มีเสียงดนตรีไพเราะดังแว่วมาจากตำหนักเสินกงที่อยู่ไกลออกไป เสียงนุ่มนวลงดงาม ฟังแล้วย่อมกล่อมจิตให้เคลิบเคลิ้ม ในยามนั้นกลิ่นอายสังหารโดยรอบก็เบาลงไม่น้อย
อู๋จือฉีหัวเราะเบาๆ มือยังคงแตะขอสมุทรเช่อไห่ไม่ขยับ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ราชันสวรรค์บารมีไม่น้อยเลย เสด็จลงมาทีก็มีองครักษ์ตามลงมาตั้งมากมาย ยังมีเสียงดนตรีขับกล่อมอีก อืม ท่วงทำนองนุ่มนวลละมุนละไม เป็นท่วงทำนองแห่งสรวงสวรรค์แท้จริง”
บรรดาเทพตรงประตูอีกฝั่งเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาและไม่เคลื่อนไหว แต่สายตามากมายก็ล้วนมองตรงมาที่พวกเขาทั้งสามคน ถูกคนมากมายจับจ้องเช่นนี้ย่อมรู้สึกไม่ดีนักอย่างแน่นอน หน้าผากเสวียนจีเริ่มมีเหงื่อซึมบางๆ กระซิบถามอู๋จือฉี “ทำอย่างไรดี จะลงมือบุกเข้าไปหรือ”
อู๋จือฉียังไม่ทันตอบ มกรก็ทนไม่ไหวคำรามขึ้นก่อน “มองกับผีอะไร! ไม่รู้จักข้า?! ข้าเป็นนักโทษ?!”
อีกฝ่ายยังคงเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พลันได้ยินเสียงนุ่มละมุนกล่าวขึ้นว่า “อู๋จือฉี ไม่เจอกันพันปี เจ้ายังสกปรกเหมือนเดิม ครั้งก่อนเจ้าสังหารเต่าดำเสวียนอู่ ดาวนักษัตรสิบแปดดวงถูกเจ้าสังหารไปเกินครึ่ง ครั้งนี้มาพร้อมกลิ่นอายสังหารอีกแล้ว คิดจะสังหารผู้ใดอีก”
ทุกคนจ้องมองไปก็เห็นผู้พูดเป็นสตรีหน้าตางดงามท่วงท่าแลดูเรียบร้อย หน้าผากมีอัญมณีราวหยดน้ำตา สองตาส่องประกายวาวราวสายน้ำ พออู๋จือฉีเห็นนางก็อุ่นวาบไปทั้งตัว อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “พี่เสือขาว ข้าสังหารผู้ใดก็ไม่อาจสังหารเจ้า”
เสือขาวเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ทำเอาทุกคนล้วนรู้สึกอบอุ่นสบายราวกับบุปผาบานสะพรั่งในพริบตา สาวงามทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
นางกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าไม่สังหารข้า ข้ากลับจะสังหารเจ้า ยังจำได้ว่าเจ้าสังหารเต่าดำเสวียนอู่อย่างไรได้ไหม ตอนเขาตายสองตายังเบิกกว้าง ครั้งนี้ข้ามาแก้แค้นแทนเขา จะหั่นเจ้าให้เป็นชิ้นๆ ปาดทิ้งมีดหนึ่ง ก็จะสาดด้วยเกลือทีหนึ่ง หมักเค็มเนื้อวานรเจ้า เจ้ายินดีไหม”
คำพูดโหดเหี้ยมสุดท้ายของนาง มกรฟังจนหนาวขนสันหลังลุก เสือขาวได้ชื่อว่าสาวงามอันดับหนึ่งแดนสวรรค์ ปกติก็มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่ค่อยได้เห็นนางพูดจาเช่นนี้นัก อยู่ๆ มกรก็นึกถึงเต่าดำเสวียนอู่กับเสือขาว ทั้งสองคนราวพี่น้อง เต่าดำเสวียนอู่ถูกอู๋จือฉีสังหาร เสือขาวย่อมต้องแค้นใจ ครั้งนี้คงตั้งใจจะมาแก้แค้นแทนพี่เต่าดำ
เอ่ยถึงคำว่าแก้แค้น มกรก็เหงื่อเย็นหลั่งท่วมกาย มองไปยังสหายร่วมสวรรค์ตรงหน้ามากมาย แต่ละคนมองมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ดูท่าคงเป็นดังที่อู๋จือฉีว่า ต้องเล่นใหญ่แล้ว ในจำนวนตรงหน้านี้มีบางคนมีสหายถูกสังหาร มีบางคนเคยเป็นคนที่เคยพ่ายให้กับอู๋จือฉี ไม่เจอกันพันปี ได้เวลาคิดบัญชีนี้ให้กระจ่างแล้ว
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างลำบากใจมาก
หากลงมือกันจริงๆ เขาจะร่วมลงมือด้วยไหม เขาจะช่วยฝ่ายไหน เขาไม่อาจนั่งมองดูอู๋จือฉีถูกฆ่าตายไปเฉยๆ ได้ แต่ก็ไม่อาจนั่งมองดูสหายร่วมสวรรค์ถูกอู๋จือฉีกับเสวียนจีฆ่าตายได้ เขาจะทำเช่นไรดี
อู๋จือฉีไม่ได้นำพาวาจาโหดเหี้ยมของเสือขาวมาใส่ใจ ยิ้มร่ากล่าวว่า “พี่สาวคนงามมาปาดเนื้อข้าด้วยตนเอง ข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร หวังแค่พี่สาวค่อยๆ ปาด อย่าปาดเร็วไป จะได้ให้ข้าอยู่กับพี่สาวใกล้ชิดนานๆ อีกสักครู่หนึ่ง”
หากจิ้งจอกม่วงยังมีชีวิต มาเห็นเขาเย้าแหย่สตรีอื่นเช่นนี้ เกรงว่าก็คงได้โมโหตายไปอีกรอบ นับประสาอันใดกับการชมชอบสาวงามเป็นวิสัยติดตัวอู๋จือฉี แม้ราชันสวรรค์จะมา เขาก็คงเป็นเหมือนเดิม
เสือขาวได้แต่ยิ้มไม่ตอบอันใดอีก ข้างๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงดังราวฆ้องปากแตก “เจ้าวานร! เจ้าป่าเถื่อนจนมาถึงเขาคุนหลุนได้! เจ้าชอบถูกปาดเนื้อ ดีเลย! เดี๋ยวข้าจะเอาเนื้อเจ้ามาฉีกแกล้มสุรา!”
อู๋จือฉีได้ยินเสียงก็ปวดหัว ฝืนทำใจหรี่ตามองไป เห็นมังกรเขียวสกปรกเน่าเหม็นในความทรงจำ เบื้องหน้าเป็นสาวงามชุดเขียวร่างอรชรเย้ายวน น่าเสียดายที่สองตาถลึงจ้องมองมาอย่างแข็งกร้าวทำลายภาพงามเสียหมด
อู๋จือฉีพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิ่วอี้ฮวนจึงหลงรักมังกรเขียวทันทีที่แรกพบ อืม นางอาบน้ำสะอาดแล้วก็นับเป็นสาวงามได้ น่าเสียดายที่เคยมีภาพประทับใจแรกย่ำแย่ แม้นางเปลี่ยนร่างสวยได้เหมือนเสือขาว เขาก็ไม่สนใจสักนิด เพียงยิ้มกล่าวว่า “เกรงว่าเนื้อวานรจะขมไป เจ้ากินไม่ลง”
“กินได้หรือไม่ ข้าเป็นคนตัดสิน!” มังกรเขียวตวาดดัง เงาร่างราวกับภูตผี พริบตาก็มาโผล่ตรงหน้า เทพเซียนด้านหลังรีบตะโกนเรียก “มังกรเขียว ไม่ได้!” ทันทีที่เรียกออกไป ร่างสีเขียวของนางก็ไปอยู่หน้าอู๋จือฉีแล้ว กางกรงเล็บข่วนไปที่ใบหน้าเขาแล้ว
อู๋จือฉีถอยหลังสบายๆ ยิ้มกล่าวว่า “โอยโย! ไม่โดน!”
ผู้ใดจะคิดว่าร่างนางสะบัดเล็กน้อย หมอกเขียวกระจายออกอ้อมไปด้านหลังเขาทันที อยู่ๆ ก็เจ็บปลาบ กรงเล็บนางพลันก็ปรากฏขึ้นจะตะปบเขาไว้ ความสามารถมังกรเขียวทำเอาใครก็ต้องปวดหัว นางพรางตัวได้ ไม่รู้แอบหลบไปไหน ไม่ทันระวังก็มาอย่างฉับพลัน ครั้งก่อนดวงตาสวรรค์หลิ่วอี้ฮวนก็ถูกนางควักไปเฉยๆ เช่นนี้
อู๋จือฉีหลบหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าเป้าหมายนางไม่ใช่ตะปบเขา หากต้องการเกี่ยวขอสมุทรเช่อไห่ ขอสมุทรเช่อไห่ถูกกรงเล็บเกี่ยวลอยขึ้น ในใจอู๋จือฉีสะดุ้งสุดตัว รีบเข้ายื้อขอสมุทรเช่อไห่ไว้แน่น ได้ยินเสียงลมข้างหู หางมังกรนางสะบัดมาฟาดลงไปด้านข้างศีรษะเขาทีหนึ่ง แต่ฟาดได้แต่ความว่างเปล่า ดีที่ยังแย่งขอสมุทรเช่อไห่คืนมาได้
เขายิ้มกล่าวว่า “ของสิ่งนี้ข้าไว้คืนเองจึงจะเรียกว่าจริงใจ ปล่อยพวกเจ้าแย่งไป ไม่ใช่ว่าเสียหน้าหรอกหรือ!”
กรงเล็บมังกรเขียวโจมตีมาด้านหลัง เขาสะอึกกายไปด้านหน้ายิ้มกล่าวว่า “มุกเดิมนะ! ใบหน้าข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าตะปบเป็นรอยอีกหรอกนะ!” ที่แท้รอยแผลบนใบหน้าเขาก็คือรอยที่ตอนนั้นถูกมังกรเขียวตะปบ มังกรเขียวผู้นี้เจ้าเล่ห์ชั่วร้าย มักชอบแอบลอบโจมตี แอบลอบหลบอยู่ด้านหลังคอยเล่นแผนชั่วร้ายอย่างไม่ให้ตั้งตัว พอคนเขาหลบการโจมตีด้านหน้า นางก็จะมาทางด้านหลังใช้กรงเล็บตะปบ แปดเก้าส่วนก็ย่อมตะปบฉีกโดนจนได้เลือด อู๋จือฉีนับว่าระวังตัวว่องไวแล้ว จุดสำคัญหลบมาได้ แต่ก็ถูกนางตะปบใบหน้า ลูกตายังอยู่ แต่บาดแผลยากเลี่ยง
ยามนี้เขารู้ว่าหากตนเองหลบด้านหน้า ก็ย่อมมีกรงเล็บตามมาด้านหลังอีก จึงได้สะบัดขอสมุทรเช่อไห่เบาๆ ปกป้องด้านหน้า ไหนเลยจะรู้ว่าอยู่ๆ ด้านหลังรู้สึกเจ็บปลาบราวกับถูกฉีกขาด มังกรเขียวเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ไม่ได้มารอตรงหน้า หากตะปบแผ่นหลังเขาแน่น ฉีกหนังออกมาชิ้นหนึ่ง อู๋จือฉีแม้จะเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่เพียงใดก็ย่อมเจ็บปวดจนสีหน้าแปรเปลี่ยน
ไม่ว่ารับมือคู่ต่อสู้ร้ายกาจอย่างไรก็ไม่เคยไร้หนทางรับมือเช่นนี้ มองไม่เห็นร่างศัตรู นี่คือปัญหาที่ใหญ่สุด อู๋จือฉีกุมบาดแผลไว้ รีบถอยหลัง แต่มังกรเขียวก็ยังตามมาติดๆ กรงเล็บดุจภูตผีปีศาจ พลันร่างเขาถูกตะปบไปอีกหลายรอย
มกรกระทืบเท้าร้อนใจ แทบอยากจะพุ่งออกไปช่วย แต่เขาเองก็เข้าใจ ทันทีที่ลงมือกับมังกรเขียว ตนเองก็จะกลายเป็นพรรคพวกกบฏทันที อย่าได้คิดอยู่แดนสวรรค์ต่ออีกเลย
ขณะกำลังลังเลอยู่นั้นเอง พลันเห็นเสวียนจีปลดถุงน้ำลงจากเอว โยนยาลูกกลอนสองเม็ดลงไปเขย่าไปมา เขาร้อนใจตะโกนดัง “นังหญิงหน้าเหม็น! ยามนี้จะมามัวกินยาอะไรอีก! กินให้ตายไปเลย!”
วาจายังไม่ทันจบก็เห็นนางยกมือสาดน้ำในถุงน้ำออกไปเสียง ซ่า ดัง ราดลงบนช่วงเอวมังกรเขียว ยานั่นไม่รู้ปรุงจากอะไร สีน้ำคร่ำดำไปหมด ดำเปื้อนร่างมังกรเขียว นางไม่อาจเร้นกายได้อีกแล้ว นางหดหางคิดหนี อู๋จือฉีได้โอกาสฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือลงเข้ากลางเงาร่างดำ กลางท้องฟ้าได้ยินเสียงนางแผดร้องเสียงดัง เงาร่างเขียวโงนเงนก่อนที่ร่างอรชรร่างหนึ่งจะร่วงลงพื้น
อู๋จือฉีกำลังจะเข้าไปจับตัวนางมาเป็นตัวประกัน ก็พลันรู้สึกข้างหน้ามีอะไรผิดปกติ หมอกสีแดงปกคลุมขยายวงมาอย่างรวดเร็ว ใจเขารู้ดีว่าเป็นหงส์แดงจูเชวี่ยลงมือแล้ว ไม่กล้าปะทะด้วย ได้แต่สะอึกกายถอยหลบ หมอกโลหิตแหวกออกเป็นช่องทางดึงมังกรเขียวกลับเข้าไป ก่อนจะไปรวมหน้าประตูไคหมิงนิ่งไม่ขยับ
หมอกโลหิตมีอานุภาพทำให้เน่าเฟะได้อย่างร้ายกาจ แม้เหล็กไหลแทงเข้าไปก็ย่อมหลอมละลายในพริบตา เมื่อก่อนทุกคนก็ได้เห็นความร้ายกาจนั้นด้วยตาตนเอง ผู้ใดก็ไม่กล้าวู่วามเข้าปะทะ ได้แต่จ้องมองกันอยู่หน้าประตู มกรยังคงร้อนใจกระทืบเท้าไปมา ทั้งสามมีแค่เขาคนเดียวที่ยังโลดเต้นไปมาได้มากที่สุด เสวียนจีรู้ว่าเขาเองก็ลำบากใจ จึงกล่าวว่า “เจ้าอย่าลงมือ ดูเฉยๆ ก็พอ กลับไปหากราชันสวรรค์คิดเอาโทษ ก็บอกว่าข้าบังคับเจ้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
มกรคิดไม่ถึงว่านางจะกล่าวเช่นนี้ ก็อดตะลึงไปไม่ได้ อู๋จือฉีฉีกเสื้อออกมาพันแผลไว้ เจ็บจนขมวดคิ้วมุ่น หากปากยังยิ้มกล่าวว่า “ใช่สิ ผู้ใดให้เจ้าเป็นสัตว์เทพแดนสวรรค์ คิดว่าก็คงมีเรื่องลำบากใจมากมาย การต่อยตีตรงนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
มกรอัดอั้นเป็นนาน อยู่ๆ ก็โมโหกล่าวว่า “อะไรเรียกว่าไม่เกี่ยวกับข้า! อย่ามาดูถูกข้านะ! มารดามันสิ สู้ก็สู้! ผู้ใดกลัวกันผู้ใด! อย่างมากก็ตายด้วยกัน!”
อู๋จือฉีแหย่เขา “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง เจ้าเป็นสัตว์เทพมีอนาคต มาก่อกบฏกับพวกเรา อาจทำให้เจ้าเสียเวลา รีบกลับไปสู่เส้นทางถูกต้องของเจ้าเถอะ”
ดังคาด มกรทนเย้าแหย่ไม่ไหว หน้าตาแดงก่ำ ตวาดเสียงเข้มดัง “เจ้าดูแคลนข้า?!”
เสวียนจีพันแผลให้อู๋จือฉีแน่น ป้องกันไม่ให้ฉีกขาดอีก ก่อนจะกล่าวว่า “มกร เรื่องนี้เจ้าลำบากใจ พวกเราต่างเข้าใจดี เจ้าอย่าลงมือเลย ลงมือกับสหายร่วมสวรรค์ ในใจคงยากทนรับได้”
มกรกัดปากแน่นไม่กล่าวอันใด สุดท้ายก็ยังคงเอาแต่ใจ ตัดสินใจกล่าวว่า “เอาละ! ตายแล้วก็จบเรื่อง! ร่วมกันก็แล้วกัน!”
มกรก็มีข้อดีของมกร แต่ไรมาเขาไม่คิดวุ่นวายให้ตนเองตกในสภาวะลำบากทั้งสองทาง และหากตัดสินใจแล้วก็จะไม่หันกลับไปอีก พอตัดสินใจช่วยฝ่ายเสวียนจี ทั้งร่างอยู่ๆ พลันรู้สึกสบายตัวขึ้น นั่งยองลงกล่าวว่า “หมอกโลหิตนี่ดูแล้วงดงามไร้ที่ติ จริงๆ แล้วมีช่องโหว่มาก เอาลมพัดหน่อยก็หมดแล้ว หากยังไม่ได้ ข้าใช้ไฟเผา เผามันสามวันสามคืน ไม่เชื่อว่าไม่สลาย!”
อู๋จือฉีส่ายหน้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รีบ…โอย กรงเล็บนังเหม็นนั่นร้ายกาจจริง ตะปบข้าเสียเจ็บปางตาย! ข้าถามหน่อย เมื่อครู่เจ้าราดอะไรใส่นาง”
เสวียนจีควักเอายาลูกกลอนสีดำเมี่ยมราวหมึกออกมาอีกสองสามเม็ด ยิ้มกล่าวว่า “เจ้านี่อย่างไร ยาเม็ดลูกกลอนสำนักเส้าหยางปรุงเอง เป็นยาถ่าย ท้องไส้ไม่ดีกินมันได้ผลดีมาก ปกติพวกเรากลืนทั้งเม็ด หากโดนน้ำจะเป็นหมึกดำสีสันน่าเกลียด กลิ่นก็เหม็นมาก อยู่ๆ ข้าก็นึกได้ นางแค่เร้นกาย ย่อมไม่ใช่ว่าหายวับโปร่งแสง แค่พวกเรามองไม่เห็นนางเท่านั้น ใช้สีสาดไปก็ปรากฏร่างแล้วไม่ใช่หรือ”
แม้ว่าอู๋จือฉีปวดจนกัดฟันกรอด แต่พอได้ยินก็อดยกนิ้วชื่นชมไม่ได้ กล่าวว่า “ร้ายกาจ! ที่แท้เจ้าก็ฉลาดไม่เบา ข้ายังคิดว่าพอเจ้ามาเวียนว่ายแล้วกลายเป็นสมองทื่อไปแล้วเสียอีก!”
ขณะที่พูดกันอยู่นั้น เสียงดนตรีจากตำหนักเสินกงยังคงบรรเลงไม่หยุด เสียงขับกล่อมผ่อนคลาย ไพเราะจับใจ อู๋จือฉีถอนใจกล่าวว่า “ราชันสวรรค์กำลังรื่นรมย์อยู่ที่นี่ พวกเรากลับต้องมาตกระกำลำบากอเนจอนาถกันเช่นนี้”
ฉับพลันนั้นเอง โทนเสียงเพลงก็โดดขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศกสลดใจ ทุกคนพากันอึ้งไป รู้สึกเพียงแค่เสียงระฆังราว[1]นั่นเคาะลงบนจิตใจ เสียงพิณโบราณดังแว่วระทึก ล้วนเป็นเสียงจื่อลากยาวบรรเลงทำนองเศร้ากำสรวล ทำเอาหลายคนแทบหลั่งน้ำตา
อู๋จือฉีพึมพำกล่าวว่า “เสียงจื่อกำสรวลลากยาวเป็นท่วงทำนองสังหาร บรรเลงดุเดือดเช่นนี้ เกรงว่าขึ้นไม่ถึงเสียงอี่[2]ก็คงระเบิดปะทุแล้ว! ไม่มงคลแล้ว”
กล่าวจบก็หันไปมองหมอกโลหิตนั่น สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยกล่าวว่า “ไม่ได้การ เสียงสังหารดังคาด!”
หมอกโลหิตกองนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ไล่โจมตีมาทางหน้าผาที่พวกเขาอยู่ หากพวกเขาไม่ลงมือตอนนี้ จุดจบมีแค่สองอย่าง หนึ่ง โดดหน้าผา สอง ถูกหมอกโลหิตรมเน่ากลายเป็นกองเลือด
อู๋จือฉีกัดฟันลุกขึ้น กระชับขอสมุทรเช่อไห่ไว้แน่น ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ
เขาสะบัดใส่ประตูไคหมิงทีเดียวก็คงแทบแตกละเอียด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาเทพด้านหลังประตู แม้ย่อมทำลายหมอกโลหิตได้ แต่นั่นเท่ากับเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ คงได้เป็นปรปักษ์กับแดนสวรรค์แท้จริงแล้ว เสวียนจีต้องการเข้าเฝ้าราชันสวรรค์เพื่อเจรจาดีๆ ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน ผิดหรือถูก สำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นกับเกี่ยวนี้ของขอสมุทรเช่อไห่แล้ว
พอเห็นหมอกโลหิตคืบคลานเข้ามาห่างจากพวกเขาไม่ถึงหนึ่งจั้ง อู๋จือฉีก็กัดฟัน ยกมือสะบัดขอสมุทรเช่อไห่ แค่สะบัดคิดฟาดออกไปก็ทำเอาสะเทือนฟ้าดินแล้ว
แต่พลันมีคนคว้าข้อมือเขาไว้ พอหันกลับไปมอง เสวียนจีค่อยๆ ส่ายหน้าให้เขา
นางก้าวเข้ามาส่งเสียงดังกังวานกล่าวว่า “ข้าคือฉู่เสวียนจี! ขอเข้าเฝ้าราชันสวรรค์! ไม่ได้มีใจคิดกบฏเด็ดขาด ขอทรงเมตตา!”
หมอกโลหิตยังคงคืบคลานเข้ามา ไม่มีเสียงตอบรับ ในตำหนักเสินกงยังคงแว่วเสียงกำสรวลสลด ราวกับเมฆหมอกกระจัดกระจายเข้ามา กำลังจะกลืนกินพวกเขาทั้งสาม
[1] เครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทเคาะ ใช้ระฆังใบเล็กแขวนเรียงกันเคาะเป็นเสียงดนตรี
[2] โน้ตจื่อและโน้ตอี่เทียบได้กับตัวโน้ตเสียงซอลและลาตามลำดับ