ภาคที่ 4 บทที่ 44 ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉา

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

ตั้งแต่ที่เจ้าปีศาจจิ้งจอกหนุ่มนั่นปรากฏตัว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นทุกที

แม้ประมุขหลินจะรู้สึกซับซ้อนอธิบายไม่ถูก แต่เขาก็มิได้นึกคลางแคลงเยี่ยนเสี่ยวซื่อ

กระนั้นแล้ว เมื่อเจรจามาจนถึงตอนนี้ ในใจของเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็กระจ่างดีว่าประมุขหลินมาหาเพราะเหตุใด ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่กล้าตรวจสอบนิกายเซียน หากแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ใต้อาณัติของนิกายเซียนต่างหาก

ก่อนที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางจะออกเดินทาง ได้สร้างอาณาเขตในระยะสิบหลี่โดยรอบนิกายเซียน คนนอกไม่อาจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาได้ นอกเสียจากว่าอาจารย์ปู่นิกายศักดิ์สิทธิ์และประมุขศักดิ์สิทธิ์จะมาด้วยตนเอง มิฉะนั้นก็ยากที่จะทำลายอาณาเขตของนิกายเซียน

คนนิกายศักดิ์สิทธิ์ก็เคยลองเจรจากับนิกายเซียนแล้ว แต่เจ้าบ้านไม่อยู่ ให้พวกเขามาอีกครั้งในภายหลัง

ประมุขหลินวิตกว่าจะมีผู้สูญหายเพิ่มขึ้น และกังวลว่าในตำบลอาจมีผู้บาดเจ็บมากขึ้น พวกเขาจำต้องมาขอความช่วยเหลือจากประมุขศักดิ์สิทธิ์

ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิกายเซียน เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้

เยี่ยนเสี่ยวซื่อบอกกับประมุขหลินว่า “เจ้าบอกสถานที่ข้ามา ประเดี๋ยวข้าจะไปดูด้วยตนเอง”

“ข้าจะไปกับประมุขศักดิ์สิทธิ์” ประมุขหลินบอก

“ไม่จำเป็น” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกังวลว่าจะคลุกคลีกับประมุขหลินมากเกินไป และทำให้ประมุขหลินมองออกว่านางมีพิรุธ “เจ้าบอกสถานที่ข้ามา ข้าจะไปเอง ในเมื่อคนผู้นั้นกล้าจับลูกศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นได้ชัดว่าใจกล้าไม่เบา ย่อมไม่อาจประเมินพลังของพวกเขาต่ำนัก ข้าอยู่ในตำแหน่งประมุขศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีทางปล่อยให้โจรเช่นนั้นมีโอกาสลงมือ”

ประมุขหลินคิดว่าที่นางพูดมีเหตุผล อาจารย์ปู่ปิดตัวบำเพ็ญไปแล้ว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็จะลงเขาไป เขาจึงกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของที่นี่ ถ้าหากตนไม่อยู่ และมีใครบุกขึ้นมาบนเขา ก็อาจเกิดความเสียหายใหญ่หลวงที่ไม่อาจชดใช้ได้

ที่สำคัญก็คือพวกเขาไม่รู้พละกำลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย จึงไม่อาจหละหลวมได้

ประมุขหลินบอกเยี่ยนเสี่ยวซื่อเกี่ยวกับเมืองและตำแหน่งที่เกิดเรื่องให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อฟัง พร้อมทั้งส่งคนไปแจ้งแก่ลูกศิษย์ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย

เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับห้องนอนไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสำหรับเดินทาง จากนั้นจึงฉกชิงประมุขศักดิ์สิทธิ์มาจากมือของเหล่าคุณหนูที่เต็มไปด้วยจิตใจความเป็นแม่

“เหตุใดต้องพาเขาไปด้วย” ประมุขมารปรากฏตัวด้านหลังเยี่ยนเสี่ยวซื่อตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

เยี่ยนเสี่ยวซื่อกระโดดโหยง นางหันหลังไปจ้องมอง “เจ้าเดินไม่มีเสียงเลยหรืออย่างไร”

“ข้าถามเจ้า” ประมุขมารเหลือบไปมองประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยซึ่งอยู่ในตะกร้าด้วยความรังเกียจ

เยี่ยนเสี่ยวซื่อปิดฝาตะกร้า แล้วบอกกับเขาว่า “เกิดเรื่องที่นิกายเซียน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย แต่ข้าไม่มีป้ายคำสั่งอยู่กับตัว จึงต้องไปด้วยตนเอง”

นางมีคุณสมบัติพิเศษ เข้าออกทุกอาณาเขตได้อย่างอิสระ

แน่นอนว่าด้วยพลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์สามารถเปิดอาณาเขตได้ ปัญหาก็คือ…นางควบคุมพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้น่ะสิ

เยี่ยนเสี่ยวซื่อสะพายตะกร้าใบเล็กขึ้นหลัง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เจ้าไม่ได้จะตามหาคนอยู่หรอกหรือ ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ไปตามหาคนเสียให้เต็มที่”

ประมุขมารหัวเราะร่วน “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลงเขาไปได้”

“ทำไมข้าจะลงเขาไปไม่ได้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูด นางกำลังจะผิวปากเรียกนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ แต่ทันใดนั้นก็นึกได้ว่านางไม่ใช่เยี่ยนเสี่ยวซื่ออีกต่อไป ไม่อาจนั่งพาหนะเดิมอีกต่อไป

เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองลงจากภูเขาซึ่งสูงลิบจนไม่เห็นเบื้องล่าง แล้วลอบกลืนน้ำลาย

หากเดินลงไปจากที่นี่…นางคงต้องเดินจนขาลาก…แถมเดินจนขาลากแล้วก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเดินถึงที่หมาย…

“หรือว่าเจ้าจะไปเรียนวิชาขี่กระบี่แบบเขา” ประมุขมารยืนพิงวงกบประตูด้วยท่าทางอืดอาด สองแขนกอดอก เหลือบมองประมุขหลินซึ่งกำลังขี่กระบี่จากไป

เยี่ยนเสี่ยวซื่อก้มหน้าด้วยความเศร้าสร้อย

นางทำไม่ได้

ประมุขมารพูดว่า “เกาะให้ดี”

“เกาะอะไร” เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไป นางยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งปรากฏใต้ฝ่าเท้า จากนั้นนางก็ลอยขึ้นไป

นี่ต่างจากนิสัยรักการถูกอุ้มไปไว้บนที่สูงตั้งแต่วัยเด็กของนาง ความเร็วนี้…แทบจะเทียบเท่าสายฟ้าอยู่แล้ว นางรู้สึกประหนึ่งตนเองยืนอยู่บนสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น แรงลมปะทะใบหน้าโดยไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวจนนางล้มลง

“อ๊า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อตกใจ นางเอื้อมมือกอดเอวประมุขมารตามสัญชาตญาณ

แรกเริ่มเดิมทีนางยังไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกอดเอวของบุรุษ นางเพียงกอดสิ่งที่กอดได้ แต่เมื่อกอดไปแล้วกลับรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เอวนี้ ไม่มีแม้แต่ไขมัน เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่ง

เยี่ยนเสี่ยวซื่อมีสีหน้าหลุกหลิก นางบีบเอวของเขาเล่น

ประมุขมารสะดุ้งโหยง เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า “มือไม้อย่าซน!”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “โอ้”

ลองบีบดูอีกสักหน่อย!

ประมุขมาร “…”

ประมุขหลินขี่กระบี่กลับมายังหน้าประตูสำนัก ทันที่บินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็สัมผัสได้ว่ามีเงาหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย เมื่อลองเพ่งมองดูแล้ว ก็ตกใจจนแทบหล่นลงมาจากกระบี่

บุรุษที่กำลังเกาะเอวเจ้าปีศาจจิ้งจอก ทั้งยังซุกหน้ากับอกของเขา…ไม่ใช่ประมุขศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ?

จำเป็นต้องมาพลอดรักกันถึงบนนี้เชียวรึ?

ต้องพาปีศาจจิ้งจอกไปสืบคดีด้วยหรืออย่างไร ขี่กระบี่เล่มเดียวกับเขาไม่พอ ยังกอดเอวเขาอีก!

ประมุขหลินไม่อยากมอง หากเขาทนดูต่อไปต้องรู้สึกอิจฉาเป็นแน่ เขากับภรรยาแต่งงานกันมาหลายปี ยังไม่เคยทำเช่นนี้เลย!

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องรู้เรื่องบุรุษคู่บำเพ็ญเพียรของประมุขศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่…” ประมุขหลินปิดตาด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า ทันได้นั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมดังขึ้น เขาชนกับต้นไม้เข้าเสียแล้ว

ประมุขหลิน “…”

ต้นไม้ “…”

ประมุขมารขี่กระบี่มาถึงที่โล่งซึ่งใกล้กับตำบลซงเฮ่อที่สุดแห่งหนึ่ง เส้นทางหลังจากนี้ พวกเขาต้องเดินเท้าไป นั่นไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ชื่อเสียงของประมุขศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เพราะพวกเขาต้องการสืบเรื่องราวระหว่างทางด้วย

คดีคนหายครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อคืนวาน เมื่อนับรวมกับลูกศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีผู้สูญหายไปทั้งหมดสิบเจ็ดคน คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุรุษหนุ่ม ร่างกายแข็งแรง รูปร่างหน้าตาดี ผู้สูญหายในตำบลมีทั้งผู้บำเพ็ญเพียรและชาวบ้านทั่วไป ส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับไม่สูงนัก เก่งกาจที่สุดก็คือเลี่ยนชี่ขั้นท้าย ด้วยพลังในระดับนี้ ต่อให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อไร้วรยุทธ์ ก็สามารถใช้เอาวุธวิเศษจับพวกเขาได้หลายคน

“เหตุใดเขาไม่จับผู้ที่อยู่เหนือระดับเลี่ยนชี่ขึ้นไป เขาสู้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถาม

“เขาจับแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานหรือระดับพลังเท่าไรนัก เพียงแต่คนที่ถูกจับบังเอิญว่ามีพลังไม่เกินขั้นเลี่ยนชี่ก็เท่านั้น” ประมุขมารพูด

“อย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพึมพำ

ประมุขมารเดาความจริงออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขาไปพบลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมารับเขาในสถานที่นัดหมายกันไว้ ก็ได้รับแจ้งว่าคนในตำบลหายตัวไปอีกแล้ว ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับสูงอีกด้วย

ลูกศิษย์ที่มารับพวกเขามีทั้งหมดสามคน ลูกศิษย์ซึ่งเป็นหัวหน้าก็คือศิษย์พี่จิ้งผู้ซึ่งส่งพวกเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมาบนยอดเขานั่นเอง

ศิษย์พี่จิ้งเหลือบมองบุรุษแปลกหน้าข้างกายประมุขศักดิ์สิทธิ์ด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์มี ‘คู่บำเพ็ญเพียร’ แล้ว แต่ประมุขหลินไม่รู้ว่าประมุขมารจะติดสอยห้อยตามมาด้วย จึงไม่ได้ติดต่อพวกเขาล่วงหน้า

ประมุขศักดิ์สิทธิ์มักจะไปไหนมาไหนโดยลำพัง แต่ไหนแต่ไรมาไม่ยักเคยเห็นว่าเขาจะปรากฏตัวพร้อมกับมิตรสหายคนใด ศิษย์พี่จิ้งรู้สึกสงสัยอยู่ลึกๆ ในใจ แต่เมื่อเห็นว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์มิได้แถลงไข เขาจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้

“พวกเจ้าสงสัยว่าผู้ใดทำ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม

“พวกข้าสงสัยเผ่ามารขอรับ” ศิษย์พี่จิ้งตอบ

ประมุขมารนัยน์ตากระตุกวูบ

เยี่ยนเสี่ยวซื่อลูบคางเบาๆ “มีหลักฐานหรือไม่”

ศิษย์พี่จิ้งตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กลางดึกเมื่อคืน ศิษย์น้องทั้งหลายหายตัวไปเพราะประมือกับคนผู้นั้น ศิษย์น้องที่เหลืออยู่บอกว่าคนผู้นั้นมีกลิ่นอายของมาร น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญมารขอรับ”

“ระดับพลังเล่า?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม

ศิษย์พี่จิ้งส่ายหน้า “ไม่รู้แน่ชัด อาจมีระดับพลังสูงมากจนพวกข้ามองไม่ออก หรือเขาอาจมีอาวุธวิเศษสำหรับซ่อนระดับพลัง”

“ก่อนที่บรรดาศิษย์น้องจะหายตัวไป พวกเขาไล่ตามไปถึงที่ใด”

“ที่นั่นขอรับ” ศิษย์พี่จิ้งชี้ไปยังทิวเขาซึ่งอยู่เบื้องหน้า “พวกข้าสงสัยว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรและชาวบ้านก็ถูกจับไปที่นั่น”

“เขาเซียนเฉ่าหรือ?” เขาเซียนเฉ่าเป็นชื่อที่ท่านแม่ของนางตั้งขึ้น เป็นปราการธรรมชาติทางทิศใต้ของนิกายเซียน ยามปกติมักไม่เกิดเรื่องอะไร มีเพียงยามที่ท่านพ่อและท่านพี่ออกเดินทางไปข้างนอก ก็จะสร้างอาณาเขตไว้ไม่ให้คนนอกเข้ามา

กระนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ของนางไม่อยู่ในนิกายเซียนมาหนึ่งเดือนแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าที่นี่มีอาณาเขตล้อมรอบมาโดยตลอด พวกเขาจะบุกเข้ามาได้อย่างไรกัน

“ลูกศิษย์ด้านหลังไล่ตามไป แต่ก็ถูกอาณาเขตกั้นไว้ด้านนอก” ศิษย์พี่จิ้งบอก

หมายความว่า…มีเพียงคนร้ายคนนั้นที่สามามารถข้ามอาณาเขตไปได้หรือ?

เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสงสัยใช่ไหมว่าคนนิกายเซียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

ศิษย์พี่จิ้งไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่เบื้องหน้าคุณหนูแห่งนิกายเซียน จึงอธิบายอย่างละเอียดว่า “นอกจากนิกายเซียนแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกแล้วว่ายังมีผู้ใดอีกที่มีกุญแจเปิดอาณาเขตนี้ได้”

ประมุขมารซึ่งเงียบงันอยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ยี่หระว่า “นิกายเซียนจะร่วมมือกับเผ่ามารได้อย่างไรกัน”

“เกรงว่าสหายท่านนี้คงจะไม่รู้ นิกายเซียน…” ศิษย์พี่จิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนมิได้กล่าวตัดบท จึงพูดต่อว่า “ที่จริงแล้วนิกายเซียนกับเผ่ามารล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ประมุขคนใหม่ของเผ่ามารมีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายเซียน เขาเป็นลูกที่ฮูหยินของนิกายเซียนเป็นคนเก็บมาเลี้ยง คนที่รู้ความลับนี้มีไม่มาก ขอสหายอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

ท่านแม่ข้ามีลูกเลี้ยงด้วยหรือ? ทำไมข้าไม่รู้ ไม่เคยมีใครบอกข้าเลย!

“นอกจากนั้น…” ศิษย์พี่จิ้งพูดต่อว่า “คดีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประมุขนิกายเซียนและฮูหยินออกเดินทาง และหลังจากที่คุณชายทั้งสามเก็บตัวฝึกฝนวิชา เวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน”

“เจ้าหมายความว่า…” ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านพี่ของข้าเป็นคนทำเรื่องนี้หรือ? เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขึงขังว่า “พวกเจ้านึกสงสัยนิกายซึ่งโปร่งใส่ไร้ประวัติด่างพร้อยเช่นนั้นเพียงเพราะความบังเอิญอันน้อยนิด ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่เล่า”

โปร่งใสไร้ประวัติด่างพร้อย?

ศิษย์พี่จิ้งตะลึงงัน

ประมุขศักดิ์สิทธิ์ ท่านเข้าใจคำว่าโปร่งใสไร้ประวัติด่างพร้อยผิดไปหรือเปล่า

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งดินแดนถูกปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาต้มตุ๋นไปหมดแล้ว เขาลืมไปแล้วหรืออย่างไร

………………………