ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และมารยานั่งลงตรงข้ามกันและเริ่มหารือกัน

“มารยา เจ้ามีวิธีจริงๆรึ?”

ฉินอวี้โม่มองอสูรมายาตรงหน้าตนเองและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

จากสิ่งที่มารยากล่าวก่อนหน้านี้ สภาวะร่างกายของฉู่เจี๋ยซับซ้อนเป็นอย่างมาก ตอนนี้ที่มันบอกว่ามีทางแก้ไข ฉินอวี้โม่ก็เชื่อตามนั้นอย่างไม่ข้องใจ เพียงแต่นางสงสัยอย่างมาก เพราะในตอนนี้สีหน้าของมารยาดูยุ่งเหยิงสับสนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวิธีการที่ว่านี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“นายหญิง มันมีทางจริงๆ แต่มันอันตรายมาก ข้าไม่รู้ว่าควรพูดรึไม่..”

มารยาเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจอย่างจนปัญญาเล็กน้อย

เดิมทีมันก็มีความรู้มากมายพอสมควรและเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉู่เจี๋ยมาก่อน ดังนั้นมันจึงรู้วิธีหนึ่งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะทางร่างกายของเด็กหนุ่มได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวรุนแรงและอันตรายเกินไปเสียหน่อย มันจึงลังเลที่จะเอ่ยออกมา

“ว่ามาเถอะ”

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าสับสนของมารยา ฉินอวี้โม่จึงเอ่ยย้ำให้มันพูดออกมา วิธีที่มันกล่าวถึงน่าจะโหดร้ายเป็นอย่างมาก มันจึงมีท่าทียุ่งเหยิงเช่นนี้

“นายหญิง หากจะบรรยายวิธีการที่ข้าบอกด้วยสองคำ มันก็น่าจะเป็นการทำลายและสร้างใหม่”

มารยาทอดถอนหายใจเบาๆและกล่าวสิ่งที่มันรู้

การที่ฉู่เจี๋ยตกอยู่ในสถานการณ์นี้เป็นเพราะเส้นชีพจรของเขาถูกปิดกั้นและเขาไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น มารยารู้สึกได้ว่าเส้นชีพจรของฉู่เจี๋ยกำลังหดตัวลงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุที่พลังชีวิตของเขาค่อยๆหายไปทีละน้อย

เพราะเหตุนั้น หากต้องการช่วยรักษาให้ฉู่เจี๋ยกลับกลายเป็นปกติก็ต้องเริ่มจากการปรับเส้นชีพจรในร่างกายของเขา

ทางเดียวที่มารยารู้ก็คือการทำลายเส้นชีพจรของฉู่เจี๋ยก่อน จากนั้นก็ใช้วิธีการพิเศษเพื่อสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ เมื่อทำสำเร็จ ฉู่เจี๋ยก็จะกลายเป็นเหมือนคนทั่วไปและสามารถฝึกยุทธ์ได้เหมือนกับคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และอสูรมายาต่างก็รู้ดีว่าเส้นชีพจรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเส้นชีพจรที่เชื่อมต่อกับขั้วหัวใจและสมอง

ด้วยวิธีการที่ต้องทำลายเส้นชีพจรทั้งหมดในร่างกายของฉู่เจี๋ยนี้ หากเกิดความผิดพลาดใดๆขึ้น ฉู่เจี๋ยก็จะมีอาการทรุดลงและหายสาบสูญไปจากดินแดนแห่งนี้ตลอดกาล

ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่เป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดทรมานอย่างมาก ฉู่เจี๋ยเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีและไม่มั่นใจว่าเขาจะทนต่อความทุกข์ทรมานได้มากเพียงใด

เพราะเหตุนั้น แม้ว่ามารยารู้ว่ามีวิธีนี้อยู่ นางจึงไม่มั่นใจนักว่าควรพูดมันออกไปหรือไม่

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของมารยา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกตกใจและลังเลเล็กน้อยเช่นกัน

วิธีของมารยาเต็มไปด้วยความอันตรายและฟังดูแล้วว่าอัตราความสำเร็จมีไม่มากนัก การสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ไม่ต่างจากการเดินท่องอยู่ในนรกอเวจีซึ่งอันตรายอย่างที่สุด

“นายหญิง แม้ว่าวิธีนี้จะอันตรายมาก มันก็มีโอกาสสำเร็จอยู่ หากว่าเราหาสมุนไพรชนิดหนึ่งมาได้และให้ฉู่เจี๋ยกินมัน ต่อให้เส้นชีพจรของเขาจะถูกทำลายและสูญเสียพลังชีวิตเป็นการชั่วคราว มันก็สามารถช่วยให้เขามีลมหายใจอยู่ได้ภายในเวลาหนึ่งวัน ซึ่งหากเราสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ได้ภายในวันนั้น เราก็จะทำสำเร็จ”

มารยากล่าวเสริม อันที่จริงแล้วมันก็ต้องการช่วยฉู่เจี๋ยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรมันก็รู้สึกประทับใจในเด็กหนุ่มผู้นี้มาก เด็กหนุ่มรูปงามและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ไม่สมควรต้องตายเพียงเพราะสวรรค์กลั่นแกล้งเขา

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมา “สิ่งเหล่านี้ต้องให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ออกไปบอกวิธีนี้กับพวกเขากันเถอะ ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา”

“นายหญิง ท่านต้องบอกพวกเขาด้วยว่าหากต้องการใช้วิธีนี้จริงๆ พวกเขาจะต้องตามหาสมุนไพรที่มีชื่อว่าหญ้าฟื้นชีวา หลังจากพบสมุนไพรนั้น หากนายหญิงต้องการ ข้าก็จะช่วยเจ้าเด็กหนุ่มคนด้วยตัวข้าเอง”

มารยากล่าว มันไม่มีความคิดที่จะออกไปทว่าฝากให้ฉินอวี้โม่อธิบายกับฝ่ายของตระกูลฉู่

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับโดยไม่พูดอะไรให้มากความ จากนั้นร่างของนางก็กะพริบหายออกไปนอกคฤหาสน์เฟิงหัว

ณ ข้างนอกคฤหาสน์มิติ บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ต่างก็เริ่มร้อนรนใจกันแล้ว แม้ว่าบางคนไม่รู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นใคร พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่านางจะจากไปแล้ว

มีเพียงผู้อาวุโสสอง ผู้อาวุโสสี่และฉู่เจี๋ยเท่านั้นที่ยังคงใจเย็นและนิ่งสงบอยู่ พวกเขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนประเภทที่จะผิดคำพูดและหนีหายไปเฉยๆ

เมื่อฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง สีหน้าของอาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่ของตระกูลฉู่ก็แสดงความดีใจอย่างชัดเจน

“ท่านจอมยุทธ์ ตกลงว่าอย่างไร ท่านบอกพวกเราได้หรือไม่?”

เมื่อมองจอมยุทธ์ตรงหน้า แววตาของผู้อาวุโสทั้งสองก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและอธิบายให้ทั้งสองได้ฟังว่าวิธีการที่มารยาบอกนางคืออะไร

ขณะที่ทั้งสองฟังคำอธิบายรวมถึงเงื่อนไขที่แสนอันตราย ใบหน้าของพวกเขาก็เหยเกและหม่นหมองมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการที่สุดแสนจะอันตรายเช่นนี้ ‘ทำลายและสร้างใหม่’ อาจฟังดูเรียบง่ายธรรมดา ทว่ามันคือการเสี่ยงตายอย่างแท้จริง

สีหน้าของฉู่เจี๋ยในตอนนี้ก็ยังคงเรียบเฉยและไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขามองลุงสองและลุงสี่ด้วยแววตาอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“ท่านจอมยุทธ์…การสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่จะทำให้ข้ากลายเป็นคนปกติได้จริงๆรึ?”

ฉู่เจี๋ยเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเอื้อมมือไปแตะศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอดไม่ได้ “หากทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้ฝึกยุทธ์เหมือนคนทั่วไป แต่เจ้าจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็อันตรายอย่างมาก หากเจ้าต้องการจะลองดูจริงๆ เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”

ฉู่เจี๋ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่สร้างความมั่นใจและทำให้เขาคลายกังวลมาจากร่างของฉินอวี้โม่ เขายิ้มอย่างมีความคาดหวังและกล่าว “ท่านจอมยุทธ์ ตราบใดที่มีความหวังเพียงริบหรี่ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ถึงอย่างไรข้าก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ในเมื่อตอนนี้ยังคงมีประกายแห่งความหวัง ข้าจะไม่ลองดูได้อย่างไร ข้ารู้ว่ากระบวนการของมันจะเจ็บปวดอย่างมาก แต่มันก็คงไม่มากไปกว่าความทุกข์ทรมานในหัวใจของข้าในช่วงเวลาที่ผ่านๆมานี้หรอก”

เมื่อฟังคำพูดที่ชัดเจนและหนักแน่นของเด็กหนุ่ม แม้แต่อดีตนักฆ่าสาวอย่างนางก็รู้สึกสงสารและเอ็นดูเขามากขึ้น

นางเข้าใจความทรมานทางจิตใจที่อีกฝ่ายกล่าวถึง เพราะการที่นางได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูสี่ที่ไร้ค่าของตระกูลฉิน นางก็ย่อมรู้สึกได้ถึงความทรมานในหัวใจที่มากเกินต้านทานของอีกฝ่าย

การลืมตาดูโลกในดินแดนลึกลับเช่นนี้ หากเกิดในตระกูลธรรมดาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ทว่าหากเกิดมาในตระกูลใหญ่แต่ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้นั้น นั่นถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ต่อให้ทางตระกูลจะไม่รังเกียจ ข่าวลือจากโลกภายนอกก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความหวาดหวั่นในหัวใจได้แล้ว

“เสี่ยวเจี๋ย…”

ลุงสองและลุงสี่แห่งตระกูลฉู่อดเอ่ยออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของฉู๋เจี๋ย ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปอีก

พวกเขาทั้งสองจะไม่เข้าใจความคิดของฉู่เจี๋ยได้อย่างไร? แม้ว่าตระกูลฉู่ฟูมฟักดูแลเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและไม่เคยแสดงท่าทีไม่พอใจในตัวเขา ทว่าพวกเขาก็รับรู้ได้ถึงข่าวลือต่างๆจากโลกภายนอกได้อย่างชัดเจน

ถึงแม้ว่าฉู่เจี๋ยจะดูเป็นคนเรียบง่ายสบายๆและดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งใดมากนัก พวกเขาก็รู้ว่าฉู่เจี๋ยแสดงออกเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้พวกเขาทั้งสองต้องวิตกกังวล

ตอนนี้ฉู่เจี๋ยก็มีอายุสิบห้าปีแล้วและไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน บัดนี้เมื่อมีแสงแห่งความหวังเปล่งประกายขึ้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไป

“ท่านลุงสอง ท่านลุงสี่ ครั้งนี้ให้ข้าทำตามใจตนเองเถอะ”

ฉู่เจี๋ยมองผู้อาวุโสทั้งสองพร้อมรอยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่คัดค้าน ทว่าอย่างที่ท่านจอมยุทธ์กล่าวไว้ เราต้องหาหญ้าฟื้นชีวาให้ได้ก่อน ข้าจะส่งคนกลับไปบอกผู้นำตระกูลเกี่ยวกับเรื่องนี้และจะตามหาสมุนไพรนั่นให้ได้แม้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ตาม ไม่ว่าครานี้จะทำสำเร็จหรือล้มเหลว เราก็จะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่”

ผู้อาวุโสสองพยักศีรษะ เขาเข้าใจดีว่าควรทำอย่างไร

ฉู๋เจี๋ยพูดถูก ในเมื่อตอนนี้มีแสงแห่งความหวังส่องมา พวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

“น้องแปด เดินทางกลับไปที่จวนตระกูลทันที จงไปรายงานเรื่องนี้ให้ผู้นำตระกูลทราบและส่งคนไปตามหาหญ้าฟื้นชีวา เราจะล่วงหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงก่อน หากเจ้าพบสมุนไพรที่ว่านั่นแล้วก็ตามไปสมทบกับพวกเราที่จวนตระกูลเฟิง”

ผู้อาวุโสสองหันไปกล่าวกับบุรุษที่มีอายุในช่วงสามสิบปีเพื่อให้เขากลับไปที่ตระกูลและแจ้งให้ผู้นำตระกูลซึ่งเป็นท่านปู่ของฉู่เจี๋ยได้ทราบเรื่อง

“ขอรับท่านพี่”

บุรุษคนนั้นพยักศีรษะรับคำและเดินจากไป

“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว พวกเราก็ซาบซึ้งในน้ำใจของท่านมากจริงๆ ตอนนี้พวกเราเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิงกันก่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าเราจะได้ข่าวเรื่องหญ้าฟื้นชีวาภายในหนึ่งเดือน เมื่อถึงตอนนั้นเราจะส่งตัวเสี่ยวเจี๋ยให้ท่านรักษา”

ผู้อาวุโสสองยกมือคารวะฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจและแน่วแน่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฉินอวี้โม่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้หรือการที่คิดหาทางรักษาฉู่เจี๋ย มันก็เพียงพอให้คนตระกูลฉู่ซาบซึ้งใจอย่างที่สุด

หากฉู่เจี๋ยหายจากสภาวะที่เลวร้ายนี้ได้และกลับกลายเป็นเหมือนคนทั่วไป ต่อให้ต้องยกทั้งตระกูลฉู่ให้กับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็จะไม่ลังเล

“ท่านผู้อาวุโสสองไม่ต้องสุภาพกับข้ามากเกินไปหรอก ข้าแค่รู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวเจี๋ยและยินดีช่วย ข้าไม่ได้หวังให้มีบุญคุณต่อกันหรือหวังอะไรตอบแทนหรอก”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มและคิดเพียงว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินและฉู่เจี๋ยเผชิญกับชะตากรรมที่เหมือนกัน นางจึงอยากช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเลวร้ายนี้

อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวไม่รู้ตัวเลยว่านางแตกต่างไปจากชีวิตก่อนอย่างสิ้นเชิง

ในชีวิตก่อน นางเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬที่สังหารเป้าหมายอย่างเลือดเย็น แม้ว่านางไม่ใช่คนเย็นชาแต่ก็มีหัวใจที่โหดเหี้ยม ทว่าในชีวิตนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นและมีผู้คนมากมายที่เข้ามาในชีวิตซึ่งทำให้นางแตกต่างไปจากชีวิตก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าความแตกต่างนี้คือสิ่งที่ทำให้นางมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าเดิม อีกทั้งมันยังทำให้ผู้คนสนใจนางมากขึ้นและต้องการผูกมิตรสร้างไมตรีกับนาง แม้กระทั่งร่วมทุกข์ร่วมสุขฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน

“จะว่าไปแล้ว ท่านไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก เรียกข้าว่าอ้ายฉือเถอะ”

แน่นอนว่านางไม่สามารถใช้นาม ‘อวี๋โม่’ ได้อีกต่อไปและฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถนึกชื่ออื่นขึ้นมาได้ เมื่อนึกถึงหานโม่ฉือที่พลัดพรากจากกันไปนาน จู่ๆนางก็นึกชื่อนี้ขึ้นมาในทันที

‘อ้ายฉือ’ เป็นคำที่มีความหมายว่า ‘รักฉือ’ หากว่าหานโม่ฉือได้ยินชื่อนี้ เขาจะรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเป็นนาง

“ตกลง ท่านอ้ายฉือ”

ถึงแม้ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังคล้อยตามนางไป

“ข้ามีนามว่าฉู่ชิงซาน ส่วนเขาคือฉู่ชิงอวิ๋น ท่านอ้ายฉือเรียกแค่ชื่อของเราก็พอ”

พวกเขามองฉินอวี้โม่เป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ พวกเขาจึงสุภาพนอบน้อมอย่างยิ่ง ถึงแม้ฉินอวี้โม่บอกให้พวกเขาเรียกแค่ชื่อ พวกเขาก็ยังเรียกนางว่าท่านอย่างสุภาพเช่นเดิม

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร

คนตระกูลฉู่เป็นคนที่แสดงออกอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความสำนึกในบุญคุณหรือความขุ่นเคืองคับข้องใจ ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปลี่ยนใจพวกเขา

“พี่อ้าย”

ฉู่เจี๋ยตะโกนเรียกนางด้วยเสียงใสและพวงแก้มของเขาก็มีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา

“เสี่ยวเจี๋ย ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีชีวิตยาวนานและกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนนี้อย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่แตะศีรษะของเด็กหนุ่มรุ่นน้องและกล่าวอย่างมั่นใจ

ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะช่วยให้ฉู่เจี๋ยจัดการเรื่องราวที่เลวร้ายอย่างสุดความสามารถและช่วยให้เขากลับเป็นเหมือนคนปกติ

“ข้าก็เชื่อมั่นในตัวพี่อ้าย”

ฉู่เจี๋ยพยักหน้าหงึกๆด้วยแววตามั่นใจและไว้วางใจในตัวฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม

บรรยากาศความอบอุ่นแผ่ไปทั่วบริเวณในชั่วขณะหนึ่ง