ยังมีบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณอีกด้วย!

น้ำของบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณค่อยๆผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าที่นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เสี่ยวเข่อลี่ได้พูดถึงก่อนที่เธอจะย้อนเวลากลับมา

มู่หรงเสวี่ยใช้มือทั้งสองข้างตักน้ำจากน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ ขึ้นมาแล้วลองดื่มมันเข้าไป ปรากฏว่าในตอนที่ได้ดื่มน้ำ เธอรู้สึกสดชื่นมาก และร่างกายของเธอก็รู้สึกเบาสบายมากขึ้น น้ำนี่เป็นของดีจริงๆ! ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเสี่ยวเข่อลี่ถึงได้รับการปกป้อง นั่นก็เพราะน้ำพุจิตวิญญาณ นี่เอง!

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆเดินข้ามน้ำพุจิตวิญญาณ ไปด้วยความระมัดระวัง เธออยากจะเดินข้ามภูเขาไป แต่ในตอนที่กำลังเดินอยู่นั้น กลับมีกำแพงอากาศขวางทางเธออยู่

มู่หรงเสวี่ยเอื้อมมือออกไปแตะที่กำแพง ทันใดนั้น เกิดระลอกคลื่นเล็กๆกลางอากาศ จากนั้นกระแสน้ำวนโค้งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้เปิดออก มู่หรงเสวี่ยที่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง จู่ๆก็ถูกแรงดูดกลืนเธอเข้าไปในนั้น

ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยได้สติกลับคืนมา เธอพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในพื้นที่เปิดที่อยู่ด้านหน้าอาคารหลังเล็กๆ ทั้งสองด้านของอาคารหลังเล็กๆนี้ถูกแยกกันด้วยหินและรั้วที่มีรูปร่างประหลาด ส่วนอีกด้านได้ปลูกสมุนไพรบางชนิดเอาไว้

ต้นสมุนไพรต่างๆถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี มันได้แสดงให้ทุกคนที่ได้มอง เห็นถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของสวนนี้ และอีกด้านมีต้นไม้และผลไม้อยู่มากมายจนเธอไม่สามารถนับจำนวนของมันได้ ทางเดินหินที่ถูกปูเอาไว้ตรงกลางมีความกว้างขนาดให้คนหนึ่งคนสามารถเดินผ่านมันไปได้

มู่หรงเสวี่ยยกเท้าและก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่นำทางไปสู่อาคารหลังเล็กๆนี้

อาคารนี้ดูๆแล้วน่าจะมีทั้งหมดเก้าชั้น ถ้ามองจากด้านนอก มันดูโอ่อ่ามาก นอกจากนี้ยังมีหยกรูปสิงโตอยู่ตรงทางเข้าประตูทั้งสองด้าน มีประตูสีแดงพร้อมทั้งห่วงทองแดง ทางด้านซ้ายมีกำแพงหินใหญ่ซึ่งถูกแกะสลักไว้เป็นคำ ‘มิติฟีนิกซ์’

มู่หรงเสวี่ยตัดสินใจเอื้อมมือไปจับห่วงประตูแล้วออกแรงเคาะมันเบาๆ ห่วงทองแดงที่เคาะลงไปที่บานประตูหนา ทำให้เกิดเสียงทื่อๆ

หลังจากนั้นเธอก็ได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ หวังว่าจะมีเสียงตอบกลับ แต่รออยู่สักครู่ก็ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆตอบกลับมาเลย ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงออกแรงผลักประตูให้เปิดออกด้วยความระมัดระวังแทน

ตรงกึ่งกลางทางเดินมีโต๊ะหินที่มีหนังสือวางอยู่ ทั้งสองข้างของทางเดินมีสองห้องแยกออกไปคนละฝั่ง นอกจากนี้ยังมีป้ายแขวนที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าทั้งสองห้องนี้มีไว้ทำอะไร ใบป้ายแขวนเขียนเอาไว้ว่า ‘ศาลาสมุนไพร’ และ ‘ห้องเก็บโอสถลับโบราณ’ ดูเหมือนว่าเสี่ยวเข่อลี่ในชาติที่แล้วจะพลาดเรื่องดีๆไปแล้วจริงๆ

อันที่จริง มู่หรงเสวี่ยคิดเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอคิดว่าเสี่ยวเข่อลี่ในชาติที่แล้วไม่ได้เข้ามาที่นี่ จริงๆแล้วพื้นที่ตรงนี้เป็นเขตหวงห้าม เพราะมีเพียงสายเลือดของตระกูลเฮอเหลียนเท่านั้นที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้

ส่วนเหตุผลที่เสี่ยวเข่อลี่ในชาติที่แล้วสามารถเปิดเข้ามาที่นี่ได้ เพราะค่ายกลได้เสื่อมสภาพและอ่อนแรงลงไปมากต่างหาก เธอถึงได้ต่อรองได้ แต่ถึงเธอจะเข้ามาที่นี่ได้ เธอก็มาได้แค่รอบนอกที่เป็นบริเวณน้ำตกเท่านั้น เธอไม่สามารถผ่านกำแพงอาคมที่ปิดกั้นอยู่ได้อยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รีบร้อนเข้าไปตรวจดูในห้อง เธอกลับเดินตรงไปยังโต๊ะหิน มองไปที่ปกหนังสือก็ได้เห็นคำสี่คำที่เขียนเอาไว้บนปกเคล็ดลับว่า ‘ฟีนิกซ์เก้าเข็ม’

มู่หรงเสวี่ยเปิดหน้าปกหนังสือและอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับมิติฟีนิกซ์ตรงหน้าแรกของหนังสือ

อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของมิติยังคงเด่นชัด เธอรู้เพียงแค่มิตินี้เทียบเท่ากับโลกใบหนึ่ง ที่มีกฎเป็นของตัวเองและมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์

มิติฟีนิกซ์ถูกส่งต่อในตระกูลเฮอเหลียนมาจากรุ่นสู่รุ่น ถึงในตอนนี้ ตระกูลเฮอเหลียนจะล่มสลายไปแล้ว แต่สร้อยข้อมือฟีนิกซ์ก็ยังคงได้รับการส่งต่อกันอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยลองเปิดหน้าต่อไป ในนั้นเขียนว่า เคล็ดลับฟีนิกซ์เก้าเข็ม เอาไว้ด้วยตัวอักษรสีทอง แต่กลับไม่มีเนื้อหาใดๆอยู่ข้างใน

แปลกจัง … แต่ก็น่าสนใจดีแฮะ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ? หรือว่าจะมีกลไกอะไรอีกรึเปล่านะ?

มู่หรงเสวี่ยลองใช้มือแตะไปที่ตัวอักษรเหล่านั้น ทันใดนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาแล้วพุ่งเข้าไปในร่างกายของ     มู่หรงเสวี่ย

ในวินาทีนั้น จู่ๆในจิตของมู่หรงเสวี่ยก็ปรากฏรายละเอียดเรื่องเคล็ดลับฟีนิกซ์เก้าเข็ม

อันที่จริง มันคือการฝังเข็มทางการแพทย์ ที่แม้แต่            มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งผ่านชีวิตที่ยากลำบากมา ยังอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข

บอกเลยนะว่านี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว! ถ้ามีสิ่งนี้ เธอก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้ดีขึ้นด้วย! สุดยอด!

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เธอไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้สำรวจมันได้อีกต่อไป เธอเข้าใจดีว่าตัวเองเคยเห็นโลกมาเยอะ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจกับของจำนวนมากมายที่อยู่ในห้องนี้อยู่ดี ภายในห้องมีทั้งสมุนไพรนับไม่ถ้วน หนังสือการแพทย์โบราณแถมยังมีของอื่นๆอยู่อีก ดูๆแล้วของพวกนี้เป็นของที่มีมูลค่าสูงมากทีเดียว

มู่หรงเสวี่ยที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในบ้านหลังนี้นานเกินไป เกรงว่าคนในครอบครัวจะเริ่มสังเกตได้ว่าเธอหายตัวไป เพราะงั้นเธอจึงคิดว่าตัวเองควรออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยหาเวลากลับมาศึกษาที่นี่อย่างละเอียดภายหลัง

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยออกมาจากมิติ เธอได้มองดูเวลา และพบว่าเวลาเพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

เอ๊ะ ช่วงเวลาในมิติแตกต่างกันงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าพื้นที่นี้จะมีข้อดีอยู่ไม่น้อย

ในชีวิตนี้ ฉันขอสาบานกับตัวเองเลยว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น จะต้องปกป้องครอบครัวของตัวเองให้ได้ และจัดการไอ้พวกคนเลวทั้งหลายให้ไปลงนรกให้หมด!!!

เพียงแค่ตอนนี้หลังจากที่สภาพเดิมของสร้อยข้อมือได้หลุดลอกออกไปแล้ว สร้อยข้อมือเส้นนี้ดูสวยมากกว่าเดิมมาก แต่มันดูสะดุดตาเกินไป… เฮ้อ ถ้ามันล่องหนได้คงจะดี…

ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยคิด สร้อยข้อมือที่ข้อมือของเธอก็หายไปในทันที เหลือไว้เพียงสัญลักษณ์ฟีนิกซ์ทองคำ ทำให้ข้อมือบางของมู่หรงเสวี่ยดูผ่องและขาวขึ้นกว่าเดิม ทำให้คนอื่นที่ได้เห็นจะคิดว่ารอยนี้เป็นเพียงรอยสักที่ไม่สะดุดตาเหมือนสร้อยข้อมือก่อนหน้านี้

มู่หรงเสวี่ยลองคิดให้สร้อยข้อมือปรากฏขึ้นมาที่ข้อมือเธออีกครั้ง และทดสอบซ้ำๆ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องกังวลว่ามันจะถูกพบเจอง่ายๆ

ยังไงซะใครๆในโลกนี้ต่างก็ต้องการสมบัติล้ำค่าพิเศษอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ ง่ายๆคือ ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป เธอก็คงไม่สามารถจะหนีโชคชะตาที่ต้องถูกไล่ฆ่าและโดนปล้นไปได้แหงๆ

เรื่องสำคัญในตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะยืนหยัดและปกป้องครอบครัวของตัวเองได้!