บทที่ 276 การเผชิญหน้าที่ไม่คาดฝัน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

อีวานอฟสกี?!

ลูเซียนรู้สึกยิ่งกว่าตกตะลึง โชคดีที่ลูเซียนบังคับให้ตนเองมีสมาธิไว้แล้วตอนได้ยินเสียงฝีเท้าและเขาก็ค่อนข้างเก่งเรื่องสงบจิตใจ มิเช่นนั้นเวทมนตร์ล่องหนของเขาคงใช้การไม่ได้ไปแล้วเพราะอารมณ์ที่ไม่คงที่

เมืองยูรัลนั้นใหญ่พอๆ กับเมืองอัลลิน และเขตชานเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงใหญ่ก็ยิ่งกว้างขวาง แล้วเหตุใดคนสองคนที่พยายามจะหลบเลี่ยงกันกลับต้องมาพบกันที่สุดปลายอุโมงค์เหมืองเช่นนี้ด้วย?!

ลูเซียนพยายามจะใจเย็นลงและเก็บงำความคิดที่จะสังหารอีวานอฟสกี เพราะอัศวินหลวงย่อมสัมผัสได้ถึงภัยใกล้ตัว รวมถึงจิตมุ่งร้ายหมายชีวิตของใครสักคนด้วย เขานึกสงสัยว่านี่เป็นความบังเอิญหรือความจริงแล้วอีวานอฟสกีไล่ตามเขามาตลอดทางกันแน่

ขณะซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่ง ลูเซียนก็เห็นว่าอีวานอฟสกีหยุดอยู่หน้าสุดปลายอุโมงค์แล้วมองไปรอบๆ

อาจเป็นเพราะอีวานอฟสกีคิดว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในที่นี่ เขาจึงไม่ใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อตรวจสอบสถานที่ จากนั้น หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อีวานอฟสกีก็ดูท่าทางผ่อนคลายลง

เมื่อเหลียวมองไปรอบๆ อีวานอฟสกีก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าช่องทางเข้าล่องหนแล้วเริ่มสวดภาวนาพร้อมกับทำสัญลักษณ์กางเขนตรงหน้าตน “แด่พระบิดา ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาเยือนและอยู่กับเรา ขอให้มลทินและบาปของเราได้รับการชำระล้าง ขอให้ดวงจิตของเราได้รับการช่วยเหลือ…”

ภาวนางั้นหรือ ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ ลูเซียนรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด เขาไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าพ่อค้าเถื่อนผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะเป็นผู้ศรัทธาใน ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’

ทว่า ไม่นานลูเซียนก็ตระหนักว่าศาสนจักรทั้งเหนือใต้ไม่มีฝ่ายใดเรียก ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ว่า ‘พระบิดา’ เลย ลูเซียนยังสังเกตเห็นด้วยว่าสัญลักษณ์กางเขนที่อีวานอฟสกีสวมอยู่นั้นค่อนข้างแตกต่าง แนวตั้งดูสั้นกว่าแนวนอน เหมือนกับไม้กางเขนที่วางนอนไว้

ดังนั้นลูเซียนจึงเดาว่าอีวานอฟสกีเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์อื่น แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป จากหนังสือที่เขาเคยอ่านมา ไม่มีผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์อื่นๆ องค์ไหนที่ใช้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของศาสนา ‘นักบุญแห่งความจริง’

พลังอะไรกันนะที่อยู่เบื้องหลังอีวานอฟสกี ลูเซียนรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพยายามอย่างหนักเพื่อหยุดคิด มิเช่นนั้นอีวานอฟสกีอาจจับสังเกตพลังจิตของเขาได้เพราะความคิดที่แล่นไม่หยุด

เมื่ออีวานอฟสกีสวดภาวนาจบ พลังบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และแสงสีขาวก็โอบล้อมตัวเขาไว้

ลูเซียนประหลาดใจอย่างยิ่งยวด พลังนั้นเป็นของ ‘นักบุญแห่งความจริง’ อย่างแน่นอน แม้ว่าผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์อื่นจะสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ พลังนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปเล็กน้อย

แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นหายเข้าไปในดวงตาของอีวานอฟสกี เขาแย้มยิ้มก่อนจะเอื้อมมือขวาออกมาและมันก็เข้าไปในช่องทางเข้าของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ในทันที

“ขอบพระทัยพระบิดา… ที่ช่วยให้ลูกพบเจอโลกที่ซ่อนเร้นแห่งนี้ เพื่อที่ลูกจะได้ซ่อนตัวชั่วคราว” อีวานอฟสกีพึมพำกับตนเองด้วยท่าทางผ่อนคลาย

ทว่า ฉับพลันนั้นสีหน้าของอีวานอฟสกีก็เปลี่ยนไป! เขาคว้าดาบหนักด้วยมือซ้าย แล้วฟันอย่างแรงมาตรงมุมที่ลูเซียนซ่อนตัวอยู่

ลูเซียนอึ้งงันเมื่อเห็นว่าอีวานอฟสกีค้นพบช่องทางเข้า เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ลูเซียนเสียสมาธิ อัศวินหลวงผู้นี้ก็จังสังเกตได้ในทันที!

เป็นความโชคดีเมื่อทันทีที่อารมณ์ของลูเซียนไม่มั่นคง เขาก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามอย่างหนักเพื่อสงบจิตใจลงให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูเซียนจะกระตุ้นแบบจำลองเวทมนตร์ในดวงจิตของเขา

วงแหวนของแสงสีฟ้าแผ่ออกจากตัวลูเซียนเป็นวงราวกับระลอกคลื่น

เวทมนตร์ระดับสาม ‘หลับลึก’! นี่เป็นอีกคาถาใหม่ที่ลูเซียนสร้างประทับไว้ในดวงจิตของเขาในช่วงสองสามเดือนที่เขาเดินทางผ่านจักรวรรดิแห่งนี้

การใช้เวท ‘ใยแมงมุม’ ควรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูเซียน แต่เวทมนตร์ระดับสองนี้ แม้ว่าลูเซียนจะสร้างแบบจำลองเวทมนตร์ไว้ในดวงจิตของเขาแล้ว ก็ยังต้องใช้สื่อกลางในการร่ายเวทเหมือนกับเวทมนตร์ ‘ดวงดาวแห่งมัสเคลินย์’

แม้ว่าอีวานอฟสกีจะเร็วมาก แต่เพราะเวท ‘หลับลึก’ เป็นเวทมนตร์ที่กินวงกว้าง จึงไม่มีโอกาสใดที่เขาจะหลบเลี่ยงได้

ในตอนที่อีวานอฟสกีฟาดดาบหนักใส่ลูเซียน ร่างกายเขาก็ปกคลุมด้วยชั้นแสงสีขาวบริสุทธิ์ ดังนั้นแสงสีฟ้าของลูเซียนจึงถูกตัดผ่านไปโดยตรง

แสงสีฟ้าที่กระเด็นออกส่งผลกับอีวานอฟสกีเล็กน้อย แต่ก็เพียงไม่กี่วินาที เพียงหรี่ตาลงเล็กน้อย อีวานอฟสกีก็กลับมามีสติดังเดิม และการจู่โจมของเขาก็ไม่หยุดลง

นั่นอยู่เหนือการคาดการณ์ของลูเซียนโดยสิ้นเชิง โชคดีที่เขายังมีแผนสำรอง เมื่อกระตุ้นพลังจิต ร่างกายเขาก็ถูกปกคลุมด้วยโล่เพลิงเวทมนตร์ โดยใช้พลังจากแหวน ‘เวทธาตุ’

ในตอนที่ดาบหนักของอีวานอฟสกีกระทบกับโล่เพลิง ประกายแสงก็ระเบิดออกทุกทิศทาง

โล่เพลิงสั่นสะท้านรุนแรงและแตกร้าวเล็กน้อย ในขณะที่อีวานอฟสกีร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อเปลวไฟเผาผลาญผิวหนังเขาจนไหม้เกรียม

‘โล่เพลิงทรงอำนาจ’ ไม่เพียงป้องกันทางกายภาพ ธาตุ และพลังบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังโจมตีสะท้อนกลับด้วยเปลวไฟได้อีกด้วย ทว่าเวทมนตร์ระดับห้านี้หาได้เคยสำแดงฤทธิ์เดชเต็มที่เพราะศัตรูของลูเซียนก่อนหน้านี้ต่างใช้เวทมนตร์คาถาของศาสตร์มืด คำสาป และดวงวิญญาณแสนแปลกประหลาดและเขย่าขวัญ

‘เวรเอ้ย! เจ้าปีเตอร์นี่มีอุปกรณ์เวทมนตร์กี่อย่างกันแน่วะ?!’ อีวานอฟสกีเห็นแล้วว่าเป็นปีเตอร์ และปีเตอร์ก็ใช้เวทมนตร์ระดับห้าอีกบทด้วย

แม้ว่าอีวานอฟสกีจะหัวเสียที่ดูเหมือนว่าปีเตอร์จะมีอุปกรณ์เวทมนตร์นับไม่ถ้วน แต่ในฐานะอัศวินหลวง เขาก็บังคับตนเองให้กลับมาจดจ่อกับการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่แสงสีขาวบริสุทธิ์ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลง อีวานอฟากีก็รีบหลบไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงการเป็นเป้าของนักเวท จากนั้นจึงใช้ดาบหนักฟาดฟันใส่ลูเซียนอีกครั้ง

เป็นอีกคราที่ใบดาบหนักๆ กระทบเข้ากับโล่เพลิงของลูเซียน โครงสร้างของโล่ถูกทำลายลง และความรุนแรงจากดาบหนักของอีวานอฟสกีก็ทำให้ลูเซียนมึนงงไปชั่วขณะ ทำให้เขาจดจ่อเพ่งสมาธิได้ยาก ดังนั้นช่วงเวลาพักก่อนร่ายเวทอีกครั้งจึงนานขึ้น

“แทรกแซงงั้นรึ นี่มันพรบริสุทธิ์สำหรับการล่านักเวทชัดๆ!” ในฐานะนักเวท แน่นอนว่าลูเซียนย่อมรู้เรื่องนี้ดี เขาจึงรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร

พร ‘แทรกแซง’ นี้สามารถรบกวนการร่ายคาถาของนักเวทและยังทำได้ถึงขั้นกำจัดเวทมนตร์ทิ้ง ดังนั้นมันจึงถือเป็นหนึ่งในพรที่ทรงอำนาจสำหรับการล่านักเวท และเพราะอีวานอฟสกีเป็นอัศวินนักบุญ พลังศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งทำให้พรของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก

แม้ว่าโล่เพลิงเกือบจะพังทลายลงแล้ว ลูเซียนก็ยังคงวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและวิธีการจู่โจมของอีวานอฟสกีอย่างใจเย็น แม้ว่าพละกำลังของเขาจะอยู่ในขั้นที่ห้าเป็นอย่างต่ำ แต่ข้อบกพร่องของเขากลับเป็นความเร็วและความคล่องตัว… ซึ่งมันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าขั้นที่สี่ เป็นไปได้มากว่าเขาจะใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อเสริมพละกำลัง อัศวินนักบุญที่มีพร ‘แทรกแซง’ มักจะมีเงื่อนไขมากกว่าปกติเมื่อเป็นเรื่องของการสวมอุปกรณ์เวทมนตร์หรืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ในหลายๆ กรณี พวกเขาจะสวมได้เพียงของชิ้นใหญ่ เช่น เสื้อเกราะ รองเท้าบู๊ตและถุงมือที่ลงมนตราเสริมไว้ไม่กี่อย่าง เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อพลังของตนเอง

ขณะถือไม้เท้าแอมบูลาไว้ในมือซ้าย ลูเซียนก็พยายามเพ่งสมาธิไปที่พลังจิต ดูเหมือนว่าประสบการณ์การต่อสู้กับ ‘จิตไขว้เขว’ เวทมนตร์ระดับหก จะช่วยพัฒนาพลังจิตของลูเซียนขึ้นเล็กน้อย ภายใต้การโจมตีรุนแรงจากอีวานอฟสกี ความเร็วในการฟื้นฟูดวงจิตของลูเซียนนั้นดูจะรวดเร็วกว่าที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้ ในที่สุด ช่วงเวลาพักการร่ายก็ผ่านพ้นไป

ตอนนี้อีวานอฟสกีใกล้จะทำลายโล่เพลิงได้สำเร็จแล้ว เขามั่นใจว่าตนสามารถพรากชีวิตของปีเตอร์ได้ด้วยการโจมตีครั้งถัดไป!

ทันใดนั้น อีวานอฟสกีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากตัวนักเวท เขาจึงไม่ลังเลที่จะหันหลังขวับและพุ่งตัวเข้าไปในช่องทางเข้า ‘โลกแห่งวิญญาณ’

กลุ่มแก๊สสีเขียวเหลืองตรงเข้าหาอีวานอฟสกี ทันทีที่เขาโดนมันเล็กน้อย อีวานอฟสกีก็พลันรู้สึกวิงเวียนและอ่อนแรง ทว่าเขาไม่ชะลอความเร็วลงสักนิด มันยิ่งกลับทำให้เขาจดจ่อกับเป้าหมาย นั่นก็คือช่องทางเข้า แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกจากร่าง แล้วอีวานอฟสกีก็กระโดดเข้าไปในช่องว่างนั้นได้สำเร็จ

อีวานอฟสกีรู้สึกโชคดีที่เขายังมี ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ให้หลบซ่อนกำบังตน และนี่ก็เป็นเส้นทางที่พระบิดาชี้บอกให้เขา มีเพียงผู้ที่พระบิดารักเท่านั้นที่จะรู้ได้ถึงเส้นทางนี้ สิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่มีทางรู้ได้แน่

ทันทีที่เขาเข้าไปใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ สีสันทั้งหลายก็เลือนหายไป เหลือเพียงสีดำ ขาว และเทาเท่านั้น ที่นี่เป็นโลกแห่งความเงียบงัน โลกแห่งสิ่งไร้ชีวิต

อีวานอฟสกียังคงวิงเวียนจากแก๊สพิษ ขณะกึ่งๆ นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาก็กระตุ้นพลังจากพรเพื่อขับไล่พิษออกจากร่าง น้ำหนองไหลออกมา แล้วพลังชีวิตของเขาก็ฟื้นฟูคืนกลับอย่างรวดเร็ว

เมื่อในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความวิงเวียนรุนแรงก็พลันเกิดขึ้น จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงในสมองที่ราวกับมีเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแทรกเข้ามาในหัว การจู่โจมนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของอีวานอฟสกีจนพรของเขาแทบจะช่วยอะไรไม่ได้

‘เวทลวงใจคน’ แบบพิเศษสำหรับต่อกรกับอัศวินโดยเฉพาะ!

เมื่อเห็นว่าลูเซียนยืนอยู่ตรงหน้าเขาใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ดวงตาของอีวานอฟสกีก็เบิกโพลง

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” อีวานอฟสกีไม่สามาถขยับตัวได้เพราะความวิงเวียนรุนแรง ดาบของลูเซียนฟาดฟันลงมายังรอยร้าวบนเสื้อเกราะของเขาที่เกิดจากการกัดกร่อนของแก๊ส

ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น ไม่มีความเสียหายอะไรที่ทิ้งไว้จากการฟัน แต่อีวานอฟสกีกลับรู้สึกว่ากระบวนการคิดและร่างกายเขาเริ่มช้าลง ราวกับภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวไปช้าๆ

นี่เป็นเพราะดาบ ‘น้ำค้างแข็ง’ ของลูเซียน ดาบใบนี้สามารถชะลอการเคลื่อนไหวของศัตรูได้

หลังจากฟาดฟันใส่เสื้อเกราะของอีวานอฟสกีไปสองครั้ง ลูเซียนก็ก้าวถอยหลังยาวๆ สองสามก้าว ก่อนจะชี้มือไปทางหมวกเกราะของอีวานอฟสกีซึ่งส่วนหนึ่งถูกแก๊สกัดกร่อนไปเช่นกัน จากนั้นลูเซียนก็ร่ายคาถา ‘ลำดับธาตุ’ และทำลายหมวกเกราะทิ้ง

ทันทีที่หมวกเกราะของอีวานอฟสกีหายไป ลูเซียนก็กระตุ้นพลังไปที่กำไลเชือกอัคคี บอลไฟขนาดเท่าศีรษะพลันพุ่งเข้าใส่ศีรษะของอีวานอฟสกี

อีวานอฟสกีช้าเกินไป เขาไม่อาจทำอะไรได้แล้วในตอนนี้

หลังเกิดการระเบิดขึ้นอย่างเงียบงัน ศีรษะของอีวานอฟสกีก็เต็มไปด้วยบาดแผล และเลือดของเขาที่ดูเป็นสีดำในตอนนี้ก็สาดกระเซ็นไปทั่ว

แต่ว่า ในฐานะอัศวินหลวงผู้หนึ่ง อีวานอฟสกีจึงยังไม่เสียชีวิต เขากลับหลุดจากผลพวงด้านลบจากดาบ ตอนนี้เขาสามารถขยับได้เร็วขึ้นแล้ว

ปัญหาเดียวก็คือตอนนี้สมองของเขายุ่งเหยิงไปหมด จึงตัดสินใจอะไรให้ถูกต้องได้ยากลำบาก สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือต้องวิ่งไปรอบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเป้านิ่ง

แต่โชคไม่เข้าข้างเขา บอลไฟอีกลูกที่ใหญ่กว่าเดิมพุ่งมากระทบศีรษะเขาอีกครั้ง

ควันรูปดอกเห็ดพลันพวยพุ่ง

บาดแผลสาหัสกับพิษที่ยังตกค้างอยู่ในตัวทำให้อีวานอฟสกีสิ้นชีพลงในที่สุด ร่างของเขาโซเซไปมาก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้น

อีวานอฟสกี อัศวินนักบุญขั้นที่สาม ตายแล้ว

ลูเซียนไม่คลายความระวังตัวลง เขาตัดศีรษะของอีวานอฟกีอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงผ่อนคลายลงในที่สุด

ลูเซียนเข้ามาใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ด้วยเหตุผลสองประการ นั่นคือเพื่อสังหารอีวานอฟสกี และเพื่อหลบเลี่ยงแก๊สพิษของตนเอง

การร่ายคาถา ‘เมฆพิษแกสตัน’ ในสถานที่แคบอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อตัวเขา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลูเซียนถึงไม่ใช้มันแต่แรก

“นี่มัน… ภาพสะท้อนของปราสาทเถาวัลย์แห้งนี่?!”

ในที่สุดลูเซียนก็มีโอกาสสำรวจมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนปราสาทของเคานต์วิตต์เป๊ะๆ มันทั้งกว้างใหญ่และเงียบงัน แต่ความแตกต่างเดียวก็คือมันไม่มีสีสันอื่นใดนอกจากดำ ขาว และเทา

ฉับพลันนั้น ลูเซียนก็ได้ยินเสียงใครสักคนหัวเราะ! ใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ นี้!

เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้านบน  ในมือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์อยู่

ชายหนุ่มผมสีเงินยวงผู้มีใบหน้างดงามแสนคุ้นตาสำหรับลูเซียน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีแดงและเสื้อโค้ตคอปกสูงสีดำ

เขาชูแก้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับ”

……………………………