บทที่ 307.2 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม ProjectZyphon
คดีที่ว่านี้น่าตกใจเกินไป ถึงขั้นลอยไปเข้าพระกรรณของฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน จึงออกคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผลคือพระสงฆ์สามร้อยรูปของวัดป๋ายเหอถูกจับขังคุกเกินครึ่ง คนที่เหลือถูกขับออกจากเมืองหลวง ถูกขีดชื่อออกจากเอกสารผ่านทาง ชั่วชีวิตนี้เป็นพระไม่ได้อีก
สามวัดที่เหลือยังคงมีสถานะสูงส่ง ถึงอย่างไรรากฐานของพวกเขาก็ลึกล้ำแน่นหนา แต่เดือดร้อนไปถึงวัดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นวัดซินเซียงข้างตรอกจ้วงหยวนที่ช่วงนี้ผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปไหว้พระลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าอาวาสของวัดซินเซียงคือภิกษุเฒ่าท่านหนึ่งที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่น หน้าตาใจดีมีเมตตา ร่างสูงใหญ่ เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สามสิบปี แต่สำเนียงบ้านเกิดของภิกษุเฒ่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่ชอบพูดเรื่องความลึกล้ำอัศจรรย์ของพระธรรมกับคนอื่น ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยกับเหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลต่างๆ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทุกครั้งที่ไปนั่งเล่นอยู่ในวัด เฉินผิงอันต้องเปลืองแรงมากกว่าจะฟังที่อีกฝ่ายพูดเข้าใจ สำหรับภิกษุเฒ่าผู้นี้ เฉินผิงอันมีความประทับใจที่ดีมาก อีกอย่างถึงแม้จะรู้ความพิเศษของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา เจ้าอาวาสเฒ่าคือผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง
เฉินผิงอันออกจากตรอกไปที่วัดซินเซียง กะว่าจะไปนั่งเงียบๆ ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ที่นั่น
แต่ระยะทางสองลี้นี้เฉินผิงอันต้องเดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัย โดยเฉพาะด้านในกำแพงสูงของศูนย์ฝึกยุทธ์ที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาสูงลำธารกว้างใหญ่’ ที่ทุกครั้งที่เดินผ่านจะต้องมีเสียงร้องหึฮ่าของชายฉกรรจ์ น่าจะกำลังฝึกวิชาหมัดกันอยู่ ถนนใหญ่นอกหน่วยคุ้มกันภัยมักจะมีภาพที่รถคุ้มกันภัยจอดเบียดเสียด ชายหนุ่มหญิงสาวล้วนมีท่าทางหยิ่งยโส เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮึกเหิม แต่พวกผู้เฒ่ากลับเงียบขรึมกว่าเยอะมาก บางครั้งที่เห็นเฉินผิงอันก็จะผงกศีรษะให้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังกุมมือคารวะกลับคืน ภายหลังเมื่อพบหน้ากันก็เป็นฝ่ายคารวะทักทายก่อน คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าก็พากันหมดความสนใจ ไม่คิดจะชายตาแลเฉินผิงอันเลยด้วยซ้ำ
รอจนภายหลังที่เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของการกระทำนี้ก็ถึงกับหลุดหัวเราะขำ
น่าจะเป็นเพราะตอนแรกเห็นตนเป็นดั่งมังกรข้ามแม่น้ำ ภายหลังตรวจสอบจนรู้ที่พักของตนอย่างชัดเจนจึงดูถูกตน และมารยาทที่ ‘เกรงใจ’ มากเกินไปของตนก็ยิ่งทำให้เหล่าคนเก่าคนแก่ในยุทธภพของหน่วยคุ้มกันภัยคิดว่าตนเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้
เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัยค่อนข้างเยอะ พรรคต่างๆ ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงมักจะชอบมาตั้งสำนักอยู่ที่นี่ ประตูสูงเรือนกว้างใหญ่ไม่แพ้จวนของเหล่ากงโหวทั้งหลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะข้ามเส้นกฎระเบียบที่ตั้งไว้ หันมามองด้านที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณกลับมีน้อยมาก แม้แต่ราชครูก็ยังเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่ง
แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือบุคคลที่อยู่ในเรือนไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง ชายหญิงที่เดินเข้าออกๆ ล้วนเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์ เป็นผู้ฝึกวิชาการต่อสู้ แต่กลับจงใจปิดบังตัวตน สวมชุดเรียบง่าย ไม่ค่อยชอบพูดคุยหัวเราะ มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันยังเคยเห็นยอดฝีมือที่วิถีวรยุทธ์อาจอยู่ในขอบเขตหกคนหนึ่ง ข้างกายมีหญิงสาวสวมหมวกคลุมหน้าจึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่ารูปร่างอ้อนแอ้น น่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่ง
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เริ่มใช้สายตาอีกแบบหนึ่งมองโลกใบนี้
มาถึงวัดซินเซียง ทุกวันนี้ผู้แสวงบุญที่มาวัดบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อายุมากหน่อย ดังนั้นพระและเณรในวัดจึงพากันหน้านิ่วคิ้วขมวด
การที่ช่วงนี้เฉินผิงอันมาเยือนบ่อยๆ สาเหตุหลักก็เพราะสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของเจ้าอาวาสเฒ่ากำลังจะมาถึง
วันนี้ภิกษุเฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันจะมาจึงมารออยู่ตรงระเบียงทางเดินของตำหนักข้างแห่งหนึ่งนานแล้ว
เขาวางเบาะรองนั่งทรงกลมไว้สองใบ คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ภิกษุเฒ่าจึงพูดยิ้มๆ เข้าประเด็นว่า “ในบรรดาเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นของวัดป๋ายเหอเคยมีร่างทองปรากฏขึ้นจริง ไม่ได้มีแต่คนหลอกลวงอย่างที่ภายนอกเล่าลือกัน อย่าได้ทุบตีประวัติศาสตร์นับพันปีของวัดป๋ายเหอให้แหลกสลายด้วยกระบองเดียว”
เคยเห็นสิ่งที่ดีงามมาแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่าเคยเห็นสิ่งที่เลวร้ายมาก่อน
ภิกษุเฒ่าพูดยิ้มๆ อีกว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาตมาตายไป เดิมทีคิดจะทิ้งพระธาตุเอาไว้หลายก้อนหน่อย เพื่อเป็นการเพิ่มควันธูปให้แก่วัดแห่งนี้ แต่ตอนนี้ดูท่าคงยากแล้ว เกรงว่าคงต้องจงใจปิดบังเอาไว้สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “นี่ก็ถือเป็นผลกรรมของศาสนาพุทธด้วยหรือไม่?”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับ “ย่อมใช่อยู่แล้ว หากเอามาวางไว้ในเมืองแคว้นหนันเยวี่ยน วัดป๋ายเหอและวัดซินเซียงไม่เคยไปมาหาสู่กัน มองดูเหมือนผลกรรมเลือนราง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะหากเอาไปวางไว้ในพระธรรม ฟ้าดินกว้างใหญ่ล้วนมีเส้นใยเชื่อมโยงถึงกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ภิกษุเฒ่าพูดคำว่า ‘พระธรรม’ ต่อหน้าเฉินผิงอัน
ภิกษุเฒ่าลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงระหว่างวัดทั้งสองแห่งก็มีผลกรรม เพียงแต่เบาบางเกินไป เล็ก…เกินไป อาตมาไม่มีความมั่นใจที่จะพูดมันออกมา คงต้องให้ประสกสัมผัสด้วยตัวเอง”
คนทั้งสองพูดคุยกัน คำพูดและการกระทำไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบไปเสียทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่ามักจะถูกเณรน้อยขัดจังหวะบ่อยๆ หันไปคุยเรื่องจิปาถะยิบย่อยในวัดกับเณรน้อยแล้วลืมเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเองก็มักจะเอาแผ่นไม้ไผ่มาสลักตัวอักษร หรือไม่ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่านโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเพิกเฉย
วันนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอาหนังสือมาด้วย แค่พกแผ่นไม้ไผ่เล็กบางมาแผ่นหนึ่งและมีดแกะสลักเล็กๆ หนึ่งเล่ม
เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ได้ใหม่แล้วลืมเก่า มีดแกะสลักจึงยังคงเป็นมีดเล่มที่เจ้าของร้านแถมให้ตอนที่ซื้อแผ่นหยก
วันนี้ภิกษุเฒ่าดูไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นมากนัก เรื่องที่เกี่ยวกับพระธรรมเขาแค่เอ่ยผ่านๆ เหมือนกบกระโดดบนผิวน้ำ แล้วก็ไม่พูดถึงอีก ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยเหมือนที่เคยทำ พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด จักรพรรดิ ราชา แม่ทัพ เสนาบดี พ่อค้า ทหารเดินเท้า เมธีร้อยสำนัก ล้วนพูดถึงอย่างละนิดอย่างละหน่อย เหมือนพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป
ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “นักเขียนหรือขุนนางที่การกระทำชั่วช้า ชื่อเสียงฉาวโฉ่เนิ่นนานนับหมื่นปี จะสามารถเขียนตัวอักษรที่งดงาม เขียนบทกวีที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้”
“ปัญญาชนผู้มีชื่อเสียง แม่ทัพผู้โด่งดังที่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ จะมีความเห็นแก่ตัวและข้อบกพร่องที่พวกเขาไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้หรือไม่?”
“มี”
ภิกษุเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก เหตุใดการชิงดีชิงเด่นกันของแต่ละพรรคในราชสำนัก หรือที่คนรุ่นหลังอาจมองว่าเป็นการชิงดีชิงเด่นระหว่างปัญญาชน ถึงได้ทิ้งหายนะไว้อย่างยาวนาน นั่นก็เป็นเพราะว่าเหล่านักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลายล้วนทำไม่ถูกในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”
ภิกษุเฒ่ากล่าวต่อ “แต่การแข่งขันในราชสำนัก หากเจ้าอ่อนแอ ยกเหตุผลยิ่งใหญ่มาพูด ก็อาจต้องตายอย่างอนาถ แบบนี้คงโทษพวกปัญญาชนที่เข้าไปเป็นขุนนางเหลานั้นไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะพูดได้ใช่ไหมว่า คำพูดที่อ้อมเป็นวงใหญ่นี้ของอาตมาล้วนเปล่าประโยชน์? แล้วทำไมยังต้องพูด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเคยพูดถึงหลักการคล้ายคลึงกันนี้กับข้า เขาสอนข้าว่าทุกเรื่องต้องคิดให้มาก ต่อให้คิดอ้อมไปเป็นวงใหญ่ วนกลับมาที่จุดเดิม แม้จะเปลืองแรงกายแรงใจ แต่หากมองในระยะยาวก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับอย่างชื่นชม “อาจารย์ท่านนี้มีความรู้ยิ่งใหญ่”
เฉินผิงอันชี้ไปยังแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กสีเขียวสดปลั่งแผ่นนั้น กล่าวเบาๆ ว่า “มีครั้งหนึ่งอาจารย์ผู้เฒ่าดื่มเหล้าจนเมามาย สายตาปรือปรอย มองดูเหมือนกำลังถามข้า แต่อันที่จริงน่าจะกำลังถามทุกคนกระมัง เขาพูดว่า ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”
ภิกษุเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์ท่านนี้คงไม่ได้มีชีวิตที่ผ่อนคลายเป็นแน่”
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จึงถามอย่างใคร่รู้ “ลัทธิพุทธสนับสนุนเรื่อง ‘วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที’ จริงๆ หรือ?”
ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “ก่อนจะตอบ อาตมาขอถามก่อนเรื่องหนึ่ง ประสกรู้สึกใช่หรือไม่ว่าประโยคนี้น่าตกใจ แต่ก็ทั้งเป็นการบุกเบิกความคิดใหม่ ทว่าพอใคร่ครวญดูแล้วกลับรู้สึกว่าการเดินทางลัดไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง?”
เฉินผิงอันเกาหัว “ขนาดพระธรรมทั่วไปข้ายังไม่เคยอ่านมาก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่”
ภิกษุเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที คนบนโลกมองเห็นแค่ทางลัดที่น่าเหลือเชื่อ แต่ไม่รู้ว่าความลี้ลับแท้จริงนั้นอยู่ที่การเห็นแจ้งว่า ‘มีดอยู่ในมือข้า’ คือการ ‘รู้ถึงความชั่วร้าย’ บนโลกมีคนสารพัดรูปแบบ หลายคนกระทำความชั่วโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความชั่ว หลายคนรู้ว่าเป็นความชั่วแต่ก็ยังกระทำ จะว่าไปแล้วในมือทุกคนล้วนมีมีดที่โชกเลือดอยู่เล่มหนึ่งทั้งนั้น แค่แตกต่างกันที่มันหนักหรือเบาเท่านั้น หากสามารถวางลงได้อย่างแท้จริง กลับตัวกลับใจเสียตั้งแต่นี้ไป นั่นก็ไม่ใช่การทำความดีอย่างหนึ่งหรอกหรือ?”
ภิกษุเฒ่าพูดเรื่องที่ห่างไกลไปอีก “วิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของนิกายฉาน (นิกายเซน) คนนอกยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาด แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เพราะคนทั่วไปไม่เคยมองเห็นงานที่ยากลำบากก่อนการตีตวาดเพื่อให้บรรลุธรรม หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยินดีทำก็เท่านั้น เป็นพุทธะยากหรือไม่? ต้องยากอยู่แล้ว การรู้พระธรรมคือความยากอย่างที่หนึ่ง การพิทักษ์ ปกป้องและถ่ายทอดพระธรรมก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ว่า…”
อยู่ดีๆ ภิกษุเฒ่าก็หยุดพูด เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ไม่มี ‘แต่ว่า’ แล้ว ในเมื่ออาตมาคือคนที่แสวงหาพระพุทธ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ เหตุใดยังต้องยกหลักการห่างไกลขนาดนั้นมาพูดกับเจ้าด้วย?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เชิญท่านพูดได้ตามสบาย ต่อให้หลักการห่างไกลแค่ไหน ยังไม่ต้องพูดว่าข้าจะไปหรือไม่ แต่การที่ข้าได้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ถือเป็นเรื่องดี”
ภิกษุเฒ่าโบกมือ “อาตมาต้องพักสักครู่ ดื่มชาให้ลำคอชุ่มชื้นสักหน่อย คอแห้งจนควันจะขึ้นแล้ว”
ภิกษุเฒ่าตะโกนเรียกหนึ่งคำ ในกุฏิแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลมีสามเณรน้อยที่มองดูเหมือนกำลังก้มหน้าอ่านคัมภีร์ แต่แท้จริงแล้วกลับงีบหลับ เขาพลันลืมตาโพลง พอได้ยินคำพูดของภิกษุเฒ่าก็รีบไปยกชาสองถ้วยมาให้เจ้าอาวาสและแขก
ห่างออกไปไม่ไกลมีต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า ใบเป็นพุ่มดกหนา เงาไม้ครึ้มร่มรื่น นกขมิ้นน้อยตัวหนึ่งก้มหน้าจิกอยู่บนกิ่งไม้
เฉินผิงอันดื่มชาเร็ว ภิกษุเฒ่าดื่มชาช้า
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นถ้วยชาส่งให้เณรน้อย ภิกษุเฒ่าดื่มชายังไม่ทันถึงครึ่งถ้วย เฉินผิงอันก็ก้มหน้าหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นขึ้นมา ปลายสองฝั่งซ้ายขวาต่างก็มีร่องรอยเส้นหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น
เฉินผิงอันมองทั้งสองปลายฝั่ง
แผ่นไม้ไผ่เหมือนไม้บรรทัดขนาดเล็กอันหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าดื่มชาหมดก็หันหน้าออกไปมอง แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาโลกมนุษย์ ยากนักที่โลกจะสงบร่มเย็นได้ จึงพูดอย่างสะท้อนใจแบบไม่ประติดประต่อว่า
“ช่วงยุคธรรมปลาย คนในใต้หล้าประหนึ่งต้นหญ้าในอากาศแห้งแล้งที่ล้วนแห้งเหี่ยวไร้ความชุ่มชื่น”
“เหตุผล ยังต้องพูดถึง”
“พระธรรมคือเหตุผลของพระภิกษุสงฆ์ มารยาทพิธีการก็คือเหตุผลของศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มรรคกถาคือเหตุผลของนักพรตเต๋า อันที่จริงล้วนไม่มีสิ่งใดเลวร้าย แล้วเหตุใดต้องยึดติดอยู่กับฝ่ายของตัวเอง หากถูกต้องก็หยิบมา เอามากลืนลงท้องฝ่ายของตัวเอง”
เส้นสายตาของเฉินผิงอันย้ายออกจากบนแผ่นไม้ไผ่ เขาเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
ภิกษุเฒ่ามองไปยังลานวัดนอกราวระเบียง “โลกใบนี้ติดค้างคนดีอยู่ตลอดเวลา ถูกๆ ผิดๆ จะหายไปได้อย่างไร? เพียงแค่พวกเราไม่ยินดีใคร่ครวญให้ลึกซึ้งเท่านั้น ปากพูดว่าไม่ต้องพูดถึงก็ได้ หรืออาจถึงขั้นจงใจกลับดำเป็นขาว แต่ในใจย่อมต้องรู้ดี น่าเสียดายก็แต่บนโลกมีความจนใจอยู่มากมาย คนฉลาดมีมากขึ้นทุกขณะ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องกลอุบายมีมากดุจดอกบัว แล้วก็มักจะชอบเย้ยหยันคนซื่อ ปฏิเสธความหวังดีที่บริสุทธิ์ใจ รังเกียจจิตใจที่ซื่อสัตย์ของคนอื่น”
“เฉินผิงอัน เจ้าปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างไร โลกก็จะปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น”
แล้วภิกษุเฒ่าก็พูดซ้ำอีกรอบอย่างเกินความจำเป็น “เจ้ามองมัน มันเองก็กำลังมองเจ้าอยู่”
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่กลับไม่ได้คิดลึก
วันนี้ภิกษุเฒ่าพูดค่อนข้างเยอะ อีกทั้งเฉินผิงอันก็เป็นคนที่ยินดีจะใคร่ครวญอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงยังไม่อาจเดินตามทันภิกษุเฒ่าไปได้ไกลขนาดนั้น
จู่ๆ ภิกษุเฒ่าก็ยิ้มกว้าง “ประสกเฉิน เหตุผลในวันนี้ของอาตมากล่าวได้ดีหรือไม่?”
ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว”
ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่อง ‘ก่อนหลัง’ ‘เล็กใหญ่’ ‘ดีเลว’ อาตมายังอยากจะฟังอีกสักครั้ง”
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดค่อนข้างจะฟังเข้าใจยาก แต่ในเมื่อเป็นเหตุผลและเป็นคำพูดที่มาจากใจจริง ยิ่งพูดก็มักจะยิ่งกระจ่างแจ้ง เหมือนกระจกบานหนึ่งที่ถูกเช็ดถูฝุ่นออกบ่อยๆ ที่จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ผิดถูกมีก่อนหลัง ควรจัดเรียงขั้นตอนให้ชัดเจนเสียก่อน ห้ามข้ามผ่านไปพูดเหตุผลที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น
ผิดถูกมีแบ่งใหญ่เล็ก ต้องใช้ไม้บรรทัดหนึ่งอัน สองอันหรือมากกว่านั้นมาวัดความเล็กใหญ่ ไม้บรรทัดเหล่านี้จะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง วิธีการที่ดีงาม กฎของบ้าน กฎหมาย หลักมารยาทพิธีการ หรือหลักการคำนวณของสำนักคำนวณก็ล้วนยืมมาใช้ได้หมด กฎหมายอันเป็นบรรทัดฐาน คุณธรรมที่สูงส่ง ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละสถานที่ วิชาการคำนวณที่แม่นยำล้วนเกี่ยวพันด้วยทั้งสิ้น ไม่สามารถสรุปได้ด้วยมาตรฐานเดียว เมื่อตั้งใจศึกษาแล้วจะรู้ว่ายิบย่อยซับซ้อน เปลืองแรงกายแรงใจอย่างถึงที่สุด
หลังจากนั้นถึงตัดสินความดีความเลวในท้ายที่สุด
ดังนั้นโดยที่มองไม่เห็น ศึกตรีจตุที่ถกกันว่าสันดานคนดีหรือเลวจึงไม่ได้เป็นด่านอันตรายที่คนเรียนหนังสือไม่อาจข้ามผ่านอีกต่อไป เพราะนี่เป็นเรื่องที่พูดถึงในตอนท้าย ไม่ใช่เรื่องแรกที่ต้องตัดสินใจเมื่อเริ่มต้นเรียนหนังสือ
สุดท้ายคือคำว่า ‘ปฏิบัติ’
ให้ความรู้แก่สรรพชีวิต ถ่ายทอดพระธรรมแก่ใต้หล้าด้วยใจของพระโพธิสัตว์ แสวงหาความสงบด้วยการฝึกฝนตนเองอยู่เพียงลำพัง ทุกอย่างนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน
สีหน้าของภิกษุเฒ่านิ่งสงบ ประนมสิบนิ้วฟังคำอธิบายของเฉินผิงอัน ก้มหน้ากล่าวว่า “อามิตตาพุทธ”
เฉินผิงอันมองไปยังนกขมิ้นน้อยที่เกาะอยู่บนชายคา มันกำลังมองประเมินเณรน้อยที่กำลังกวาดลานวัด
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “วัดไม่อยู่ พระอยู่ พระไม่อยู่ คัมภีร์อยู่ คัมภีร์ไม่อยู่ พระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าไม่อยู่ พระธรรมยังอยู่ ต่อให้วัดซินเซียงจะไม่มีพระเหลือแม้แต่รูปเดียว ไม่เหลือคัมภีร์แม้แต่เล่มเดียว ขอแค่ใจคนยังมีพระธรรม วัดซินเซียงก็ยังคงอยู่”
ภิกษุเฒ่าหันหน้ามองไปลานวัดที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงแสกสากจากเณรน้อยที่กำลังกวาดวัดอีกครั้ง
เส้นสายตาของภิกษุเฒ่าพร่ามัว พึมพำว่า “ดูเหมือนอาตมาจะมองเห็นดอกบัวผลิบานในโลกมนุษย์แล้ว”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ภิกษุเฒ่าก้มหน้าลง ริมฝีปากสั่นระริก “ไปเถิด”
สามเณรน้อยที่อยู่ห่างไปไกลมองมาทางระเบียง กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกพลางบ่นกับภิกษุเฒ่าว่า “อาจารย์ วันนี้แดดแรงยิ่งนัก รอให้เย็นลงหน่อยแล้วข้าค่อยมากวาดได้หรือไม่ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้าไป ชี้ไปยังภิกษุเฒ่าที่เหมือนคนงีบหลับ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมาแตะตรงริมฝีปาก ทำเสียงชู่ว์เบาๆ หนึ่งที
สามเณรน้อยรีบเงียบเสียงลง แล้วก็แอบรู้สึกชอบใจ ฮ่าๆ ข้าจะแอบอู้บ้างล่ะ ที่แท้อาจารย์ก็ชอบงีบหลับเหมือนกัน
เขาค่อยๆ ย่องกลับไปใต้ร่มของชายคาตำหนักใหญ่ นกขมิ้นตัวนั้นปลุกระดมความกล้าบินไปเกาะบนไหล่ของเณรน้อย เณรน้อยอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจงใจหันกลับไปทำหน้าผีใส่มัน ทำเอานกขมิ้นน้อยตกใจรีบกระพือปีกบินหนี เณรน้อยที่ยืนอึ้งอยู่คนเดียวลูบศีรษะที่เกลี้ยงเกลาด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
บนเบาะกลมกลางระเบียง ภิกษุเฒ่าที่มรณภาพไปแล้วยังคงนั่งอยู่ในท่าผ่อนคลายที่ทิ้งตัวลงมาเช่นนั้น
แต่กลับเหมือนช่วยยกจิตวิญญาณของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้สูงขึ้น
เฉินผิงอันอดไพล่นึกไปถึงประโยคหนึ่งของลู่ไถไม่ได้
คนตายก็คือการนอนหลับครั้งใหญ่
—–