ตอนที่ 114 โรคระบาดนี่ไม่มีทางรักษา

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

“ปีที่แล้วจู่ๆ ก็เกิดโรคระบาด พอระบาดมาถึงปิ้งโจว ท่านอ๋องก็พาคนหนีไป”

“โรคระบาด? เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เล่ามาให้ละเอียดซิ!”

สงสารก็แต่ชายคนนั้น ออกจากบ้านทีก็กลัวติดโรคระบาด กำลังคิดจะรีบกลับไปซ่อนตัวที่บ้าน จู่ๆ ก็มาเจอกับเทพแห่งความตายผู้นี้เข้าเสียก่อน

เขาไม่มีทางเลือกจึงจำต้องเล่าให้ฟัง

ถึงตอนนี้เวลาผ่านไปหกปีแล้ว ในช่วงหกปีที่ผ่านมามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมาย

ตามความคิดของเซียวเถี่ยเฟิง อู่อ๋องไม่จำเป็นต้องรบกับฮ่องเต้ที่เมืองเอี้ยนจิง เพราะเขาวางคนแทรกซึมเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฮ่องเต้ชราประชวรหนัก เหล่าองค์ชายต่อสู้แย่งชิงกัน อู่อ๋องก็จะฉวยโอกาสบุกยึดเมืองเอี้ยนจิงแล้วก้าวขึ้นครองราชย์ได้

องค์ชายไม่เอาไหนเหล่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด

แต่จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงกลับหายตัวไปเสียเฉยๆ พอเซียวเถี่ยเฟิงหายไป สถานการณ์ที่สมควรต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอนก็เริ่มคลอนแคลน อู่อ๋องเปิดศึกกับฮ่องเต้ที่เอี้ยนจิง แต่ยังรบกันได้ไม่ถึงสามปี ฮ่องเต้ก็สวรรคต เหล่าองค์ชายต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากต่อสู้กันเองแล้วก็ยังต่อสู้กับอู่อ๋องอีกด้วย

เดิมรบก็รบ สักวันย่อมต้องรู้ผลแพ้ชนะ แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาเพิ่งเริ่มต่อสู้กันก็เกิดอุทกภัยรุนแรง ทำให้กองทัพขององค์ชายถูกน้ำท่วมตาย

อู่อ๋องเห็นเหล่าองค์ชายตายไปทั้งที่ยังไม่ทันได้สู้ก็คิดว่าสวรรค์เข้าข้าง เขาจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ คิดไม่ถึงว่าหลังจากอุทกภัยก็มีแมลงศัตรูพืช แมลงไปแล้วก็มีโรคระบาด ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ทำให้ราษฎรต้องลำบากยากแค้นแสนสาหัส

“ตอนนี้คนในเมืองปิ้งโจวหนีไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คนแก่คนป่วยคนพิการที่เดินไม่ไหว ได้แต่รอความตายอยู่ที่นี่ บ้านข้ามีแม่ชราอายุเจ็ดสิบกว่า มีลูกหลายคน เมียข้าก็ป่วย ไม่มีปัญญาหนี เราก็เลยได้แต่ภาวนาขอให้ท่านยมบาลยอมละเว้นชีวิตเราเท่านั้น!”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ “หรือว่าโรคระบาดนี่ไม่มีทางรักษา หมอในเมืองเล่า?”

ชายผู้น่าสงสารถอนใจยาว

“ท่านจะรู้อะไร โรคระบาดครั้งนี้ แม้กระทั่งหมอหลวงในวังก็ยังหาทางยับยั้งไม่ได้! มีคนตายไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ทว่าทุกคนก็ได้แต่จนปัญญา”

พูดไปๆ จู่ๆ เขาก็พูดว่า “เมื่อก่อนเมืองปิ้งโจวเรามีหมอเทวดาท่านหนึ่ง หมอเทวดาท่านนั้นมีน้ำอมฤต ข้าได้ยินมาว่ามีคนที่เคยซื้อน้ำอมฤตมาเก็บเอาไว้ติดโรคระบาด พอดื่มเข้าไป แค่ไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ แต่ตอนนั้นท่านหมอเทวดาปล่อยน้ำอมฤตออกมาแค่นั้น จะพอให้คนกี่คนดื่มกัน? คนธรรมดาทั่วไปอยากดื่มน้ำอมฤต เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก”

น้ำอมฤต…

กู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงสบตากันแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ

กู้จิ้งคิดจะถามต่อ แต่ผู้ชายคนนั้นเห็นพวกเขาไม่ทันสังเกตก็รีบฉวยโอกาสเผ่นหนีไปทันที

“คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปหกปี แผ่นดินนี้กลับตกอยู่ท่ามกลางโรคระบาดเสียแล้ว” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางทอดถอนใจ

เป็นเคราะห์กรรมของราษฎรจริงๆ

“อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติ กำลังของมนุษย์ไม่อาจต้านทาน แต่โรคระบาดนี่ เราต้องคิดหาทางดู” กู้จิ้งกล่าวด้วยความงุนงง “หรือว่าน้ำอมฤตอะไรนั่นจะช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากโรคระบาดได้จริงๆ?”

เซียวเถี่ยเฟิงเองก็เคยช่วยเธอเคี่ยวน้ำอมฤต ย่อมรู้ดีว่ามันมีที่มาอย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อสักนิด

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราต้องลองดูสักครั้ง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของคนทั้งแผ่นดิน เราลองหาดูก่อนว่าจะหาคนที่ติดโรคระบาดได้ไหม จากนั้นค่อยคิดหาทางดูว่าจะมีวิธีอะไรรักษาได้บ้าง”

“ได้ พี่ล่ำ นายพูดถูก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราควรจะทำอะไร?”

“ไปหาอู่อ๋องก่อน ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว องค์ชายก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงแค่อู่อ๋อง เราจะไปขอให้อู่อ๋องช่วยเราเคี่ยวน้ำอมฤตแล้วแจกจ่ายให้ราษฎรทั่วแผ่นดิน”

“อืม ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปหาอู่อ๋องกันเถอะ” พอนึกขึ้นมาว่าผู้คนทั่วแผ่นดินกำลังตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวเพราะโรคระบาด กู้จิ้งก็อยากจะมีปีกบินเหลือเกิน

 

ปากบอกว่าจะไปหาอู่อ๋อง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิด ตอนนี้อู่อ๋องพาพระชายาลวี่หลัวไปเตรียมตัวขึ้นครองราชย์ที่เมืองเอี้ยนจิงแล้ว ในภาวะที่บ้านเมืองตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ราษฎรแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นนี้ สมควรต้องรีบมีฮ่องเต้ เพราะบ้านเมืองจะขาดผู้นำไม่ได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป บ้านเมืองต้องเกิดจลาจลแน่

เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งเร่งเดินทางไปยังเมืองเอี้ยนจิง แต่เดินทางไปได้ครึ่งวันก็ไปต่อไม่ได้อีก โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนมากมาย ใครๆ จึงพากันหอบครอบครัวหลบหนีไปที่อื่นเพื่อลี้ภัย แต่จะหนีไปที่ไหนได้ ในเมื่อแผ่นดินต้าเจามากกว่าครึ่งตกอยู่ในเงามืดของโรคระบาดเสียแล้ว

กู้จิ้งเห็นสีหน้าหวาดกลัวของทุกคน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

“กว่าเราจะไปหาอู่อ๋องที่เอี้ยนจิงพบ เกรงว่าคงจะมีชาวบ้านต้องตายอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ฉันว่าฉันหาวิธีแก้ปัญหาเองดีกว่า”

“ใช่” เซียวเถี่ยเฟิงมองกลุ่มควันสีดำที่ลอยมาจากบริเวณที่ห่างออกไป ในใจรู้ดีว่าเป็นควันไฟที่เกิดจากการเผาศพคนตาย เขากัดฟันพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราต้องหาทางยับยั้งโรคระบาดให้ได้”

ระหว่างที่พูด พวกเขาก็เห็นคนคนหนึ่งล้มลง

คนคนนั้นมีใบหน้าสีเทาซีด เส้นผมแห้งกรอบ รูปร่างซูบผอม คนอื่นๆ ซึ่งกำลังลี้ภัยเห็นเขาล้มลงก็พากันวิ่งหนีด้วยความตกใจ บางคนถึงกับร้องตะโกนว่า “เขาเป็นโรคระบาด ทุกคนรีบหนีเร็ว!”

เพียงพริบตาเดียว ทุกคนก็เผ่นหนีไปจนหมด

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่า หรือจะเป็นโรคระบาดที่ร่ำลือกัน? ว่าแล้วเธอก็หยิบถุงมือคู่หนึ่งออกมาสวม จากนั้นจึงหยิบหน้ากากสองชิ้นออกมาให้ตัวเองกับเซียวเถี่ยเฟิง สวมเสร็จแล้วค่อยเดินไปตรวจดูอาการคนคนนั้น

คนที่เป็นลมหมดสติมีใบหน้าซีดขาว ลมหายใจถี่กระชั้น พอเปิดเปลือกตาดูก็พบว่าดวงตาของเขาเป็นสีเหลือง บนลิ้นมีฝ้าขาว คอหอยบวมแดงจนดูไม่ได้ กำลังสงสัยอยู่ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นว่า บนลำคอตรงบริเวณคอเสื้อของคนคนนี้มีตุ่มแดงเต็มไปหมด กู้จิ้งกำลังคิดจะตรวจดูให้ละเอียด จู่ๆ ก็มีคนสองคนวิ่งมาถึง พวกเขาต่างมีท่าทางเร่งร้อน ศีรษะพันเอาไว้ด้วยผ้าขาว ดูคล้ายมัมมี่อยู่บ้าง

หนึ่งในนั้นเห็นกู้จิ้งเข้าก็ร้องตวาดว่า “คนคนนี้ติดโรคระบาด ยังไม่รีบถอยไปห่างๆ อีก!”

ระหว่างที่พูดเขาก็วิ่งมาถึงข้างกายคนป่วยแล้วลงมือตรวจดูลมหายใจกับชีพจรทันที

กู้จิ้งซึ่งถูกเบียดไปข้างๆ รู้สึกว่าเสียงของคนทั้งสองฟังคุ้นๆ อยู่บ้าง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดออก นี่ไม่ใช่ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูหรอกหรือ?

เธอรีบเดินเข้าไปทัก “ท่านหมอเฉิน? ท่านหมอหู?”

หมอทั้งสองกำลังตรวจอาการคนไข้อยู่ จู่ๆ ได้ยินหญิงสาวที่ด้านหลังเอ่ยทักก็พากันหันไปมองด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น พวกเขาก็ต้องตะลึงงันอยู่กับที่

“หมอ…หมอเทวดากู้? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าทั้งสองตกใจไม่น้อย

ถึงตอนนี้เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งหวาดระแวงคนทั้งคู่ตั้งแต่เห็นพวกเขาเบียดกู้จิ้งออกไปก็จำท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูได้เช่นกัน เขาขยับเข้ามาบังกู้จิ้งไว้เงียบๆ พลางถามเสียงเรียบ “ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหู? ท่านทั้งสองสบายดีหรือไม่?”

เดิมหมอทั้งสองต่างก็ตกใจที่ได้เห็นกู้จิ้งอยู่แล้ว พอเห็นเซียวเถี่ยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยิ่งตกใจจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เกือบจะล้มหน้าคว่ำอยู่ตรงนั้น

“มีอะไรหรือ?” กู้จิ้งงงมาก ต่อให้พวกเธอหายตัวไปหกปีก็ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนี้เลยนี่นา

คิดไม่ถึงว่าท่านหมอเฉินกลับมองกู้จิ้งด้วยสายตาตื่นตะลึง “ท่าน…ท่านหมอกู้? เจ้าเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนกันแน่? เจ้าๆๆ?”

กู้จิ้งตกใจ “ท่านหมอเฉิน พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

หรือตอนที่พวกเธอหายตัวไปจะมีเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้น ถึงทำให้หมอสองคนนี้เข้าใจผิดใหญ่โตแบบนี้?

ท่านหมอเฉินมองสีหน้าของกู้จิ้งแล้วก็ประหลาดใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

ที่แท้หลังจากกู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงหายตัวไปในห้องอย่างไร้ร่องรอย อู่อ๋องก็ส่งคนมากมายออกตามหา แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ ประกอบกับเหล่าองครักษ์และสาวใช้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองไม่ได้ออกจากห้องไปไหน ทุกคนจึงเชื่อว่าทั้งสองหายไปในห้องนี้เอง

เรื่องนี้ก่อให้เกิดข้อสงสัยมากมาย บังเอิญมีคนจากเมืองจูเฉิงเชิงเขาเว่ยอวิ๋นมาที่ปิ้งโจว พอได้ยินชื่อเสียงของหมอเทวดากู้ เขาก็เล่าเรื่องที่บ้านเกิดให้ฟัง เรื่องที่กู้จิ้งถูกเซียนพาตัวไปเลี้ยงดู พอฝึกวิชาเซียนสำเร็จก็กลับมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนจึงแพร่กระจายไปทั่ว

ยิ่งได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าน้ำอมฤตของหมอเทวดากู้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแดนเซียน

ส่วนเรื่องที่หมอเทวดากู้กับสามีหายตัวไป ย่อมเป็นเพราะสำเร็จเป็นเซียนไปแล้วนั่นเอง

ท่านหมอเฉินกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ศาลหมอเทวดาถูกสร้างขึ้นที่นอกเมืองปิ้งโจว มีผู้คนไปกราบไหว้มากมายเลยทีเดียว!”

แต่ท่านหมอหูซึ่งอยู่ด้านข้างกลับไม่ชอบหน้ากู้จิ้งสักเท่าไหร่ แถมยังไม่เชื่อเรื่องที่อีกฝ่ายสำเร็จเป็นเซียนอีกด้วย “หมอเทวดากู้ ตอนนี้โรคระบาดรุนแรงมาก เจ้ามีวิธีแก้ไขหรือไม่?”