“ก็ได้…” ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่กู้จิ้งก็ตัดสินใจว่าจะไม่เรียกอีก ไม่เช่นนั้นถ้าเขาคิดว่าเธอเป็นลูกหลานรุ่นหลังที่ข้ามเวลามาทำอะไรๆ กับเขาจริงๆ แล้วลุกไม่ขึ้นไปเลยจะทำยังไงกัน? ถึงตอนนั้นคนที่ซวยก็เป็นเธอนี่เอง
เซียวเถี่ยเฟิงประคองใบหน้าของเธอเอาไว้พลางจ้องหน้าเธอนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าวว่า “กู้จิ้ง ข้าไม่สนใจว่าในโลกอนาคตอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าที่เจ้าเคยเห็นข้ามีลูกหลานหรือไม่ แต่ข้าสาบานว่าถึงเจ้ามีลูกไม่ได้ ข้าก็จะไม่มีวันมีใครอีก ชีวิตนี้ข้าจะมีแต่เจ้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นทั้งสิ้น”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าซูบผอมปรากฏแววขมขื่น “หากเจ้าจากข้าไปเพราะสาเหตุนี้ ต่อให้ต้องตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต้องตามไปอีกหนึ่งพันปีหนึ่งหมื่นปี ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ถอนใจเบาๆ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ล่ำ วันนี้ฉันจะพูดเปิดอกกับนาย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว โชคชะตาลิขิตให้ฉันมายังยุคสมัยนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คน มาอยู่ข้างกายนาย นายก็คือที่พักพิงของฉัน ฉันยังคิดด้วยว่าการที่คุณยายรับเลี้ยงฉันเอาไว้ เป็นเพราะรู้ว่าฉันเป็นคนในอดีต รู้ว่าวันหนึ่งฉันจะกลับมา รู้ว่าฉันจะแต่งงานกับนายหรือเปล่า”
เธอยกมือขึ้นกุมมือเขาไว้เบาๆ “ชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไม่จากนายไปไหนแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่ต้องพูดว่านายไม่คิดจะแต่งงานมีลูกกับคนอื่น เพราะต่อให้นายคิด ฉันก็จะไม่ยอมเด็ดขาด”
กู้จิ้งจ้องเขานิ่งเพื่อให้เขามองเห็นการตัดสินใจของเธอ
“ถ้านายกล้า ฉันจะทำให้นายต้องสิ้นลูกสิ้นหลานไปตลอดชีวิตแน่”
นี่เป็นคำข่มขู่ที่น่ากลัวมาก ไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้ยินก็ต้องโกรธ แต่เซียวเถี่ยเฟิงไม่ หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขากลับรู้สึกหวานชื่นอยู่ในอกซ้ำยังยินดีเอามากๆ เพราะเขารู้ความหมายของคำพูดประโยคนี้ของกู้จิ้ง
ความหมายของกู้จิ้งคือ นับแต่นี้เป็นต้นไป นางจะไม่ปล่อยมือจากเขาอีก
เขาจะไม่เป็นของใครทั้งนั้น นอกจากกู้จิ้ง
แขนแข็งแรงของเขาดึงเธอไปกอดไว้แนบอก
“ได้ หากข้ามีผู้หญิงอื่น ขอให้ข้าสิ้นลูกสิ้นหลาน”
“อืม…” หญิงสาวในอ้อมกอดส่งเสียงตอบรับเบาๆ
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้าเป็นของข้า…เป็นของข้า ต่อไปอย่าจากข้าไปไหนอีกแม้แต่ก้าวเดียว” เขาก้มลงพึมพำเบาๆ พลางจูบแก้มเธอด้วยความละโมบแกมร้อนใจ จากนั้นจึงยึดครองริมฝีปากของเธอเอาไว้
เขาเปรียบเหมือนพายุโหมกระหน่ำที่คิดจะกวาดเอาร่างของเธอไปหลอมรวมไว้ในร่างของเขาแล้วไม่ปล่อยเธอให้จากไปไหนตลอดกาล
การโจมตีของเขาทำให้กู้จิ้งตัวอ่อนปวกเปียก เสียงครวญครางเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชั่ววินาทีนั้น เตียงโยกคลอนไปมา ร่างสองร่างรวมเป็นหนึ่ง ศึกรักดำเนินไปเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
จนกระทั่งใกล้จะถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ กู้จิ้งถูกรุกเร้าจนแทบจะร้องไห้ออกมา หญิงสาวซึ่งมีเส้นผมสีดำยาวสยายเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งอยู่เหนือร่าง
ใบหน้าซูบผอมแข็งกระด้างของเขามีเหงื่อชุ่มโชก หยาดเหงื่อซึ่งหยดลงมาในปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยทำให้เธอสัมผัสได้ถึงรสเค็ม
เธออดนึกถึงความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาอีกครั้งไม่ได้ เขากลัวเธอจะจากไปและคอยกังวลมาตลอด
เธอยกมือขึ้นโอบรอบบ่ากว้างของเขา
“ชีวิตนี้…ฉันเป็นของนาย…”
เธอรู้ว่าตัวเองจะต้องหาทางทำให้เขาวางใจให้ได้
ถึงวันนี้จะอธิบายชัดเจนแล้ว ปมในใจของเขาก็คลายลง แต่เธอก็ยังต้องคอยอยู่ข้างกายเขา ถึงจะทำให้เขาค่อยๆ วางใจได้อย่างแท้จริง
หลังจากศึกรักเมื่อวาน เซียวเถี่ยเฟิงก็ไม่ตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอีก เขาหลับสนิทไปตลอดคืน พอถึงวันรุ่งขึ้นสีหน้าก็ดีขึ้นมาก ถึงแม้จะยังผอมมาก แต่ก็ไม่ดูซูบเซียวจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนก่อนหน้านี้อีก
กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ค่อยสบายใจขึ้น แต่พอเธอจะลุกจากเตียง เซียวเถี่ยเฟิงกลับกุมข้อมือเธอเอาไว้ “จะไปไหนหรือ?”
กู้จิ้งหันกลับไปมอง เห็นแววตาของเขาดูเคร่งเครียด เธอก็ปวดใจเหลือเกิน
ปกติเธอมัวแต่ยุ่งกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวก็รักษาคนป่วย เดี๋ยวก็ขายน้ำอมฤต ทำให้ไม่เคยสังเกตมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอก็เคยเห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจเท่านั้น
กู้จิ้งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เธอรีบอธิบายเสียงอ่อนว่า “พี่ล่ำ ฉันเห็นว่าระยะนี้นายผอมไปมาก ฉันก็เลยอยากเข้าครัวไปตุ๋นน้ำแกงไก่น้ำแกงปลาให้นายบำรุงร่างกายเสียหน่อย”
เซียวเถี่ยเฟิงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก พักผ่อนอีกสักครู่เถอะ”
กู้จิ้งออดอ้อน “แต่ฉันอยากให้นายดื่มน้ำแกงไก่”
เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ข้าอยากกินเจ้ามากกว่า”
กู้จิ้งอดคิดไม่ได้ว่า พูดแบบนี้หมายความว่าเธอเป็นไก่อย่างนั้นรึ? เธอเอื้อมมือไปหยิกแผงอกแข็งแรงของเขาทีหนึ่ง
“ไม่ให้นายกินหรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะให้ใครกิน?”
“นาย! ฉันไม่ใช่ไก่นะ!”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ข้าก็อยากกินเจ้า!”
กู้จิ้งอยากหนี แต่จนใจที่หนีไปไม่พ้น สุดท้ายก็ถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่ขาไก่
สุดท้ายเธอสูดหายใจลึกพลางแอบคิดว่า จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องหาทางให้เขาบำรุงร่างกาย ต้องให้เขาบำรุงร่างกาย… บำรุง…บำรุงๆๆ…
ร่างของเธอสั่นคลอนไปมาเหมือนเรือเล็กที่กำลังแล่นอยู่กลางลมพายุ จะพูดให้ปะติดปะต่อกันก็ยังทำไม่ได้
สุดท้ายกู้จิ้งก็ตุ๋นน้ำแกงไก่ให้เซียวเถี่ยเฟิงจนได้ เธอยกน้ำแกงไก่ร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยไปวางตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง ฝีมือของเธอไม่เลว เซียวเถี่ยเฟิงย่อมชอบมาก กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็ตัดสินใจตุ๋นน้ำแกงให้เขาทุกวัน
เธอเข้าใจดีแล้ว ชีวิตมีจำกัด พละกำลังก็มีขีดจำกัด เธอจะใช้เวลากับคนที่รักเธอและคอยอยู่ข้างกายเธอให้มากขึ้น ไม่ใช่เอาเวลาไปรักษาคนป่วย ด้วยเหตุนี้ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากโรคที่หมอคนอื่นๆ ไม่มีปัญญารักษาแล้ว เธอก็ไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีก
คนป่วยในปิ้งโจวย่อมผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักก็ทำใจยอมรับได้ เพราะเธอเป็นฮูหยินของเซียวชูอวิ๋น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าล่วงเกิน
กู้จิ้งกลัวเซียวเถี่ยเฟิงจะนอนไม่หลับอีก ดังนั้นจึงเคี่ยวน้ำแกงข้าวฟ่างให้เขากินเพื่อช่วยให้เขาจิตใจสงบขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำแกงได้ผลหรือปมในใจถูกคลายออกแล้ว ตอนนี้เซียวเถี่ยเฟิงหลับสนิทมาก พอหลับสนิท ซ้ำยังมีกู้จิ้งคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สุขภาพของเขาก็ดีวันดีคืน สีหน้าก็ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในที่สุดกู้จิ้งก็ได้ถอนใจโล่งอก
เธอเป็นปีศาจที่เกือบจะทำร้ายท่านบรรพบุรุษจริงๆ
เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงคำพูดที่กู้จิ้งเคยพูดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาเริ่มเฟ้นหาเด็กหลายคนที่จะรับมาเป็นลูกบุญธรรม
“ในเมื่อสวรรค์ลิขิตว่าข้าต้องมีลูกหลายคน แต่เจ้ามีลูกไม่ได้ ข้าก็ต้องรีบรับเด็กมาเลี้ยงหลายๆ คน”
ถ้าเขารับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่รูปรอยเดิม กู้จิ้งก็จะรั้งอยู่ข้างกายเขาต่อไปได้อย่างสบายใจ
จริงๆ กู้จิ้งเองก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงช่วยเซียวเถี่ยเฟิงเฟ้นหาด้วย
การรับเด็กมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวพันถึงคุณภาพของลูกหลานในอนาคต รวมทั้งการถือกำเนิดของคุณยายในอนาคตอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ดังนั้น เธอจะต้องหาท่านบรรพบุรุษ ‘รุ่นต่อมา’ ที่สวรรค์ลิขิตเอาไว้ให้ได้
เมื่อมีเวลาว่างจากการเฟ้นหาเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม เซียวเถี่ยเฟิงก็ถามเรื่องกระเป๋าหนังสีดำจากกู้จิ้ง
“ปกติเจ้ามักจะยื่นมือเข้าไปหยิบของบ่อยๆ แต่ไม่ได้มีการข้ามเวลาใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น มีแต่ครั้งนั้นที่มุดเข้าไปถึงทำให้กาลเวลาเดินเร็วขึ้นใช่ไหม?”
ตอนนี้เซียวเถี่ยเฟิงรู้จักใช้ศัพท์เฉพาะเวลาพูดถึงการข้ามเวลาแล้ว
กู้จิ้งอดเลื่อมใสความสามารถในการยอมรับของเขาไม่ได้
“จริงๆ แล้วก่อนครั้งนั้น ฉันเคยมุดเข้าไปสองครั้ง เพียงแต่หลังจากเข้าไปแล้วฉันไม่ได้เดินเพ่นพ่าน ตอนนี้มาคิดดู น่าจะเป็นเพราะพื้นที่ส่วนที่ฉันเข้าไป กาลเวลาไม่ได้เดินเร็วขึ้น แต่หากเดินไกลออกไป ยิ่งไกลเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งเดินเร็วขึ้นเท่านั้น”
พูดจบ กู้จิ้งก็เล่าเรื่องที่ตัวเองเคยมุดเข้าไปในกระเป๋าสองครั้งแรกให้เขาฟัง
พอพูดถึงครั้งที่ไปเล่นงานจ้าวจิ้งเทียนแล้วแอบมุดเข้าไปดื่มเบียร์ในกระเป๋า เซียวเถี่ยเฟิงก็ทั้งขำทั้งโมโห สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า
พอเขาพูดความเข้าใจผิดของตัวเองในตอนนั้นออกมา กู้จิ้งก็ถึงกับตะลึงงัน
“นายคิดว่าฉันคิดอะไรแบบนั้นกับจ้าวจิ้งเทียนได้ยังไง? ฉันยังคิดว่า…”
“คิดว่าอะไร?” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอไม่พูดก็รีบถามต่อ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
“คิดว่านายเป็นพวกรักร่วมเพศ ชอบผู้ชายเหมือนกันน่ะสิ” กู้จิ้งพูดด้วยความรู้สึกผิด
“เจ้า…” เซียวเถี่ยเฟิงโมโห “ข้าเหมือนคนพวกนั้นหรือ? ข้ากับจ้าวจิ้งเทียนเนี่ยนะ? เหลวไหลสิ้นดี!”
กู้จิ้งได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วพยายามพูดเอาใจ
“ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่นา ฉันฟังพวกนายพูดไม่รู้เรื่องก็เลยมีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย นายดูสิ ตอนแรกฉันยังคิดว่านายเป็นนักค้ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ”
“นักค้ามนุษย์?” ไม่พูดเรื่องนี้ยังพอว่า พอพูดขึ้นมาเซียวเถี่ยเฟิงก็อดสงสัยไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าเป็นนักค้ามนุษย์ ทำไมถึงได้ยั่วยวนข้าเล่า?”
ตอนนั้นนางหว่านเสน่ห์เขา ราวกับว่านางลงมาจากสวรรค์เพื่อยั่วยวนเขาโดยเฉพาะ