ภาคที่ 4 บทที่ 46 คนร้าย

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เส้นขอบฟ้ามืดสนิท ราวกับกำลังย่างเข้ายามวิกาล เดิมทีเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเป็นเพราะสภาพอากาศ เมื่อรู้ว่าที่นี่เป็นยมโลกก็กระจ่างในบัดดล

“ข้าได้ยินว่ายมโลกไม่มีกลางวัน จริงหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถามประมุขมาร

ประมุขมารส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้าไม่เคยมาที่นี่”

เส้นทางที่พวกเขาเดินทางมาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ทั้งสองฝั่งของพวกเขาถูกขนาบข้างด้วยผืนป่าซึ่งมีหมอกหนาทึบเช่นกัน ตรงกลางเป็นทางเดินแคบและคดเคี้ยวเส้นหนึ่ง แลดูคล้ายกับเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านระหว่างหุบเขา

เยี่ยนเสี่ยวซื่อแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเดินเข้าไป

ประมุขมารเห็นว่านางมีท่าทางไม่ยี่หระ จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อหันหลังกลับมามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ก็มีเจ้าอยู่ด้วย จะกลัวทำไมเล่า”

ประมุขมารชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง

เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลี่ยิ้ม “เจ้าเอาชนะได้แม้กระทั่งประมุขศักดิ์สิทธิ์ ยมโลกก็คงมีอยู่เพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”

ประมุขมารชะงักฝีเท้าในทันใด แล้วมองนางด้วยสีหน้าหวาดระแวงและเคลือบแคลงใจ “เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว หรือว่าข้าอาจนัดแนะกับคนร้ายไว้แล้ว เพื่อจับเจ้ากับประมุขศักดิ์สิทธิ์ไปสังหารในยมโลก”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อกะพริบตาปริบๆ “เจ้าทำได้หรือ?”

ประมุขมารส่งสายตาให้นาง

ถ้าคิดจะสังหารพวกเจ้าทั้งสอง เขาคงลงมือไปตั้งแต่ครั้นอยู่ที่หุบเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้ามาในยมโลกแล้วค่อยลงมือให้คนเห็นหรอก ทว่าพวกเขาเข้ามาพร้อมกัน หากเหลือกลับไปเพียงคนเดียว เขาจะโยนความผิดพ้นตัวได้อย่างไร

เยี่ยนเสี่ยวซื่อรู้ว่าเขากำลังขู่ตน จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ทั้งสองเดินต่อไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่า…เหตุใดคนเหล่านั้นถึงถูกจับไปได้ พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ไหม?”

ประมุขมารตอบว่า “เหตุใดถึงถูกจับไปนั้นไม่แน่ชัด แต่ว่า…โอกาสรอดของพวกเขามีไม่มาก”

“เพราะอะไรหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม

ประมุขมารมองไปยังหุบเขาเบื้องหน้า พวกเขาอยู่ใกล้กับจุดหมายมากแล้ว “ที่นี่คือยมโลก พลังหยินเข้มข้น หากอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกินพลังที่สั่งสมมาและพลังหยาง คนทั่วไปไม่ถึงสิบสองชั่วยามก็ตายแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียร…อาจอยู่ได้นานกว่านั้นสักหน่อย แต่นั่นคือในกรณีที่คนร้ายไม่ได้ทำร้ายพวกเขา หากคนร้ายมีแผนการอื่น เกรงว่าพวกเขาคงไม่รอดแล้ว”

“โอ้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ความรู้ใหม่

เมื่อประมุขมารเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีวิตกกังวล จึงถอนหายใจออกมายาวๆ พลางบอกว่า “พวกเรามีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม เมื่อถึงเวลาแล้ว ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ พบความจริงหรือไม่ ข้าก็จะพาเจ้าออกมา”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อยกมือขึ้นชี้เขา แล้วชี้มายังตนเอง “พวกเราคงจะไม่เป็นไรกระมัง”

ร่างของประมุขศักดิ์สิทธิ์และประมุขมาร แต่พลังปราณดั้งเดิมในร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกกดเอาไว้ การอยู่ในยมโลกนานเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี

ประมุขมารพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ามีเวลาเล่นสนุกเป็นเพื่อนเจ้าแค่สิบสองชั่วยาม”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อเบ้ปาก “รู้แล้วน่า”

ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งสองก็เดินทางมาถึงหุบเขาแห่งนั้น หุบเขาถูกขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชัน ตั้งตระหง่านนับพันเริ่น[1] ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบร้างผู้คน

เยี่ยนเสี่ยวซื่อลูบแขน “เสี่ยวเจา เจ้ารู้สึกไหมว่าที่นี่หนาวเหลือเกิน”

ด้วยสภาพร่างกายของประมุขศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ลงไปอยู่ในบ่อน้ำพันปีอันหนาวเหน็บก็ไม่มีทางรู้สึกหนาว นั่นหมายความว่าบัดนี้ก็เหลือเพียงคำอธิบายเดียว นี่ไม่ใช่ความเย็นเยือกจากน้ำแข็ง หากแต่เป็นพลังหยิน

สายตาของประมุขมารกวาดมองไปคราหนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และขึ้นไปยืนขวางหน้าเยี่ยนเสี่ยวซื่อไว้ “มีคนมา”

พูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นบุรุษสองคนสวมชุดทางการพุ่งลงมาจากฟ้า ยมทูตใบหน้ารูปเหลี่ยมเอ่ยถามอย่างดุดันว่า “ผู้ใดบุกเข้ามาในยมโลก บอกชื่อเสียงเรียงนามมาบัดเดี๋ยวนี้!”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังของประมุขมาร พร้อมกับกระซิบถามว่า “พวกเขาเป็นใครกัน”

“ยมทูต” ประมุขมารตอบ

น้ำเสียงของเขามิได้ระคนความตื่นตระหนกหรือความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

ยมทูตเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของเขา จึงตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ในเมื่อคนผู้นี้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ก็หมายความว่าไม่ได้หลงเข้ามาในยมโลก เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ผู้ที่บังอาจบุกเข้ามาในยมโลกจักต้องตาย!

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วพุ่งเข้าใส่ประมุขมาร

ประมุขมารไม่คิดจะประมือกับพวกเขาแต่แรก แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังมารจากร่างของหนึ่งในยมทูต นัยน์ตาของเขาเย็นเยียบ ร่างของเขาซึ่งกำลังจะขยับหนีหยุดชะงัก เขาสะบัดแขนเสื้อ คว้าเข้าที่ลำคอของยมทูตคนนั้น ส่วนยมทูตอีกคนหนึ่งนั้นตกใจกับพลังมารซึ่งแผ่ซ่านออกมารอบตัวของเขาจนหนีเตลิดไป

ประมุขมารขยับเล็กน้อย ขลุ่ยหยกเลาหนึ่งหล่นลงมาจากร่างของยมทูตซึ่งถูกบีบคอ

ขลุ่ยหยกเป็นอาวุธวิเศษชนิดหนึ่งของเผ่ามาร จัดอยู่ในระดับสูง เทียบเคียงกับเครื่องมือวิญญาณได้ หากใช้ต่อสู้กับยอดฝีมือระดับไท่ซวีละก็ อย่าว่าแต่จะได้เปรียบ โอกาสเอาชนะนั้นมีสูงมาก

ประมุขมารวาดมือในอากาศเพื่อให้อาวุธวิเศษของเผ่ามารลอยเข้ามาในฝ่ามือ จากนั้นเขาก็ใช้พลังมารกระแทกคนผู้นั้นออกไป แต่กลับไม่ได้ทำให้เขากระเด็นไปกระแทกพื้นเฉกเช่นเพื่อนอีกคน แล้วจึงใช้พลังมารตรึงลำคอของเขาไว้ ปล่อยให้เขาลอยนิ่งกลางอากาศ

“พูดมา ใครเป็นคนให้ขลุ่ยหยกนี้แก่เจ้า เจ้าเกี่ยวข้องกับคนที่หายตัวไปอย่างไร”

“คนที่หายตัวไปอะไร…ข้า…ข้าไม่รู้….” ยมทูตถูกบีบเอาไว้ ทำให้ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก บุรุษตรงหน้าให้ความรู้สึกอันตรายเหลือล้ำ เขารู้สึกว่าตนเองอาจถูกป่นเป็นผุยผงคามือของอีกฝ่าย ใครๆ ก็รักตัวกลัวตาย ถึงจะเป็นคนของยมโลกก็ตามแต่ เขาก็ยังสั่งสมบุญกุศล เพื่อที่จะได้กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง

เยี่ยนเสี่ยวซื่อถามประมุขมารว่า “เจ้าสงสัยว่าเขาเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญมารคนนั้นหรือ? ขลุ่ยหยกเลานี้เป็นอาวุธวิเศษของเผ่ามารหรือ?”

“อืม” ประมุขมารตอบ สายตาพลางมองไปยังยมทูต “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ขลุ่ยหยกนี้เจ้าได้มาจากที่ใด”

“ขลุ่ยหยก…เก็บได้…พวกข้าเพิ่งเก็บได้…กำลังจะนำไปสืบสวนว่าใครทำ…อาวุธวิเศษของเผ่ามาร…หล่นไว้ที่นี่…พวกข้ากำลัง…ตามหาคนที่…บุกเข้ามาในยมโลก…” ขณะที่ยมทูตพูด สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังประมุขมาร เขาสัมผัสได้ถึงพลังมารอันแข็งแกร่งเกรียงไกรแผ่ซ่านมาจากร่างของอีกฝ่าย ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายถามเขาเช่นนี้ เห็นทีเขาคงไม่ใช่ผู้ที่นำขลุ่ยหยกเข้ามา

“ขอถามสักหน่อยว่าท่านคือ…” ยมทูตทำใจดีสู้เสือเอ่ยถาม

“เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ว่าข้าคือใคร” ประมุขมารพูดจบ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย ลำแสงสีดำพุ่งเข้าไปยังหว่างคิ้วของยมทูต ยมทูตก็หมดสติไป

ประมุขมารโยนเขาลง

“เขาเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม

ประมุขมารหยิบผ้าสีขาวสะอาดออกมาเช็ดมือซึ่งใช้จับคอขอยมทูต ริมฝีปากบางเหยียดพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ได้เป็นอะไร แค่หมดสติไปก็เท่านั้น”

เขาเดินมาถึงตรงหน้าของยมทูตอีกคนหนึ่งซึ่งหมดสติไปแต่แรก แล้วยิงลำแสงสีดำสายหนึ่งเข้าที่กลางหว่างคิ้วของเขา

ก่อนหน้านี้มีเพียงยมทูตที่ลบความทรงจำของคนอื่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ยมทูตกลับถูกลบความทรงจำเสียเอง

พวกเขาจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รวมไปถึงเรื่องการมีอยู่ของขลุ่ยหยกเลานี้ด้วย

“เสี่ยวเจา เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เยี่ยนเสี่ยวซื่อสังเกตเห็นว่าประมุขมารกำลังใช้ความคิด

ประมุุขมารกำผ้าซึ่งใช้เช็ดมือไว้หลวมๆ แล้วทำลายทิ้งจนเป็นควัน “ข้านึกถึงเรื่องหนึ่ง พวกเราเพิ่งเข้ามาในยมโลกก็เจอยมทูตแล้ว เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นไปได้ว่าทุกครั้งที่มีคนเข้ามาในยมโลก ก็จะตรวจสอบได้ พร้อมทั้งจะส่งยมทูตที่อยู่ใกล้เคียงมาตรวจสอบ หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดคนคนนั้นเข้ามาในยมโลกตั้งหลายครั้ง แต่กลับไม่ถูกพบเข้า”

ยกตัวอย่างเช่นเขา วันนี้เขาพบกับยมทูต ก็สามารถลบความทรงจำครั้งแรกได้ ทว่าครั้งที่สอง ครั้งที่สามนั้นไม่ใช่ เมื่อยมทูตถูกลบความทรงจำหลายครั้ง ก็ย่อมต้องมีจุดพิรุธเกิดขึ้น นอกเสียจากว่า…เขาจะมีคนช่วย มีคนช่วยเขาอำพรางเบาะแส

“เจ้าสงสัยว่าเขามีคนคอยช่วยเหลืออยู่หรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ใช่คนโง่ ใช้สมองเพียงน้อยนิดก็เดาออกแล้วว่าผู้บำเพ็ญมารเพียงคนเดียวไม่อาจทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติของร่างกายที่พิสดารอย่างเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ก่อนอื่นเขาต้องมีป้ายคำสั่ง แต่ป้ายคำสั่งมาจากผู้ใดกันเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไปขโมยมา ก็ยากที่จะตบตายมทูตทั้งหลายได้

“ถ้าเขามีคนคอยช่วยจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่กระจอกงอกง่อยกระมัง ไม่เช่นนั้นคงจะหลอกยมทูตไม่ได้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อทอดถอนใจ “จะไปตามหาพวกเขาจากที่ไหนละ”

“อีกไม่นานก็หาพบแล้ว” ประมุขมารมองขลุ่ยหยกในมือ ปลายนิ้วเคาะกลางหว่างคิ้วของตนเอง นำพาให้พลังมารไหลเข้าไปในขลุ่ยหยก ก็พบว่าขลุ่ยหยกเลานี้คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา ลอยลิ่วขึ้นไปบนฟากฟ้า

“ไปพร้อมกับมัน!” ประมุขมารพูด

“ข้า…ข้าบินไม่ได้!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเกาศีรษะ

ประมุขมารโอบเอวของนางไว้ กระโดดขึ้นกลางอากาศ แล้วขึ้นไปเหยียบบนขลุ่ยหยก

ขลุ่ยหยกนำพาพวกเขาข้ามหุบเขา ทะยานผ่านหมู่เมฆและม่านหมอกตรงไปยังนอกเรือนเงียบสงัดหลังหนึ่ง

เรือนหลังนี้ต่างจากทิวทัศน์อื่นๆ ที่พวกเขาผ่านมาระหว่างทาง ไม่เพียงประดับประดาไปด้วยไข่มุกราตรี ส่องแสงนวลสุกสว่าง แต่ในเรือนยังตกแต่งด้วยมวลบุปผาหลากสีสัน ส่งกลิ่นหอมละมุนไปตามสายลม

เยี่ยนเสี่ยวซื่อทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น “หอมเหลือเกิน เจ้าได้กลิ่นไหม ตลอดทางมาที่นี่ข้าไม่ยักจะได้กลิ่นอะไรนอกจากกลิ่นของดอกไม้”

สายตาเย็นเยียบของประมุขมารจ้องเขม็งไปยังประตูซึ่งปิดสนิท “ยมโลกปราศจากประสาทรับกลิ่น ที่เจ้าได้กลิ่นหอมนั้นไม่ใช่มาจากดอกไม้ แต่มาจากอาคม”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นจากประตูเรือน “ฮ่าๆๆๆ…น้อยครั้งนักที่จะมีคนมาที่นี่เป็นครั้งแรกแล้วจะรู้ตัวตนของข้า ทั้งยังมองอาคมของข้าออกอีก ประเสริฐนัก วันนี้มารดาภูติผีจักต้อนรับพวกเจ้าด้วยตนเอง!”

………………………………………………


[1] เริ่น (仞) เป็นหน่วยวัดความของจีนโบราณ มีความยาวเท่ากับประมาณเจ็ดถึงแปดชุ่น