ภาคที่ 4 ตอนที่ 39 ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ทหารส่งสารที่มาแจ้งข่าวด่วนไม่ได้ตะโกนเสียงดังเรียกความสนใจของผู้คนเช่นนี้นานนักแล้ว 

 

 

ตามกฎชัยชนะครั้งใหญ่ล้วนต้องแจ้งข่าวดีตามทาง 

 

 

เพียงแต่ก่อนปีใหม่หลังปีใหม่ช่วงนี้ไม่มีข่าวดีอะไรให้ประกาศ 

 

 

ที่จริงพูดอย่างเคร่งครัดแล้วนี่ไม่นับว่าเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ แต่บุกเข้าไปในเขตของชาวจินแล้วยังไม่ตายนำทัพกลับมาได้ สำหรับทหารคนใดของต้าโจว นี่เพียงพอเรียกได้ว่าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แล้ว 

 

 

เพราะข่าวนี้บนถนนนใหญ่จึงตกสู่ความฮือฮา องค์หญิงจิ่วหลีที่อยู่ลึกเข้าไปในจวนหลังกำแพงสูงก็วางเข็มด้ายในมือลง เอียงหูฟังด้วย 

 

 

“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม 

 

 

องค์หญิงชอบถามเรื่องข้างนอกมากขึ้นทุกทีแล้ว 

 

 

แต่พวกนางจะรู้เรื่องข้างนอกได้อย่างไร สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้มศีรษะ 

 

 

“บ่าวจะไปลองถามดูเพคะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น กำลังจะเดินออกไป ลู่อวิ๋นฉีก็เดินเข้ามาแล้ว 

 

 

“ด้านนอกประกาศชัยชนะ” 

 

 

เขาตอบตรงๆ 

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้มศีรษะถอยออกไปแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีใบหน้าเผยสีหน้ายินดี 

 

 

“ประกาศชัยชนะ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

“เฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย 

 

 

เทียบกับทหารส่งสารด่วน เขาได้ข่าวเร็วกว่าก้าวหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่พวกเฉิงกั๋วกงเหยียบเข้าในเขตติ้งโจว 

 

 

เขาได้ข่าวสิ่งแรกย่อมต้องกราบทูลฮ่องเต้ 

 

 

ฮ่องเต้สดับฟังแล้วบอกไม่ได้ว่าอารมณ์เป็นอย่างไร 

 

 

“ข้าควรดีใจหรือไม่ดีใจเล่า?” พระองค์ตรัส 

 

 

คำพูดนี้คล้ายตรัสกับตนเอง 

 

 

ในห้องกระทั่งขันทีก็ไม่มี มีเพียงลู่อวิ๋นฉีคนเดียว 

 

 

“ทำไมเขาไม่ตายนะ?” ฮ่องเต้มองดูลู่อวิ๋นฉี ขมวดพระขนงตรัส 

 

 

เห็นชัดยิ่งว่าข่าวนี้ไม่ทำให้พระองค์พอพระทัย 

 

 

สีหน้าของพระองค์บึ้งตึง ไม่ปิดบังความร้อนรนสักนิด ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนเมตตาที่บรรดาขุนนางใหญ่คุ้นเคย 

 

 

ฮ่องเต้อยู่ต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี ไม่เหมือนกับฮ่องเต้ยามอยู่ต่อหน้าราชสำนัก 

 

 

“เพราะฝ่าบาทยังไม่ให้เขาตาย” ลู่อวิ๋นฉีตอบ 

 

 

ฮ่องเต้มองเขาสรวลเสียงดังแล้ว 

 

 

“พูดถูกต้อง” พระองค์ตรัส “ข้ายังไม่ให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้” 

 

 

พูดจบเสียงยินดีแหลมปรี๊ดของขันทีก็ดังมาจากด้านนอก 

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ข่าวดียิ่ง” 

 

 

ฮ่องเต้โบกมือให้ลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีพลันก้มศีรษะถอยหลัง มองด้านในตำหนักเปิดออก ขันทีชูสาส์นแจ้งพุ่งเข้ามา 

 

 

“…เฉิงกั๋วกงยังไม่ตายกลับมา” 

 

 

“…มาถึงติ้งโจวแล้ว..” 

 

 

ฮ่องเต้ส่งเสียงตรัสถามอย่างยินดี แล้วรีบร้อนสั่งเรียกขุนนางใหญ่ทั้งหลาย 

 

 

บรรดาขุนนางที่อยู่ในที่ทำการขุนนางได้ยินคำสั่งเรียกก็มา ด้านในตำหนักกลายเป็นยิ่งเอะอะ 

 

 

“…เสียกำลังคนนับหมื่น! นี่เป็นโทษกระหายศึก!” 

 

 

“…ก็พูดเช่นนี้ไม่ได้ ชาวจินอย่างไรก็กำลังมากมาย เสียกำลังพลก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้…” 

 

 

“…นั่นก็ล้วนเป็นความผิดของเฉิงกั๋วกง เลี้ยงดูทหารไม่ง่าย สูญเสียง่ายดาย ฝ่าบาทให้เลี่ยงศึกครั้งแล้วครั้งเล่า เขาดันขัดพระบัญชาไม่ฟัง…” 

 

 

ฮ่องเต้ฟังขุนนางทั้งหลายใจรักคุณธรรมโกรธเกรี้ยว สีหน้าก็ดีพระทัยอยู่บ้าง ตื่นเต้นวิตกอยู่บ้าง 

 

 

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนมีชีวิตอยู่ก็ดี” พระองค์ตรัส 

 

 

“ฝ่าบาทเมตตาเกินไปแล้ว” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งเอ่ยทันที “ก็เพราะฝ่าบาทเมตตาเช่นนี้ เฉิงกั๋วกงถึงยิ่งมีที่พึ่งไม่กลัวเกรงขึ้นทุกที” 

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “ในเมื่อคนไม่เป็นไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือจัดการเรื่องที่ตามมา” 

 

 

“ใช่แล้ว มีเรื่องอะไรรอเฉิงกั๋วกงกลับมาค่อยพูดเถิด” หวงเฉิงที่เงียบงันไม่พูดจามาตลอดก็เอ่ยบ้าง 

 

 

พูดถึงจัดการเรื่องที่ตามมา ย่อมมีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมาย คุณงามความชอบรางวัลและบทลงโทษมากมาย บรรดาขุนนางในท้องพระโรงพากันแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีถอยออกไปนอกตำหนัก ส่งสัญญาณให้ขันทีปิดประตูตำหนักตัดขาดจากเสียงเอะอะโวยวายเหล่านี้แล้วหมุนกายเดินจากไป 

 

 

เรื่องเหล่านี้เขาย่อมไม่มีทางบอกองค์หญิงจิ่วหลี เพียงได้ยินลู่อวิ๋นฉีเอ่ยว่าเฉิงกั๋วกงยังมีชีวิตอยู่ บนหน้าขององค์หญิงจิ่วหลีก็ผุดรอยยิ้ม 

 

 

“คนดีก็ควรอายุยืน” นางเอ่ย 

 

 

“ที่จริงล้วนเหมือนกัน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “ช้าเร็วก็ต้องตาย” 

 

 

“แม้ช้าเร็วล้วนต้องตาย แต่ตายกับตายไม่เหมือนกันได้” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย 

 

 

“ไม่มีอะไรแตกต่าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นเรียบๆ 

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีไม่โต้เถียงอีก ก้มศีรษะเย็บปักต่อ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้หมุนกายจากไป แต่ยืนอยู่ที่เก่ามองดูนางปักบุปผาที่คล้ายไม่มีวันปักเสร็จดอกหนึ่ง 

 

 

“องค์หญิงไม่ถามข่าวของคุณหนูจวินหรือ?” เขาเอ่ย 

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีหยุดเข็ม แย้มยิ้มแล้ว 

 

 

“ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” นางเอ่ย 

 

 

……………………………………….  

 

 

แต่สำหรับคนส่วนมากแล้ว ข่าวของเฉิงกั๋วกงเป็นข่าวดีใหญ่หลวงจริงๆ 

 

 

ครั้งที่ลือกันว่าเฉิงกั๋วกงตายในสนามรบ ประชาชนแดนใต้ตื่นตระหนกจนร่ำไห้ แดนเหนือด้านนี้เศร้าสร้อยจนร่ำไห้โฮ 

 

 

เสียเฉิงกั๋วกง ความเศร้าสลดก็ครอบงำทั้งแดนเหนือ ถึงขั้นมีทหารกองหนึ่งที่ชายแดนสยงโจวพบทหารจินเข้าไม่สู้กลับหนี 

 

 

ทหารยังหนีเลย ประชาชนทั้งหลายยิ่งตัดสินใจพาครอบครัวลงใต้ 

 

 

ภรรยาของเฉิงกั๋วกงแน่นอนไม่ได้ไปและไม่ได้เศร้าเสียใจอย่างที่ทุกคนจินตนาการ นางสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่ได้ยินข่าวเฉิงกั๋วกงพลีชีพในสนามรบสักนิด 

 

 

“ความตายมีสิ่งใดให้เศร้าเสียใจ” นางเอ่ยกับสาวใช้ตัวน้อยข้างกาย “คนล้วนต้องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” 

 

 

ทว่าไม่มีใครยินดีตายนะ สาวใช้ตัวน้อยคิดในใจ 

 

 

“นั่นก็ไม่แน่ มีคนยินดีตายจริงๆ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย 

 

 

ข่าวพลันส่งมาตอนนี้เอง เหลียงเฉิงต้งพุ่งเข้ามาตื่นเต้นจนเสียงยังเปลี่ยนโทน 

 

 

“บอกว่าถึงติ้งโจวแล้ว จริงแท้แน่นอน” เขาเอ่ย 

 

 

ตั้งแต่ไม่เห็นคุณหนูจวินนำทหารกลับมาเมืองเหอเจียน คนทั้งหมดก็ล้วนฉุกใจสงสัย เมื่อส่งคนสืบไปข่าวคนบอกว่าป้าโจวไม่มีร่องรอยของพวกคุณหนูจวินแล้ว ในใจทุกคนก็ล้วนคาดเดาได้ 

 

 

คราแรกยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง นี่น่าตะลึงเกินไปแล้ว 

 

 

เฉิงกั๋วกงนำทัพบุกเข้าแผ่นดินชาวจิน แม้ทุกคนตกตะลึงแต่ก็รู้สึกว่ายอมรับได้ อย่างไรนั่นก็เป็นเฉิงกั๋วกงไหม แต่สตรีผู้หนึ่งนำกองทหารซุ่นอันวิ่งไปด้วย นี่…ไปตายเปล่าโดยแท้ไหม? 

 

 

คิดไม่ถึงนางกลับทำได้จริงๆ 

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าหลากหลายอารมณ์ คล้ายตื่นเต้นแล้วก็คล้ายปวดใจ มีคำพูดนับร้อยนับพันท้ายที่สุดเพียงถอนหายใจหนหนึ่ง 

 

 

“เด็กคนนี้” นางเอ่ย 

 

 

“พวกเราตอนนี้เดินทางไปติ้งโจวไหมขอรับ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถามตื่นเต้น “ท่านชายน่าจะไปแล้ว” 

 

 

แล้วก็เดินไปมาอีก 

 

 

“ไม่รู้ว่าท่านกั๋วกงบาดเจ็บเป็นอย่างไร” 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว 

 

 

“มีอะไรน่าเป็นห่วง” นางเอ่ย “มีคุณหนูจวินอยู่นี่” 

 

 

………………………………………. 

 

 

ติ้งโจว ด่านอันหยางอำเภอถังเซี่ยน เวลานี้ค่ายใหญ่แถบหนึ่งตั้งอยู่ กองกำลังทหารไปมาไม่ขาด คนมากมายล้วนถูกขวางอยู่ด้านนอก รวมถึงขุนนางพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารเช่นผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นของติ้งโจว 

 

 

“เฉิงกั๋วกงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ไม่อาจถูกรบกวน” ทหารที่เฝ้าอยู่นอกค่ายสีหน้านิ่งเฉยเอ่ย 

 

 

ขุนนางทั้งหลายของกองทหารท้องถิ่นมีโทสะกับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ประการแรกด้านในมีเฉิงกั๋วกง ประการที่สองค่ายทหารด้านนี้ดูไปแล้วดุดันเป็นพิเศษ ได้แต่หยุด 

 

 

“หรือเฉิงกั๋วกงไม่ใช่แค่บาดเจ็บหนักแต่ตายแล้ว?” 

 

 

เหล่าขุนนางลอบถกเถียงกันเสียงเบา 

 

 

ไม่เช่นนั้นทำไมไม่ให้พบ? 

 

 

“บอกว่าภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงนำทหารไปช่วยกลับมา” 

 

 

“จริงหรือหลอก? ไม่เคยได้ยินว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงแต่งงานแล้ว” 

 

 

แม้ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าค่ายใหญ่ แต่บรรดาขุนนางเหล่านี้กลับไม่ได้จากไป พวกเขารอคอยอยู่ไม่ไกล ในหมู่คนเหล่านี้นอกจากบรรดาขุนนางผู้ติดตามนายทหาร ยังมีคนที่ดูไปแล้วธรรมดายิ่งแต่กลับไม่ธรรมดาจำนวนหนึ่งปะปนอยู่ด้วย 

 

 

“คนของพวกเจ้า” เหลยจงเหลียนรั้งสายตากลับ มองจินสือปาที่อยู่ด้านข้าง 

 

 

พวกจินสือปาองครักษ์เสื้อแพรห้าคนแม้ได้รับบาดเจ็บมาบ้าง แต่ล้วนไม่กังวลถึงชีวิต เวลานี้ยังสวมชุดเกราะอยู่ ดูแล้วไม่แตกต่างอันใดกับนายทหารรอบด้าน 

 

 

จินสือปาได้ยินเข้าก็สีหน้าเย็นชาไม่สนใจ 

 

 

“คนเหล่านี้เข้ามาไม่ได้ เจ้าดีที่สุดก็ว่าง่ายๆ อย่าคิดอะไรพิเรนท์” เหลยจงเหลียนเอ่ย “ไม่เช่นนั้นจะขังพวกเจ้าอีกครึ่งปี” 

 

 

“มีอะไรน่าปิดบังแล้วมีอะไรปิดบังได้” จินสือปาเอ่ยเย็นชา 

 

 

ด้านนี้กำลังพูดคุยกัน นอกค่ายก็วุ่นวายขึ้นมาอีก คล้ายกับมีคนจะเข้ามาอีก 

 

 

“ข้าเอง ทำไมข้าเข้าไม่ได้” 

 

 

บุรุษผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังกังวาน 

 

 

“พวกเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครรึ?” 

 

 

ได้ยินเสียงนี้ ไม่ต้องมองไปเหลยจงเหลียนก็รู้ว่าคนที่มาเป็นใครแล้ว สีหน้าเขาอดไม่ได้ตื่นเต้นอยู่บ้าง 

 

 

“…ข้าเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงนะ” 

 

 

ในเมื่อเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางถูกขวาง บรรดาขุนนางที่ติดตามมามองจูจั้นที่ไม่สนใจจะหยุดม้าพุ่งเข้าไป 

 

 

“พ่อข้าเล่า?” 

 

 

“แม่ข้าเล่า?” 

 

 

“ภรรยาข้าเล่า?” 

 

 

“ภรรยาท่านชายเล่า?” 

 

 

เสียงดังกังวานท่วมค่ายทหารอันเงียบสงบทันที ทำให้โลกทั้งใบคล้ายร้อนระอุขึ้นมา 

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ กระโจมหลังหนึ่งก็เลิกเปิดมีสตรีผู้หนึ่งเดินออกมา 

 

 

“ใครมาหาภรรยาท่านชาย?” นางเอ่ยถามเสียงดัง 

 

 

ปลายหางตาจูจั้นมองเห็นเข้าก็วิ่งเข้ามาทันที 

 

 

สตรีผู้นั้นปิดหน้า อายุสิบกว่าปี กำลังสะบัดแส้เส้นหนึ่งเล่นอยู่ 

 

 

นี่คือภรรยาท่านชายผู้นั้นหรือ? เก่งเชิงยุทธ์เอาการจริงๆ ของเล่นสนุกยังเป็นอาวุธ 

 

 

ความคิดของจูจั้นแล่นผ่าน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้าง 

 

 

“ข้าเอง” เขาเอ่ย “ข้าคือสามีเจ้า…” 

 

 

คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็มองเห็นมีคนเลิกกระโจมเดินออกมาอีก 

 

 

อาภรณ์ใบไม้ผลิงามงด รูปร่างอ้อนแอ้น เพราะจะออกจากกระโจมจึงก้มศีรษะน้อยๆอยู่ เส้นผมดำขลับเข้มดั่งหมึกรวมถึงบนศีรษะปักบุปผาไข่มุกดอกหนึ่ง 

 

 

“สามี ท่านมาแล้ว” ปากนางเอ่ยออกมาแล้ว 

 

 

ที่จริงเป็นคนนี้หรือ…ในใจจูจั้นเบ้ปาก รู้สึกถึงสายตานับไม่ถ้วนที่สอดส่องอยู่ด้านหลัง บนหน้าสีหน้ายิ่งชัดเจน  

 

 

“ภรร…” เขาตะโกนเสียงดังพลางพลิกกายลงม้า 

 

 

สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองมาพลางยิ้มน้อยๆ 

 

 

เมื่อมองเห็นรอยยิ้มนี้ จูจั้นรู้สึกเพียงร่างกายอ่อนยวบ 

 

 

“อั้ก…” 

 

 

เสียงคำว่าภรรยานั่นเปลี่ยนกลายเป็นเสียงอั้ก คนก็ตกลงมาจากบนม้าดังปึก 

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม 

 

 

“สามี ท่านแม่ยังไม่ได้มาที่นี่ กำลังเร่งเดินทางมาจากเมืองเหอเจียน” ดวงตานางยิ้มโค้งมองจูจั้นตรงหน้า “ ไม่ต้องเป็นห่วง แม่สามีสบายดีทุกประการ” 

 

 

จูจั้นจับบังเ**ยนไว้พิงบนตัวม้าสีหน้าประหนึ่งเห็นผี 

 

 

“มารดา” เขาหลุดปากเอ่ยอีกครั้ง