ตอนที่ 442 เขาไม่ใช่องค์ชายเก้าแห่งยมโลก เขาเป็นพระโพธิสัตว์องค์ที่เก้า

 

สิบลี้นอกเมืองหลวงมีหลุมลึกที่เกิดจากฝนตกหนักอยู่ด้านหน้าของหมู่บ้านร้าง ทุกคนในหมู่บ้านหนีไปแล้ว บางคนก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงและบางคนก็หนีไปที่อื่น หมู่บ้านนั้นถูกทิ้งร้างมานาน บ้านที่ไม่มั่นคงก็ทรุดตัวลงทั้งหมด ตอนนี้ไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียว

เฟิงหยูเฮงให้วังซวนพานางไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ในขณะที่เดินวังซวนบอกกับนางว่า “เมื่อคืนองค์ชายเก้าสั่งให้ทหารนำศพทั้งหมดมาที่นี่ หลังจากรวบรวมมาพวกเขาจะเริ่มเผาทันที แต่ผู้ลี้ภัยไม่เห็นด้วย คนที่ตายไปนั้นเป็นญาติของผู้ลี้ภัย พวกเขาทั้งหมดยืนยันว่าพวกเขาจะต้องถูกฝัง แต่ฝนตกหนักดินก็เป็นโคลน สกปรกมากเจ้าค่ะ ! ”

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและเพิ่มความเร็วในการเดิน ไม่นานพวกเขามาถึงหน้ากลุ่มคน

มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากมารวมตัวกันรอบ ๆ ทางเข้าหมู่บ้าน ผู้ที่พักในที่พักพิงได้รับโจ๊กร้อน ๆ และรับยาจากเฟิงหยูเฮงเริ่มฟื้นตัวแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเขาเริ่มมีแรงขึ้นมาและไม่ยอมให้เผาศพ

นางได้ยินเสียงคนจำนวนมากร้องไห้และเสียงกรีดร้อง บิดา มารดาของพวกเขาและบุตรของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่าทหารของซวนเทียนหมิงและราชวงศ์ต้าชุนเลือดเย็นและไร้ความรู้สึก พวกเขาสร้างกำแพงมนุษย์กั้นทางทหาร พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมให้ทหารจุดกองเพลิง เฟิงหยูเฮงมองผ่านช่องว่างระหว่างผู้คน และพบว่ามีคนจำนวนมากนั่งอยู่ในกองศพ สามีภรรยากอดบุตรที่เสียชีวิตไปหลายวันแล้วและที่ร้องไห้เสียงดัง พวกเขาตะโกนซ้ำ ๆ ว่า “ถ้าพวกเจ้าต้องเผาพวกเขา ให้เผาพวกเราไปด้วยกัน ! ”

ซวนเทียนหมิงยืนอยู่หน้ากลุ่มพร้อมกับหันหลังให้กับนาง เขาไม่ได้ใส่เสื้อกันฝนที่นางทำให้เขาโดยเฉพาะ และไม่อนุญาตให้ทหารถือร่มให้เขา เขายืนอยู่กลางสายฝน และเฟิงหยูเฮงมองเห็นว่าไหล่ของเขากระตุกเล็กน้อย นางรู้ว่าเขากำลังจะบ้าคลั่งเพราะผู้ลี้ภัย

นางรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางรีบฝ่าฝูงชนและมาถึงด้านของซวนเทียนหมิง เขาหันกลับมามองนาง เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? รีบกลับไป ! ” พูดอย่างนี้เขาผลักนางออกไป

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหน้าและจับมือของเขาเสียงดังพูด “ข้าไม่ไป ข้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว เราจะเผชิญหน้ากันด้วยกัน” เมื่อเห็นว่าซวนเทียนหมิงยังไม่เห็นด้วยและอยากให้นางกลับไป นางแค่ชี้ไปที่ผู้ลี้ภัยที่รอบกองศพและกล่าวกับเขาว่า “ข้าบอกเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเผาศพ เพราะศพเหล่านี้จะทำให้เป็นโรคระบาด แม้ว่าพวกเขาจะถูกฝัง พวกเขาจะต้องถูกเผาก่อนฝัง เชื่อข้าเถิด ! “

เสียงของนางดังและไม่ใช่แค่ซวนเทียนหมิงที่ได้ยิน ผู้ลี้ภัยก็ได้ยินเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนถามทันทีว่า “มีเหตุผลอะไร ! แน่นอนพวกเขาจะต้องถูกฝังให้พักผ่อนอย่างสงบ ! ”

เฟิงหยูเฮงหันกลับมาเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ลี้ภัย หลังจากคิดเล็กน้อย นางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางแล้วดึงโทรโข่งออกมา ผู้คนเห็นนางดึงของแปลก ๆ ออกมาแล้ววางไว้ตรงปาก เมื่อนางพูดอีกครั้งเสียงของนางก็ดังขึ้น มันดังมากพอที่ทุกคนจะได้ยินอย่างชัดเจนในสายฝนที่ตกหนัก พวกเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “พวกเขาจะถูกฝังให้พักผ่อนอย่างสงบสุขได้จริงหรือ ? ทุกคนดู ตอนนี้มีดินให้ฝังหรือไม่ ? มันคือโคลน ! ตอนนี้ฝนตกหนักและมีน้ำท่วมทุกที่ แม้ว่าพวกเขาจะถูกฝังอยู่ในโคลน พวกเขาจะโผล่ขึ้นมาจากโคลนอย่างแน่นอนหลังจากหนึ่งคืน และพวกเจ้าจะไม่พบพวกเขาอีก ! ”

บางคนตอบด้วยเสียงดัง “แต่พวกข้าจะไม่ได้เห็นพวกเขาหลังจากถูกเผาแล้ว ? ”

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “เหมือนกัน เจ้าจะไม่สามารถเห็นพวกเขาได้ นอกจากนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าเมื่อมีคนมากมายถูกเผาด้วยกัน แม้ว่าจะมีขี้เถ้าก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ! ”

“แต่เจ้ายังต้องการเผาพวกเขา ! ” สามีและภรรยาเริ่มมีอารมณ์ “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเผาบุตรของข้า ข้าจะกอดเขาไว้ ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนเขาจะตามไป ! ”

ใบหน้าของเฟิงหยูเฮงเย็นชา พูดเสียงดัง “ไม่เป็นไร ! แต่มันไม่ใช่ทุกที่ที่เจ้าไป เขาจะติดตามเจ้าไปด้วย แต่เจ้าจะอยู่ที่ใดก็ได้ ! ”

ชั่วขณะหนึ่งไม่ใช่ทุกคนที่สามารถตอบสนองต่อความหมายของคำพูดของนาง แต่มีบางคนที่ฉลาดที่พูดหลังจากคิดว่า “ความหมายของเจ้าคือถ้าเราต้องการกอดศพของคนที่เรารัก เราจะอยู่ในหลุมนี้หรือ ? ”

ซวนเทียนหมิงจับมือนางแน่นและต้องการดุพวกเขา อย่างไรก็ตามเขาถูกหยุดโดยเฟิงหยูเฮง จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น “ใช่! คนตายนั้นตายแล้วและพวกเขาไม่ได้เดินอยู่ในเส้นทางเดียวกับคนที่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เนื่องจากมีคนที่ไม่ต้องการแยกจากคนที่รักก็ทิ้งไว้อยู่ข้างหลัง หากเจ้าต้องการนำศพกลับไปยังที่พักพิงก็ไม่มีโอกาสนั้นอย่างแน่นอน ! ” นางทำงานหนักและเสียงของนางก็แตกพร่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามคำพูดที่นางตะโกนก็ทำให้ผู้คนตกใจ

เสียงที่เกิดจากโทรโข่งไม่ใช่สิ่งที่คนโบราณสามารถเข้าใจได้ ราวกับว่าเสียงมาจากฟากฟ้า หากไม่มีแหล่งที่มาใด ๆ มันก็ยังสามารถแพร่กระจายไปในทุกทิศทาง สถานการณ์นี้ที่น่าตกใจเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นคนที่พูดคือเฟิงหยูเฮง ทุกคนรู้ว่านางเป็นหมอเทวดา ในขณะที่ได้ยินนางพูดสิ่งนี้ หนึ่งในคนที่ฉลาดกล่าวในทันทีว่า “ทำไมไม่สามารถนำศพกลับไปยังที่พักพิงได้ ? ”

เฟิงหยูเฮงเริ่มอารมณ์เสีย และในที่สุดก็ย้ายไปที่หัวข้อหลัก นางถามทุกคนว่า “เจ้าเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมเจ้าต้องทานยาและได้รับการฉีดยา ? หลังจากที่พักพิงสร้างขึ้นและพวกเจ้าก็ต้องกินอาหารหรือไม่ ? พวกเจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดศพจึงต้องถูกนำออกไปที่ไกล ๆ ? ทำไมพวกเขาต้องถูกเผา ? ข้าจะบอกเจ้าว่าน้ำท่วมไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ศพยังคงถูกเผา อย่างไรก็ตามหากศพถูกทิ้งไว้รอบ ๆ หลังจากฝนตกหนักจะมีอากาศที่ร้อนมาก เมื่อเวลานั้นมาถึงศพจะเน่าและจะเกิดการแพร่ระบาดเชื้อโรค องค์ชายเก้าและข้าเสี่ยงชีวิตของเราออกมาเพื่อช่วยพวกเจ้า มันลำบากและสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากเจ้ายึดมั่นกับหลักการของเจ้าและกอดซากศพเหล่านี้ และจบลงด้วยการติดเชื้อจากโรคระบาด ความพยายามของพวกข้าก็สูญเปล่า ข้าขอบอกไว้ก่อน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันจะไม่อนุญาตให้ศพถูกฝังลึก หากศพถูกฝังอยู่ในโคลน พวกเขาจะผุดขึ้นมาจากน้ำที่ท่วม หลังจากถูกฝังพวกเขาจะเน่าเร็วยิ่งขึ้นหลังจากถูกน้ำท่วม ผลลัพธ์ที่ได้จะน่ากลัวยิ่งขึ้น องค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้อยากจะถามเจ้าว่าเมื่อเทียบกับการเผาศพพวกเขา อาจเป็นไปได้ที่เจ้าต้องการให้คนที่เจ้ารักอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า ? หรือเจ้าอยากที่จะติดเชื้อจากการแพร่ระบาดที่มาจากคนที่พวกเจ้ารักซึ่งกำลังเน่าเปื่อยอยู่ แล้วตายตามพวกเขาไป ? โดยไม่สนใจศักดิ์ศรีของคนตายจนถึงระดับนี้ เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของพวกเขาบ้างหรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงพูดเสียงดังขึ้น คำพูดของนางก็คมชัด ในที่สุดเมื่อนางหยุดพูด นางได้ยินซวนเทียนหมิงใช้กำลังภายในของเขากล่าวว่า “คนตายทุกคนหวังว่าคนที่มีชีวิตอยู่จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ องค์ชายผู้นี้เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถเข้าใจเหตุผลนี้ ! ”

การพูดของทั้งสองทำให้กลุ่มผู้ลี้ภัยตรงหน้านี้สงบลงอย่างช้า ๆ แม้แต่คู่ที่กอดบุตรก็ไม่ร้องไห้อีกต่อไป ทุกคนต่างก็คิดถึงสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูด พวกเขาต่างก็คิดถึงความจริงของคำเหล่านั้น

ในผู้ลี้ภัยนี้มีคนวัยกลางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับยาที่ออกมา โค้งคำนับกับซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง จากนั้นเขาก็หันไปหาผู้ลี้ภัยและกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนจำข้าได้ บางคนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน และบางคนก็เจอกันในขณะที่หลบหนีจากภัยพิบัติ พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าข้าเป็นหมอ แม้ว่าข้าจะได้ฝึกฝนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ข้าได้รักษาพวกเจ้าเจ้าหลายครั้งระหว่างการเดินทาง ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันพูด สิ่งที่องค์หญิงพูดนั้นถูกต้อง สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่น้ำท่วม เป็นโรคระบาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลังจากน้ำท่วมลดลง”

ทุกคนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่คนที่อยู่ตรงหน้าได้ยินมันและเริ่มบอกต่อ ๆ กันไปทางด้านหลัง ทุกคนต่างก็รู้ว่าหมอของพวกเขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันพูด ผู้ที่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องศพของคนที่เขารักด้วยชีวิตของพวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความมุ่งมั่นของพวกเขา

เฟิงหยูเฮงค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวผ่านฝูงชนผู้ลี้ภัย เดินไปที่หลุมลึก นางมองดูคู่รักที่กอดบุตร นางกล่าวเสียงดัง “ต้องมีชีวิตต่อไปจึงจะสามารถทำบุญให้บุตรของเจ้าได้ ในช่วงเทศกาลสารทจีนพวกเจ้าสามารถจุดโคมไฟให้เขาได้ วันปีใหม่ก็สามารถเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขาได้ หากพวกเจ้าทั้งคู่ตายไปพร้อมกับเขา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ? เขาจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร ? ”

ในที่สุดทั้งคู่ก็ร้องไห้ออกมา แต่พวกเขาก็ค่อย ๆ ปล่อยเด็กไป เฟิงหยูเฮงรีบสั่งวังซวนและหวงซวน “ไป ! ”

บ่าวรับใช้สองคนไปข้างหน้าและดึงทั้งคู่ออกจากหลุมอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันทหารจำนวนมากก็รีบลงไปดึงคนอื่นที่สงบอารมณ์ลง

คนไม่คัดค้าน กำแพงมนุษย์แยกย้ายกันไปโดยอัตโนมัติ หมอประจำหมู่บ้านพูดกับซวนเทียนหมิง “องค์ชายได้โปรดจุดไฟพะยะค่ะ ! ”

ซวนเทียนหมิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณ” จากนั้นเขาก็โบกมือและสั่งทหาร “เทน้ำมันเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟ ! ”

ภายใต้ฝนตกหนัก ไฟไม่สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ทหารเทถังน้ำมันเชื้อเพลิงลงในหลุม จากนั้นพวกเขาก็โยนไฟออกเป็นจำนวนมาก ทันใดนั้นเสาไฟก็ลุกโชนขึ้นบนฟ้า เมื่อเห็นเสาไฟนี้ผู้คนเริ่มร้องไห้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ก้าวไปข้างหน้า

ซวนเทียนหมิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วกวาดเสื้อคลุมของเขาไปด้านข้างแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงในโคลน

การกระทำของเขาทำให้ผู้ลี้ภัยทั้งหมดต้องตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจว่าทำไม พวกเขาเห็นเฟิงหยูเฮงทำตามเขาและคุกเข่าที่ด้านข้างเขา จากนั้นก็เป็นบ่าวรับใช้ 2 คนของเฟิงหยูเฮงตามด้วยแล้วทหารก็ทำตาม ทุกคนคุกเข่าต่อหน้ากองไฟขนาดใหญ่นี้ จากนั้นพวกเขาได้ยินซวนเทียนหมิงพูดเสียงดังว่า “พวกเขาเป็นพลเมืองของราชวงศ์ต้าชุนของข้า วันนี้องค์ชายผู้นี้จะส่งศพของพวกเขา ! ”

ทันใดนั้นผู้คนก็จัดการตอบโต้ นี่คือองค์ชายเก้าและองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันนำทหารในการส่งคนตาย พวกเขาตกใจมากจนไม่สามารถคุกเข่า พวกเขายืนอยู่ที่นั่น และดูฉากด้วยความไม่เชื่ออย่างเต็มที่

นี่เป็นองค์ชายเก้าที่หยิ่งทะนงและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ในหมู่คนทั่วไปมีบางคนที่เรียกเขาว่าองค์ชายเก้าแห่งยมโลก แต่ใครจะจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้จะไม่สนใจสถานะของเขาในฐานะองค์ชาย และพาองค์หญิงของเขาคุกเข่าเพื่อส่งพลเมืองของเขา ?

ทุกคนรู้สึกตื้นตัน ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากความทุกข์ทรมานจากการที่คนที่พวกเขารักถูกเผา เป็นเพราะองค์ชายเก้าและองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันกำลังคุกเข่าที่ทำให้พวกเขารู้สึกอารมณ์

พวกเขาคุกเข่า อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คุกเข่าให้กับเสาเพลิง แต่พวกเขาคุกเข่าให้กับซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง ผู้ลี้ภัยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พวกเขารู้วิธีพูดด้วยสายตาที่จริงใจเท่านั้น คำที่พวกเขาพูดนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุด “ทรงพระเจริญพะยะค่ะ”

——————————————————————————————————

TN: เทศกาลสาร์ทจีนจัดขึ้นในวันที่ 15 ของเดือนที่ 7 ของปฏิทินจันทรคติ เทียบเท่าญี่ปุ่นจะเป็น Obon https://en.wikipedia.org/wiki/Ghost_Festival