บทที่ 7 ศึกษาวิชาแพทย์

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 7 ศึกษาวิชาแพทย์

ในตอนที่พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ระหว่างที่ทุกคนกำลังหลับสบายอยู่ในห้องของตน มีแค่มู่หรงเสวี่ยที่แอบลุกขึ้นมาล็อกประตูห้องและคิดจะเข้าในมิติลับ

เมื่อเข้าไปในมิติ เนื่องจากว่าครั้งแรกที่มาที่นี่ เธอไม่ได้มองสวนสมุนไพรอย่างใกล้ชิดสักเท่าไหร่ ทำให้ตอนนี้เธอประหลาดใจมากที่ได้พบว่ามันมีโสมจีน เง็กเต็ก เห็ดหลินจืออยู่จำนวนไม่น้อย และสมุนไพรในทุ่งหญ้านี้ก็มีอายุมากกว่า 10,000 ปีแทบจะทุกต้น สมุนไพรพวกนี้เปรียบเสมือนสมบัติ ไม่แปลกใจเลยที่สมุนไพรเหล่านี้จะเติบโตเทียบเท่ากับอายุสิบปีภายในวันเดียว

นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ที่มีสีสันสดใสมากมายที่ล้อมรอบด้วยหมอกขาว เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นพลังวิญญาณของดอกไม้ประหลาด ที่สร้างพลังวิญญาณได้

เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว!

ถึงมู่หรงเสวี่ยจะไม่รู้ว่าดอกไม้พวกนี้คือดอกอะไร เธอก็ยังบรรจงปลูกสมุนไพรเอาไว้รอบๆมันด้วยความระมัดระวังไว้อีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็รดน้ำพุแห่งจิตวิญญาณลงไปที่รากของมัน

หลังจากที่รดน้ำไปได้สักพัก เธอพบว่าสีของดอกไม้ดูสวยงามมากขึ้น ถึงขนาดว่ามีลำแสงเปล่งออกมาเล็กน้อย ช่างงดงามเหลือเกิน

หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปที่ห้องเก็บโอสถลับโบราณ เธอพบว่าตำราในห้องนี้เป็นสมบัติที่มีค่ามาก

ในตำรามีทั้งชุดภาพประกอบสมุนไพร ใบสั่งยา เทคนิคการฝังเข็มและการรมยาที่สมบูรณ์มาก เช่นเดียวกับใบสั่งยาจำนวนมากที่ใช้สำหรับการรักษาโรคหายากและซับซ้อน

ตำราแพทย์ทั้งหมดในห้องนี้มีค่าต่อการเรียนรู้และหายากมากจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยหยิบตำราชื่อสมุนไพรทั่วไปขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆอ่าน ค่อยๆดูมัน ถึงการใช้ฟีนิกซ์เก้าเข็มนั้นจะอยู่ในสมองของเธอแล้ว แต่เธอก็ยังขาดความรู้พื้นฐานทางการแพทย์อยู่ดี

เนื่องจากว่าที่นี่มีตำราลับเกี่ยวกับวิชาแพทย์มากมายให้เธอได้ศึกษา และในพื้นที่นี้ เวลาเพียงหนึ่งวันเทียบเท่ากับหนึ่งปี เวลาเพียงคืนเดียวของโลกภายนอกนั้นเพียงพอให้เธอได้ศึกษาอยู่ในนี้ถึงสามเดือนแล้ว

เนื่องจากเธอมีความทรงจำที่ไม่มีวันลืม มู่หรงเสวี่ยได้จดจำความรู้ทั้งหมดที่เพิ่งศึกษาเอาไว้ในจิตใจ

หลังจากที่ทำการจำจดเสร็จแล้ว มู่หรงเสวี่ยได้เดินไปที่สวนสมุนไพรข้างนอกอาคารเล็ก จากนั้นก็เริ่มเปรียบเทียบรูปร่างและลักษณะของสมุนไพรที่ได้อธิบายไว้ในตำราแพทย์

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหิวขึ้นมา จึงเดินไปที่ป่าผลไม้ จากนั้นก็ทำการเด็ดผลไม้ที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือผลอะไรมาหนึ่งลูก

ผลไม้ที่เธอกินเข้าไปนั้น สามารถละลายในปากได้ในทันทีที่ได้กัดมัน แถมผลไม้ชนิดนี้ยังมีมีรสชาติหวานมากอีกด้วย

หลังจากที่กินมันเข้าไปแล้ว ร่างกายของเธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาในทันที สักพักเธอก็พบว่ามีชั้นของโคลนสีดำเกิดขึ้นมาตามร่างกายของเธอ เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่เห็น จึงรีบวิ่งออกมาจากพื้นที่มิติและรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำในห้องทันที เธอใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะล้างโคลนที่ติดอยู่ออกทั้งหมด

ในตอนนี้ ผิวของมู่หรงดูผ่องและขาวสว่างราวกับเกล็ดหิมะ นอกจากนี้ผิวหน้าของเธอก็ยังนุ่มราวกับผิวอมน้ำ ในตอนที่ลองหยิกดู ผิวของเธอนิ่มละเอียดราวกับขนแกะและแทบจะมองไม่เห็นรูขุมขนเลย เส้นผมของเธอที่เคยเป็นสีดำสนิทกลับเงาขึ้นอย่างประหลาด เธอจึงลองปล่อยผมยาวประบ่าของตัวเองให้เป็นอิสระ ปรากฏว่าเส้นผมของเธอทุกเส้นทั้งนุ่มและสวยมาก ร่างกายค่อยๆผลัดคราบไคลที่อยู่คนละชั้นผิวออกมา

ในตอนนี้เธอดูบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งนางฟ้าที่บังเอิญตกลงมาบนดินไม่มีผิด!

มู่หรงเสวี่ยตัดสินใจเข้าไปในมิติอีกครั้ง

เธอมองดูผลไม้แห่งจิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนในมิติ

ในเวลานี้ แม้แต่คนโง่ก็รู้เลยว่า ต้นไม้พวกนี้ไม่ใช่ต้นผลไม้ธรรมดาแต่เป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณต่างหาก!

ผลไม้แห่งจิตวิญญาณสามารถพัฒนาร่างกายของคนได้จริงๆ ใครก็ตามที่เกิดมาร่างกายไม่แข็งแรงก็สามารถได้รับการรักษาได้ มิตินี้ท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว

ในใจของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยความอึดอัด ตอนนี้เธอไม่ใช่คนโง่หรือเด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว เธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปข้างนอกเด็ดขาด

ในตอนแรก มู่หรงเสวี่ยอยากเอาผลไม้แห่งจิตวิญญาณออกไปให้ครอบครัวของเธอได้ลิ้มลองสักครั้ง แต่ตอนนี้เธอก็ได้ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะผลไม้พวกนี้ไม่เหมือนกับของโลกภายนอก พวกมันจะดึงดูดสายตาจนทำให้คนที่เห็นอยากที่จะเด็ดมันไปในทันที

และบางทีน้ำแห่งจิตวิญญาณข้างนอกอาจจะมาจากผู้นำของตระกูลสมัยก่อน พลังวิญญาณในมิติอุดมสมบูรณ์มากจนเธอสามารถปลูกต้นไม้และผลไม้ทั่วไปในนี้ได้ โดยที่หนึ่งวันเท่ากับสิบปี เพราะต้นผลไม้สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ และบางทีพวกมันอาจหลบหูหลบตาจากผู้คนภายนอกได้หลังจากที่นำไปนอกมิติ

ในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยอะไรต่อมิอะไร ถึงยังไง ความแข็งแกร่งก็เธอก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี แถมตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยว่า ในโลกนี้มีคนที่เจอเรื่องวิเศษเหมือนอย่างที่เธอเจอมากน้อยขนาดไหน

ในเมื่อเธอมาที่แบบนี้ได้ คนอื่นก็อาจจะมีสมบัติรูปแบบอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะเธอยังเด็กอยู่ เธอก็จะต้องปกป้องความลับเรื่องสร้อยข้อมือฟีนิกซ์ไว้ให้ดี นอกจากนี้เธอยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับสมาชิกในครอบครัวเลยสักคน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะอยากเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย

วันแล้ววันเล่า มู่หรงเสวี่ยเอาแต่ซึมซับความรู้ด้านการแพทย์โบราณเข้าไปโดยไม่หยุดพัก

เธอได้พบปรากฏการณ์แปลกๆทีละน้อย อย่างเช่น เธอยังไม่ได้เปิดตำราแต่เธอกลับเห็นตัวหนังสือที่อยู่ข้างในตำราได้ คือมันว้าวมาก น่าทึ่งสุดๆไปเลย ขนาดว่าลองหยิบตำราเล่มอื่นมาดูแล้ว ก็ยังเห็นตัวอักษรพวกนั้นลอยออกมาได้เหมือนกัน หรือเป็นเพราะได้เกิดใหม่ ก็เลยมีความสามารถด้านการมองเห็น? ถามจริง?!!

มู่หรงเสวี่ยลองมองออกไปนอกตัวบ้าน เธอสามารถมองเห็นสมุนไพรและต้นผลไม้มากมายที่อยู่ข้างนอกบ้าน ถึงมองเห็นมันไม่ชัดก็ตาม

หลังจากนั้นสักพักเธอก็รู้สึกว่าตัวเองใช้พลังมากเกินไป จึงฟุบลงบนโต๊ะเพื่อพักสักครู่

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเสวี่ยเดินออกไปเด็ดผลไม้ที่อยู่ข้างนอกจำนวนหนึ่งมากิน ไม่นานเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองได้รับการเยียวยา ทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าความสามารถในการมองนี้จะใช้พลังงานเยอะพอสมควร

ในชีวิตที่แล้ว เธอได้บังเอิญรู้ว่ามีบางคนในโลกนี้ที่มีพลังวิเศษและกลายเป็นคนที่มีพลัง

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นซะแล้ว ถ้าคนอื่นรู้เข้า เธอจะต้องสูญเสียอิสระไปแหงๆ และเธอเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนั้น เพราะมันจะทำให้มีปัญหามากมายตามมา

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองหนักอึ้งและความสุขที่ได้เกิดใหม่ของเธอก็ลดน้อยลงเช่นกัน…

เนื่องจากว่าเธอมีความลับมากเกินไป แถมความสามารถของตัวเองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก เธอจึงมีความคิดที่จะจ้างบอดี้การ์ด แต่การจะเลือกบอดี้การ์ดสักคนจะต้องเลือกอย่างละเอียดและถี่ถ้วนมาก คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่เธอเชื่อถือได้จากใจจริง

ความรู้สึกกระวนกระวายใจเพิ่มสูงขึ้น เธอรู้สึกว่าในชีวิตที่แล้ว เธอได้รับการปกป้องจากครอบครัวตัวเองเป็นอย่างดี จนลืมความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะลูกหลานของตระกูลมู่หรงไปเลย

เห็นที เธอจะต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียวเสียแล้ว ที่บ้านมีคนเยอะเกินไป จะทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวก เธอจะต้องเข้ามาในมิติเพื่อศึกษาวิชาแพทย์ จะมารอให้ทุกคนหลับก่อนแล้วค่อยเข้ามาศึกษาไม่ได้แล้ว

มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากมิติ และพบว่าตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี เธอจึงคิดว่าตัวเองควรจะไปนอนเอาแรงก่อน

ในตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป เธอจะไปคุยเรื่องการย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับพ่อแม่ เพราะมันคือสิ่งที่เธอคิดถึงเป็นอันดับแรก