ทันใดนั้นชูฮันก็มองไปซูเฟิงพร้อมกับยิ้มออกมา

 

“เอ่อ ท่านต้องการอะไร?” ซูเฟิงรู้สึกกลัวและเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของชูฮัน

 

“ใจเย็น!” ชูฮันตบไหล่ซูเฟิงและชี้ไปที่ปืนไรเฟิลสีทองในมือของซูเฟิง “อาวุธของนายนี่ มีชื่อมั้ย?”

 

ซูเฟิงรู้สึกกลัวพร้อมโอบปืนไรเฟิลด้ามยาวสีทองในมือ “ท่านกำลังทำอะไร นี่มันน่าอึดอัด!”

 

“ฉันรู้ นายไม่ต้องกังวล ฉันแค่จะถามชื่อ” ชูฮันมองไปที่ซูเฟิง ผู้ซึ่งเป็นศัตรูของศัตรูอย่างเงียบๆ “ฉันมีขวานของฉันแล้ว ฉันไม่สนใจอาวุธของนายหรอก!”

 

ซูเฟิงรู้สึกสงสัยและเหลือบมองอาวุธของตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้น “มันชื่อว่า นักฆ่าขนนก ตามที่สลักชื่อไว้”

 

ชูฮันที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วและแกล้งทำเป็นประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ชื่อเท่ดีนี่!” ซูเฟิงตอบรับ “เอ่อ”

 

แต่ตอนนี้จู่ๆชูฮันก็หยุดเดิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สายตาจริงจังอย่างมาก “ซูเฟิง สมมติว่านายเป็นกัปตัน นายจะทำโทษกลุ่มของนายยังไง?”

 

มองไปที่ท่าทางที่เปลี่ยนไปของชูฮัน ซูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จริงจังขึ้นมาเหมือนกัน “ผม? หลี่บี๋เฟิง?”

 

“ใช่” ชูฮันยิ้มยั่วเย้า “ก่อนอื่นเลือกคนมาสิบคนให้หลี่บี๋เฟิงทำการฝึกในฐานะรองหัวหน้า ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แค่ฝึกการโจมตีอย่างเดียว!”

 

“ดีครับ ท่าน” ซูเฟิงตื่นเต้นมาก แววตาเป็นประกาย “ผมชอบความคิดนี้ กลุ่มนักรบพายุ!”

 

“ในเมื่อไม่มีสมอง แล้วจะฝึกไปทำไม?” ชูฮันพูดอย่างตรงไปตรงมา

 

“มันก็สมเหตุสมผล” ซูเฟิงที่เหมือนโดนน้ำเย็นราดผ่าน ทำได้แต่เพียงพยักหน้าหากไม่นานเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง “มันควรมีชื่อ ชื่อของทีม? ที่เท่และเย่อหยิ่ง!”

 

“แน่นอนว่าฉันมี” ชูฮันยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “นักฆ่าขนนก เรียกว่าทีมนักฆ่าขนนก”

 

นักฆ่าขนนก กุ้งเสือดำ ความลับของพระเจ้า ทีมนักรบทั้งหลายของค่ายเขี้ยวหมาป่า…

 

จะออกไปครองโลก!

 

————

 

ในวันต่อมา…

 

จิตวิญญาณที่ได้รับการฟื้นฟูแล้วทั้งหนึ่งร้อยสี่สิบคนปรากฏตัวต่อหน้าชูฮัน หากตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างออกจากเมืองสุสานแล้ว เป้าหมายของพวกเขาคือมุ่งหน้าไปเมืองอันลูพร้อมกับการฝึกปีศาจที่ดำเนินต่อไป

 

ชูฮันมองไปที่กลุ่มคนตรงหน้าเขา หลายคนเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ได้พักเลยตลอดทั้งคืน ทว่าแววตาของทุกคนกลับเป็นประกายจ้า เต็มไปด้วยพลัง

 

มันเป็นความรู้สึกดีที่ได้ฆ่า นักรบไม่สามารถมีหัวใจที่เปราะบางได้แต่ความล้มเหลวเป็นครั้งคราวจะเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนา

 

“พวกเราคิดได้แล้วครับ!” ทุกคนพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงเสียงดังและเต็มไปด้วยพลัง

 

“ดี!” ชูฮันยิ้มมุมปาดทำให้ทุกคนตกใจกับแววตาของชูฮันที่ได้เห็น “หลิวยู่ติง เริ่มการลงโทษได้!”

 

กลุ่มคนพลันหยุดชะงัก อารมณ์พลุ่งพล่านอย่างแรง พวกเขาแทบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว!

 

หลิวยู่ติงยิ้มและเดินออกมาจากด้านหลัง แววตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น

 

——–

 

หนึ่งเดือนผ่านไป และตอนนี้มันก็เข้าสู่ต้นเดือนมีนาคมแล้ว

 

ถึงแม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในฤดูหนาวเนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงอย่างกระทันหันจากการมาถึงของโลกาวินาศ แต่มันก็ยังมีสัญญาณบางอย่างของการฟื้นตัว

 

ฤดูหนาวในครั้งนี้ทำให้คนจำนวนมากประสบกับความยากลำบากในการเอาชีวิตรอด การขาดแคลนอาหารส่งผลให้หลายคนอดอยากจนตาย การดำเนินการของค่ายหลายค่ายชะลอตัวลง คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งตัวเอง มีคนเริ่มตายมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายใหญ่ๆเริ่มมีอาชีพนักล่าผุดขึ้นมา

 

ณ เมืองอันลู พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าที่ตั้งห่างไกลออกไปจากตัวเมืองอันลู

 

การเดินทางของพวกเขาไม่ใช่แค่เพียงจัดการซอมบี้ตามคำสั่งของชูฮันก่อนจะแยกจากมา แต่ยังเป็นการต้องเดินทางมาถึงเมืองอันลูและมาที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าที่ในตอนนี้ค่อยๆก่อตัวหมู่บ้านขึ้นมา ถนนหนทางได้ทำการจัดล้าง โดยเฉพาะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ถนนถูกทำความสะอาดและการก่อสร้างต่างๆก่อเริ่มก่อตัวขึ้น

 

หยางเทียนค่อนข้างพอใจกับเสี่ยวเคินและคนอื่นๆที่พึ่งเข้าร่วมใหม่พอสมควร ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมคนมากมายที่มีความสามารถแข็งแกร่งจู่ๆถึงได้หน้ามุ่งหน้ามาที่นี้เพื่อเข้าร่วมกับเขาก็ตาม

 

ในตอนนี้ เสี่ยวเคินและคนอื่นๆที่อยู่ในทีมของหยางเทียนได้รวมตัวอยู่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าแล้ว เช่นเดียวกับอีกกลุ่ม…ทีมความลับของพระเจ้าที่นำโดยหลูปิงเซ่อก็รวมตัวอยู่เช่นกัน ทั้งสองทีมต่างเว้นระยะห่างกันพร้อมกับกระซิบคุยกันเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน

 

“ฮัลโหล?” จางโบฮั่นพูดใส่เสี่ยวเคิน “แล้วเราจะทำยังไงตอนนี้? คำสั่งที่หัวหน้าชูฮันให้เราไว้มันก็ไม่ชัดเจน คนพวกนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับหัวหน้าแต่สถานการณ์มันก็บอบบางและพวกเราก็ไม่มีทางที่จะสอบถามหัวหน้าได้เลย”

 

“ไม่มีหนทางในการถาม” เสี่ยวเคินมีท่าทางเศร้า “เราไม่ได้ระแวงมากเกินไปหรืออะไร แต่มันแปลกมาก จากการสังเกตของฉันแน่นอนว่าค่ายนี้ปัญหา และเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าชูฮันทิ้งร่องรอยเอาไว้ มันมีความเกี่ยวข้องของหัวหน้าชูฮันและค่ายนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้บริหารค่ายสูงสุดอย่างซางจิ่วตี้ที่มีสถาบันวิจัยทั้งหลายที่มาหาเธอเพื่อขอความร่วมมือ แต่ถูกเธอไล่ออกมาโดยอ้างว่าหัวหน้าชูฮันกับค่ายเขี้ยวหมาป่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และคนพวกนั้นมาหาผิดคน!”

 

“นี่คือจุดที่ฉันสนใจ!” จางโบฮั่นคิดไม่ตก “นายพูดว่าหัวหน้าชูฮันบอกให้ตามหาคนที่ชื่อหยางเทียน แต่ใช่หยางเทียนคนนี่มั้ย ใช่ฝ่ายเดียวกับเรารึเปล่า? แล้วค่ายเขี้ยวหมาป่าแห่งนี้เป็นศัตรูกับหัวหน้าชูฮันงั้นเหรอ?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้! และไม่มีทางที่เราจะถามหัวข้อที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ได้” เสี่ยวเคินส่ายหัวอย่างคิดไม่ตก ตามมาด้วยเสียงกระซิบจากทีมความลับของพระเจ้า “จางโบฮั่น เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลูปิงเซ่อ เธอลองถามอีกฝ่ายดูสิ?”

 

“อะไรน่ะ?!” จางโบฮั่นตกใจ “ทีมกุ้งเสือดำจะไม่รำคาญใจเหรอไง?”

 

“คิดดีแล้วเหรอที่พูดแบบนี้!” หน้าเสี่ยวเคินแดงก่ำ “ตอนนี้พวกเราทั้งสองทีมต่างก็จนทางกันหมด อีกอย่างพวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาถือตัว การร่วมมือคือสิ่งจำเป็น!”

 

“แม่ง!” จางโบฮั่นพูดอะไรไม่ออก จากนั้นก็หมุนตัวมองไปที่ทีมความลับของพระเจ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและลังเลที่จะตอบรับ “ก็ได้”

 

“พวกเรารอฟังข่าวดีนะนางฟ้า” สมาชิกในทีมกุ้งเสือดำหลายคนรีบพูดจาเอาใจจางโบฮั่น

 

หัวข้อการสนทนาของทีมความลับพระเจ้าในตอนนี้ก็คล้ายกับของทีมกุ้งเสือดำ เว้นแต่ว่าเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีข้อมูลมากกว่า

 

“ฉันนอนกับคนสนิทของซางจิ่วตี้มา” อู๋เจียช่าวผู้มีความสามารถอันลึกลับเอ่ยขึ้น

 

แป๊ะ! แป๊ะ!

 

กลุ่มคนพลันปรบมือทันที หลูปิงเซ่อเองก็เช่นกัน “สุดยอด! เร็วเข้า รีบพูดสิ่งที่นายได้ยินมา!”

 

ใบหน้าของอู๋เจียช่าวพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง แววตาของเขายังคงปรากฏร่องรองของความรู้สึกที่ค้างจากการได้หลับนอนกับผู้หญิงมา “น้องสาวคนนี่พิเศษจริงๆ!”

 

“เลิกสนใจสาวซะ! เข้าประเด็น!” หลูปิงเซ่อตบกระโหลกอู๋เจียช่าว