บทที่ 42 Ink Stone_Romance
หลังจากวันเกิดของมิเอลผ่านพ้นไปก็เข้าสู่ศักราชใหม่ ในระหว่างนั้นอาเรียได้ติดต่อกับออสการ์ทางจดหมายและได้รู้จักสนิทสนมกับหญิงสาวชนชั้นสูงท่านอื่นผ่านการเรียนวิชาต่างๆ
และรู้สึกสนิทกับท่านเคานต์ที่ยังไม่มีกำหนดการเดินทางในช่วงนี้มากขึ้นด้วย เธอยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับท่านเคานต์เพราะยังหาจังหวะดีๆ ไม่ได้ ในตอนนี้เพียงแค่ไม่ก่อเรื่องอะไรก็เพียงพอแล้วที่จะคงความสัมพันธ์อันรักใคร่ปรองดองของพ่อและลูกสาวเอาไว้
และเธอก็ยังไม่ได้รับผ้าเช็ดหน้าจากมิเอล ถึงอย่างไรอาเรียก็ไม่ได้หวังว่ามิเอลจะให้ผ้าเช็ดหน้ากับเธอจริงๆ อยู่แล้ว พอเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ไว้แล้ว อาเรียก็ตระหนักได้ว่ามิเอลช่างโง่เง่าเสียเพียงใด
‘ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงคิดว่าหล่อนเพียบพร้อมและดูน่าอิจฉากันนะ’
พอได้ย้อนเวลากลับมา ก็รู้สึกว่ามิเอลไม่ใช่คนที่น่าอิจฉาขนาดนั้น แน่นอนว่าเธอได้รับการศึกษามาตั้งแต่เด็กจึงเต็มไปด้วยความรู้มากมาย ทั้งยังมีกิริยามารยาทที่ได้รับการสั่งสอนที่ถูกต้องด้วย
สำหรับตัวอาเรียที่ไม่มีอะไรเลยในอดีต พอได้เห็นมิเอลที่มีทุกอย่างแบบนั้นก็รู้สึกอิจฉา และคิดว่านั่นเป็นเหมือนกำแพงใหญ่ที่ขว้างกั้นเธออยู่ แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว มันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถอยู่เหนือกว่ามิเอลได้
‘บางทีในตอนนี้อาจจะเหนือกว่าแล้วก็ได้’
วันเกิดครั้งนี้ทำให้อาเรียได้เข้าใจว่ามิเอลยังมีนิสัยแบบเด็กที่ยังไม่รู้จักโตอยู่บ้าง เธอจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มิเอลจะโตผู้ใหญ่พอที่จะครอบครองคฤหาสน์หลังนี้
อีกไม่นานก็จะมีงานเลี้ยงฉลองบรรลุนิติภาวะ ซึ่งผู้เข้าร่วมก็คือชนชั้นสูงที่จะบรรลุนิติภาวะอย่างเป็นทางการในปีนี้นั่นเอง และหลังจากนั้นก็จะมีงานเลี้ยงฉลองให้กับซาร่าที่จะบรรลุนิติภาวะในปีนี้อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นอาเรียจึงเรียกใช้แอนนี่หลังจากไม่ได้สั่งงานเธอมาระยะหนึ่งแล้ว
“เลดี้คะ…!”
ใบหน้าของแอนนี่ดูซีดเซียว เพราะไม่ได้ถูกเรียกใช้งานมานานเลยมีสภาพแบบนั้นงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะคิดถึงความสุขชั่วครู่ที่ได้เพลิดเพลินกับของมีค่าล่อตาล่อใจกันแน่นะ
บางทีเหตุผลอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่างก็ได้ แต่อาเรียรวบรวมเอาเหตุผลทั้งหมดนั่น มาสรุปเอาว่าเป็นเพราะแอนนี่คิดถึงเธอนั่นเอง
“ที่ผ่านมาฉันค่อนข้างยุ่ง เลยไม่ได้เรียกน่ะ”
แอนนี่นั่งอยู่ที่โซฟา ต่างจากเจสซี่ที่ยืนอยู่ข้างประตู
ไม่ว่าเมื่อไหร่แอนนี่ก็เป็นคนพิเศษ การกระทำของอาเรียทำให้แอนนี่รู้สึกว่าตนเป็นคนพิเศษ และอาเรียก็จงใจให้เธอรู้สึกเช่นนั้น อาเรียลูบผิวหยาบกระด้างของแอนนี่และพูดออกมาเบาๆ อย่างสงสาร
“ทำไมถึงดูซูบผอมขึ้นแบบนี้ล่ะ ผิวที่เคยนุ่มนวลของเธอหายไปไหนแล้ว น่าสงสารเสียจริง”
“เลดี้…”
แอนนี่ทำหน้าตื้นตันใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท่าทางห่วงใยของอาเรีย
“ว่าแต่ มันไม่มีทางทำอะไรได้เลยเหรอ ทั้งที่ฉันไม่รู้สึกว่าจะต้องพาคนใช้ไปด้วยสองคนแท้ๆ”
อาเรียไม่ได้คิดจะพาแอนนี่ไปด้วย เพื่อให้แอนนี่รับใช้ปรนนิบัติเธอแต่อย่างใด ซึ่งแอนนี่ก็รู้ความจริงข้อนี้ดี
“อีกไม่นานจะมีงานเลี้ยงจัดขึ้น ฉันคิดจะพาเธอไปที่นั่นด้วยให้ได้แท้ๆ”
ที่นั่นมีซาร่าที่จะได้เลื่อนสถานะทางสังคมขึ้นในอนาคตอันใกล้อยู่ และที่งานฉลองบรรลุนิติภาวะก็จะพูดคุยกันถึงเรื่องที่เธอได้พบกับท่านมาร์ควิสวินเซนต์ด้วย
แม้ซาร่าจะเกิดมาในตระกูลขุนนาง แต่ตระกูลของเธอไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่อะไร ในสายตาของแอนนี่จึงมองซาร่าไม่ต่างไปจากเคาน์ติส
ถ้าหากได้เจอซาร่าเข้าจริง คงจะอิจฉาจนนอนไม่หลับเป็นแน่ และเมื่อเป็นแบบนั้น ที่พึ่งเดียวของแอนนี่ก็คืออาเรียในท้ายที่สุดนั่นเอง ผู้หญิงที่จะทำให้เธอได้หลุดพ้นจากชีวิตสาวใช้อันน่าเบื่อหน่ายและล้อมรอบไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง
“เพราะอย่างนั้นเห็นทีจะต้องเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้เสียแล้ว”
อาเรียสั่งให้เจสซี่เอาน้ำล้างหน้าที่มีส่วนผสมของเครื่องหอมและสมุนไพรเข้ามา
มันเป็นน้ำล้างหน้าที่เหล่าชนชั้นสูงมักจะใช้เพื่อฟื้นฟูผิวเสีย มันมีส่วนผสมล้ำค่าที่สามารถทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ใช้สองสามครั้งเท่านั้น
อาเรียอายุยังน้อยเลยไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่ในอดีตเธอเอาแต่เล่นสนุกเมามายอยู่ทุกคืนวัน ผิวของเธอจึงไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้เธอได้ใช้มันอยู่บ่อยๆ
“ดูเหมือนมันจะเห็นผลในทันทีเมื่อใช้กับผิวของเธอนะ”
อาเรียพูดอย่างประทับใจเมื่อเห็นผิวหยาบกร้านของแอนนี่ดูดีขึ้น หลังจากล้างหน้าไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อคิดดูแล้วมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะแอนนี่ดูแลผิวง่ายๆ แบบชาวบ้านทั่วไปมาตลอด ผิวของเธอไม่เคยได้รับการดูแลพิเศษแบบนี้มาก่อน พอผิวได้เติมเต็มสารอาหารที่ขาดหายไป ก็ทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นมาทันที
หลังจากทาโลชั่นที่ผิวแล้ว แอนนี่ก็เอาแต่จับหน้าตัวเองอยู่หลายครั้ง เธอหลงใหลในผลลัพธ์ที่ได้
“อ๊ะ จริงสิ จะว่าไปแล้วฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่เรื่องหนึ่งน่ะ”
อาเรียหยิบยื่นโอกาสครั้งที่สองให้แอนนี่
เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้แอนนี่ได้สุขสำราญไปกับสิ่งที่เธอได้รับเมื่อครู่และแก้วแหวนเงินทองในภายภาคหน้า
อาเรียพูดออกมาพร้อมกับแววตาที่สื่อว่า หากครั้งนี้เธอตอบคำถามอย่างไม่ถูกไม่ควรแล้วล่ะก็ ฉันจะไม่ให้โอกาสเธออีกแน่
“ฝีมือปักผ้าของมิเอลก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เธอพอรู้ถึงสาเหตุบ้างรึเปล่า”
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เป็นเพียงข้อมูลผิวเผินเหมือนเรื่องที่เล่าสู่กันฟังทั่วๆ ไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นข้อมูลที่อาเรียอยากรู้มากที่สุด
และแอนนี่ที่ได้รับความกรุณาจากอาเรียหลายต่อหลายครั้ง ก็ตอบมาอย่างไม่ลังเล
“อ๋อ เรื่องนั้นหรือคะ ในตอนแรกเลดี้มิเอลก็ลำบากกับการปักผ้าอยู่นะคะ แต่พอเปลี่ยนครูสอนแล้วก็พัฒนาได้อย่างรวดเร็วเลยค่ะ ดิฉันก็ได้เห็นมาบ้าง ครูคนนั้นอธิบายได้เข้าใจง่ายมากๆ เลยค่ะ”
“เปลี่ยนครูงั้นหรือ”
เหตุผลแค่นั้นน่ะหรือ จนถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนครูมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วไม่ใช่หรือไง เป็นครูแบบไหนกัน
“ใช่ค่ะ ถ้าช้าไปนิดเดียวก็เกือบจะไม่ได้จ้างครูคนนั้นมาสอนแล้วค่ะ เห็นว่ามีกำหนดการจะแต่งงานแล้วไปต่างประเทศ กว่าจะพบตัวและพามาก็ลำบากอยู่ค่ะ ได้ยินว่าหากตามหาช้าไปเพียงไม่กี่เดือน ก็อาจจะไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของครูคนนั้นเลยด้วยซ้ำค่ะ”
หมายความว่าเหตุผลที่มิเอลปักผ้าได้ดีขึ้น เป็นเพราะในอดีตก่อนที่จะย้อนเวลากลับมามิเอลเริ่มเรียนปักผ้าช้ากว่าปัจจุบัน เลยทำให้ตอนนี้เธอได้เรียนกับครูคนหนึ่งที่ในอดีตไม่เคยได้พบหรือได้ยินชื่อมาก่อนเลยอย่างนั้นสินะ เพราะร่นเวลาเรียนปักผ้าเข้ามาเร็วขึ้น เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ยังไงเสียต่อจากนี้ไปก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาแข่งกันเรื่องปักผ้าอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะถึงยังไงฉันก็ตั้งใจจะทำทุกอย่างตัดหน้าแกอยู่ดี
“มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยงั้นสินะ โล่งอกไปทีเนอะ”
อาเรียลูบผมแอนนี่อย่างแผ่วเบา เป็นค่าตอบแทนต่อการที่เธอทรยศเจ้านายตัวเองแล้วแอบมารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับนางมารร้ายอย่างลับๆ
ในตอนนั้นเอง อาเรียมอบเข็มกลัดทองคำให้กับแอนนี่ที่รู้ถึงข้อผิดพลาดของตนเองและเกิดกังวลขึ้นมา เข็มกลัดทองคำที่ติดอยู่กับชุดสาวใช้สีทึมๆ เปล่งประกายสะท้อนแสง
“มันดูเข้ากับเธอมากกว่าที่คิดอีกนะ สมแล้วที่เป็นแอนนี่ เธอเข้ากับเครื่องประดับแบบนี้มากเลยนะ ยิ่งแต่งเนื้อแต่งตัวเธอก็ยิ่งดูเปล่งประกายนะ”
เมื่ออาเรียพูดจบ ความกังวลของแอนนี่ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้การทรยศหญิงใจบุญจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่ถ้าต้องเลือกแล้ว แน่นอนว่าทองคำก็ดีกว่าเห็นๆ และเพื่อผลตอบแทนราคาสูงนี้ แอนนี่จะต้องคาบข่าวมารายงานเธอทุกครั้งอย่างแน่นอน
“อ่อ…และก็ ที่จริงเวลาปักผ้า ครูจะปักผ้าเป็นรูปใหญ่ๆ ไว้ให้ก่อน จากนั้นเลดี้มิเอลก็จะเติมส่วนที่ขาดไปค่ะ”
“อ้าว อย่างนั้นหรอกหรือ”
ครั้งแรกมันมักจะยากเสมอ แต่พอมีครั้งที่สองหรือสามตามมาแล้ว มันก็จะง่ายขึ้น ยิ่งเป็นคนที่ได้ทรยศใครไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีทางจะกลับไปอยู่ในที่ที่เคยอยู่ได้หรอก ต่อจากนี้มิเอลคงไม่สามารถใช้แอนนี่ให้ทำเรื่องชั่วๆ ได้อีกต่อไป
อาเรียยิ้มอ่อนโยน เธอรอคอยวันที่สาวใช้ช่างจ้อคนนี้จะก่อเรื่องวุ่นวายให้กับบ้านหลังนี้
***
เรนมาที่คฤหาสน์อีกครั้งในวันที่งานฉลองบรรลุนิติภาวะใกล้จะมาถึง เขาบรรทุกของขวัญมาเต็มคันรถ อาเรียคิดว่าบางทีเขาอาจจะเป็นคนประเภทที่ตื่นตาตื่นใจไปกับปริมาณมากกว่าคุณค่าที่แท้จริงก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วของขวัญส่วนใหญ่ที่เขาให้มาแล้ว มันเป็นของมีค่าที่หาซื้อได้ยากทั้งนั้น
“นี่เป็นของขวัญที่เจ้านายกระผมส่งมาให้เลดี้มิเอลครับ”
“ตายจริง”
เคาน์ติสตกใจจนคิดพูดคำต่อไปไม่ออก
และมิเอลก็เช่นกัน เพราะที่ผ่านมาเธอเอาแต่ไล่ตามออสการ์คอยทุ่มเทเป็นผู้ให้อยู่ฝ่ายเดียว
ที่ผ่านมาออสการ์ส่งของขวัญตอบแทนตามมารยาทมาโดยตลอด เมื่อเทียบกับเขาแล้ว มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
‘เจ้านายของเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ’
หากเป็นขุนนางระดับทั่วๆ ไปไม่มีทางเตรียมของขวัญแบบนั้นได้แน่นอน ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดมาให้หรือไม่ แต่เพราะเขาไม่เปิดเผยหน้าตาตนเอง จะให้เข้าใจว่าทุ่มสมบัติที่มีทั้งหมดมาให้ของขวัญก็ดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
‘หรือจะเป็นขุนนางต่างชาติ’
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีทางทุ่มกับมิเอลสุดตัวแบบนี้แน่ๆ เพราะการเอาทรัพย์สมบัติมาทุ่มให้กับฝ่ายที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางตอบรับความคาดหวังของตน ก็ไม่ต่างจากการเอาเงินไปทิ้งให้เสียเปล่า
หรือเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิเอลและตระกูลโรสเซนต์เลยงั้นหรือ
‘ไม่ว่ายังไง เขาก็ช่างดูโง่เง่าเสียจริง’
ถ้าสืบค้นเพิ่มเติมอีกนิดก็น่าจะรู้ว่ามิเอลหลงใหลได้ปลื้มในตัวออสการ์อยู่ หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตขนาดที่จะไม่สนใจเรื่องนั้น
เพราะอย่างนั้นเขาเลยต้องทุ่มเทให้กับมิเอล เพราะไม่แน่ว่าเธออาจจะเปลี่ยนใจมาหาเขาเพื่อความรักครั้งใหม่ก็เป็นได้
ท่านเคานต์งานยุ่งจึงออกไปทำธุระข้างนอก มีเพียงเคาน์ติส มิเอล อาเรีย และเรนร่วมทานอาหารกลางวันด้วยกัน
อาเรียทานข้าวอย่างช้าๆ พร้อมกับสังเกตท่าทางของเรนไปด้วย เขาแสดงความสนใจในตัวมิเอลอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลานี้ ห้องอาหารดูอึกทึกเสียงดังต่างไปจากปกติ นั่นก็เพราะของขวัญที่เขานำมาให้ในครั้งนี้ ทำให้เคาน์ติสพูดเจื้อยแจ้วขึ้น
“ทางเราไม่ได้ต้อนรับอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ก็ยังมีน้ำใจเอาของขวัญมาให้บ่อยๆ เกรงใจจังเลยค่ะ”
“อย่าคิดมากเลยครับ เจ้านายของกระผมทำลงไปเพราะอยากให้น่ะครับ”
“เจ้านายที่ว่าเป็นคนยังไงหรือคะ พอเห็นว่าสนใจในตัวมิเอลมากขนาดนี้ก็อดสงสัยไม่ได้เลยน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามของเคาน์ติส มิเอลก็ตาแววเป็นประกายขึ้นมา พอได้รับของขวัญกองเท่าภูเขา ก็คงเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง
และแน่นอนว่าอาเรียก็หูผึ่งรอฟังคำตอบของเรนอยู่
“อา…เกรงว่าท่านจะยังเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ไม่ได้ครับ”
แต่คำตอบที่ได้ฟัง ช่างน่าผิดหวังนัก ดูจากสีหน้าท่าทางของเรนที่ดูหมองขึ้นและไม่ร่าเริงแล้ว คงจะเป็นอะไรที่ตอบได้ยากจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น เคาน์ติสก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม เธอรบเร้าให้เรนช่วยบอกข้อมูลเจ้านายของเขาเท่าที่จะบอกได้ อาเรียเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
และเพราะการรบเร้าที่ไม่ลดละ ทำให้เรนทำสีหน้าจนปัญญาและเริ่มพูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“อืม…จะบอกว่าท่านเป็นทายาทจากวงศ์ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งก็ได้ครับ แม้จะยังอายุน้อยแต่ก็มีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องรับผิดชอบ และท่านชอบคนฉลาดมีไหวพริบเลยรู้สึกสนใจในตัวเลดี้มิเอลน่ะครับผม”
“ตายจริง แล้วท่านรู้ได้อย่างไรคะ ว่ามิเอลเป็นคนฉลาด”
“ท่านบอกว่าเคยพบเลดี้มิเอลมาแล้วครั้งหนึ่งน่ะครับ อีกอย่างท่านก็ได้ยินเรื่องราวต่างๆ จากผมที่ถูกส่งมาเป็นตัวแทนแล้วก็ยังได้ยินเรื่องเล่าจากท่านเคานต์ด้วยครับ”
“เคยพบดิฉันมาแล้วงั้นหรือคะ”
มิเอลย้อนถามอย่างงุนงง หน้าตาของเธอกำลังบอกว่านึกอะไรไม่ออกเลย คนที่ไม่ได้ออกไปข้างบ่อยๆ แบบเธอ จะไปพบกับเจ้านายของเรนได้เมื่อไหร่ และที่ไหนกัน อาเรียรู้สึกสงสัย
“ครับ แม้จะบอกรายละเอียดไม่ได้มากนัก แต่ท่านบอกว่าเคยเจอเลดี้มาแล้วครั้งหนึ่งครับ”
“จำไม่ได้เลยค่ะ ว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วย”
“อาจจะบังเอิญพบกับในเวลาสั้นๆ ก็ได้นะครับ”
“…อย่างนั้นหรือคะ”
มิเอลยังคงงุนงงอยู่เช่นเคย ไม่คิดว่าตนเองเคยได้พบกับเจ้านายของเรนมาก่อน
มิเอลเงียบไปสักพัก เธอครุ่นคิดกับตัวเองก่อนจะเริ่มถามถึงสิ่งที่คิดไว้ในใจ
“ไม่ทราบว่า ท่านใช่คนเดียวกับที่ดิฉันกับท่านพี่ได้เจอตอนออกไปข้างนอกเมื่อคราวก่อนรึเปล่าคะ”
ดูเหมือนเธอจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมา เธอขมวดคิ้วขึ้น พยายามรื้อฟื้นความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับคนคนนั้น
เรนยิ้มกว้างออกมา
“ในตอนนี้ท่านยังคงยุ่งอยู่นิดหน่อยแต่อีกไม่นานก็คงได้พบกันแน่ครับ ถ้าได้พบกันอีกครั้งแน่นอนว่าเลดี้ต้องจำได้แน่นอนครับผม”
“ถ้าอย่างนั้นคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากรออย่างเดียวสินะคะ”
“ครับ ท่านมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ครับ ต้องขออภัยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ บางเรื่องเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่คะ”
มิเอลตอบเขาด้วยรอยยิ้มหวานปานหยาดน้ำผึ้งสมกับชื่อของเธอ เธอมองข้ามความไร้มารยาทนั้นไปด้วยความมีน้ำใจ ต่างกับอาเรียที่ยังรู้สึกถึงข้อกังขาเต็มไปหมด
ทายาทผู้ยิ่งใหญ่ที่ยากจะเปิดเผยตัวตนอย่างนั้นหรือ เป็นใครกันแน่นะ
อาเรียเหลือบตามองไปยังสาวใช้ที่ยืนรออยู่ข้างหลัง ในเวลานี้คนที่ยืนอยู่ไม่ใช่เจสซี่ แต่เป็นแอนนี่เสียอย่างนั้น เพราะช่วงนี้ยังไม่มีเรื่องสำคัญอะไรมากมาย จึงไม่ได้สั่งให้นำนาฬิกาทรายมาด้วย
ช่วยไม่ได้สินะ เพราะยังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะเลียบถามแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นเท่านั้น อย่างน้อยตามที่คาดคิดไว้ คนที่อยู่เบื้องหลังเขา จะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่ๆ
………………………………………………..