เพราะว่าหานลี่จงใจเลี่ยงเมืองในละแวกนี้ ดังนั้นเส้นทางที่เลือกจึงล้วนเป็นสถานที่รกร้างไร้ผู้คน สองสามวันแรกยังคงปลอดภัยไร้อันตราย และไม่พบความยุ่งยากใดๆ

 

 

แค่บังเอิญเห็นผู้บำเพ็ญเพียรของชนต่างเผ่าขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีอยู่ไกลๆ ผ่านไปผ่านมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น

 

 

ดูจากทิศทางที่ผู้บำเพ็ญเพียรของชนต่างเผ่าเหล่านี้บินไป นั่นก็คือเมืองในละแวกนี้

 

 

หานลี่มองแล้วทำได้เพียงสั่นศีรษะ ไม่มีเจตนาจะเข้าไปเตือนสติอะไรเลยสักนิด

 

 

คนเหล่านี้มีพลังยุทธ์ต่ำต้อย อยู่แค่ระดับสร้างปราณและหลอมรวม หากเผชิญหน้ากับการโจมตีของเผ่าแมลงมีเขา แน่นอนว่าคงคิดจะหนีไปในเมืองหรือว่าอาศัยเขตอาคมส่งตัวส่งตัวไปที่อื่น ไม่ก็ขอให้ชนชั้นสูงในเมืองช่วยปกป้อง

 

 

ทว่าเมื่อหานลี่บินไปคนเดียวได้สิบกว่าวัน ในที่สุดก็มาพบกับกลุ่มนักรบชุดเกราะผู้ตรวจตราของเผ่าแมลงมีเขา

 

 

จำนวนคนไม่มากนัก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่ทุกคนล้วนขี่นกอินทรีสองหัวสีขาวหิมะ ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งของพวกเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิด คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในระดับหลอมรวม

 

 

หานลี่มองนักรบชุดเกราะเหล่านี้ แล้วรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง

 

 

หากเขาจำไม่ผิดละก็ ไม่ได้อยู่ใกล้กับเมืองใดๆ ในละแวกนี้ เผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้มาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวในที่รกร้างเช่นนี้

 

 

หานลี่รู้สึกฉงนสงสัย แต่คนที่เบื้องหน้าเหล่านี้กลับไม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด สังหารพวกเขาเป็นแค่เรื่องพลิกฝ่ามือเท่านั้น

 

 

แต่เขาที่พบเผ่าแมลงมีเขาก่อน กลับหลบซ่อนตัวอยู่ตั้งนานแล้ว ใช้สายตาส่งพวกเขาจากไปแล้วถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

 

เขามองไปยังจุดที่กองกำลังหายลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ลังเลอะไรอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีเดินหน้าต่อทันที

 

 

แต่หลังจากที่พบกับนักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขา สองสามวันต่อมา ก็พบกับกลุ่มที่สอง กลุ่มที่สาม กลุ่มที่สี่…

 

 

หานลี่บังเอิญกับกลุ่มลาดตระเวรของเผ่าแมลงมีเขาไปหลายครั้ง และค่อยๆ ชุกชุมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

แม้จะเป็นเพราะพลังยุทธ์ต่างกันเกินไป ไม่อาจพบร่องรอยของหานลี่ได้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ

 

 

หรือว่าเขตแดนแห่งนี้ จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าแมลงมีเขาหมดแล้ว

 

 

ในยามที่หานลี่รู้สึกระแวดระวังตัวอีกครั้ง ในเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองแสงมรกตหลายเท่า ซึ่งถูกเผ่าแมลงมีเขาโจมตีได้ไม่นาน ชนชั้นสูงของเผ่าแมลงมีเขาสามคนกำลังนั่งอยู่ในวิหาร และกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่

 

 

สตรีที่มีเรือนผมสีแดงก่ำ ชายชราร่างกายผ่ายผอม ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของเก้าอี้สีทอง

 

 

บนเก้าอี้กลับมีหญิงสาววัยเยาว์อายุประมาณยี่สิบกว่าปีนั่งอยู่

 

 

ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ช่างสะคราญนัก แต่ผิวกลับมีสีเงินอ่อนราวกับทอง ดวงตาคู่งามกลอกไปมา รูม่านตาเป็นสีม่วงทอง ทำให้ผู้คนที่มองมา รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา

 

 

หว่างคิ้วมีเขาเล็กๆ ยาวสองสามชุ่นงอกออกมา มันเป็นประกาย เผยความวิจิตรงดงามออกมา

 

 

ชายชราร่างกายผ่ายผอมและสตรีผมสีแดงล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตา แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวผู้นี้กลับมีท่าทีว่านอนสอนง่าย ท่าทางเคารพนบน้อม

 

 

“อันใด จนถึงตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้นหรือ?” ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันเอ่ยปากออก น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู แต่สีหน้ากลับเย็นเยียบ

 

 

“รายงานนายท่านอิน กลุ่มลาดตระเวนทั้งหมดยังไม่ส่งข่าวมา คนผู้นี้น่าจะหาที่หลบซ่อนตัว เช่นนั้นละก็ หากจะหาคนผู้นั้นให้พบ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย” ชายชราร่างกายผ่ายผอมตอบกลับอย่างเคารพนบน้อม

 

 

“หลบอยู่ เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเผ่าของพวกเรากำลังเริ่มทำการโจมตีเมืองในละแวกนี้ เขาน่าจะรู้ดี พวกเราต้องการควบคุมพื้นที่แห่งนี้ ต่อให้เขามีพลังยุทธ์สูงส่งขนาดไหน สุดท้ายก็มีเพียงแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเริ่มโจมตีเมืองในละแวกนี้ และจะพบกับมัจฉาตัวใหญ่ขนาดนี้ หากจับเป็นคนผู้นี้ได้จริงๆ พวกเราจะต้องตกรางวัลอย่างงาม” หญิงสาวขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

“คนผู้นี้มีความสำคัญต่อสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ นายท่านน่าจะรู้ ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีออกไปจากที่นี่ได้ ข้าได้วางกำลังคนเอาไว้จำนวนมาก ปิดผนึกพื้นที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีกำลังคนอีกสองกลุ่มที่รอคอยคำสั่งอยู่ตลอดเวลา ขอแค่มีข่าว พวกเขาก็จะถูกส่งตัวไปทันที แม้ว่าวิธีการส่งตัวจะได้รับข้อจำกัดเรื่องระยะทาง และยิ่งไปกว่านั้นยังสิ้นเปลืองมาก แต่เพื่อคนผู้นี้ แน่นอนว่าย่อมคุ้มค่า” สตรีผมสีแดงเอ่ยปากอย่างนอบน้อม

 

 

“อืม เช่นนั้นข้าก็วางใจ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ทูตเทียนถูเองก็ให้พวกเราร่วมมือ หยุดใครสักคนมิใช่หรือ?” หญิงสาวพยักหน้า แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

 

 

“ขอรับ! อรหันต์ถูส่งภาพเหมือนมาให้พวกเราม้วนหนึ่ง ให้กองกำลังลาดตระเวนแต่ละเมืองคอยจับตาดูคนผู้นี้ บอกว่าเป็นเผ่าเบื้องบนระดับเจ็ด แต่ในตัวมีของสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของพวกเขาอยู่” ชายชราร่างกายผ่ายผอมลังเลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างสัตย์จริง

 

 

“หึ พวกเขาช่างไร้ประโยชน์นัก ทั้งสองคนอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวแล้ว แต่ยังปล่อยให้เผ่าเบื้องบนจิ๊บจ๊อยคนหนึ่งหนีไป หากไม่ใช่เพราะเดิมทีก็มีแผนจะปิดตายที่นี่ ข้าย่อมไม่มีทางสนใจคำขอนี้” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างเหยียดหยามเล็กๆ

 

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาว ชายชราและหญิงสาวผมสีแดงก็เหลือบตามองกัน แต่กลับไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา

 

 

“ทว่าข้าเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง อาวุโสส่งพวกเขาสองคนมาที่นี่ เพราะอยากแย่งสิ่งใดกันแน่ แม้กระทั่งให้ข้านำเรือสงครามระดับป้อมปราการไปให้เขาลำหนึ่งอย่างไม่เสียดาย ทำให้แผนการเดิมเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้จึงยังไม่อาจครอบครองพื้นที่แห่งนี้ได้ทั้งหมด” หญิงสาวแซ่อินหัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะรู้สึกไม่พอใจชายชราแซ่ถูและพวกเป็นอย่างมาก

 

 

“นายท่าน! เรื่องเรือสงครามระดับป้อมปราการนั้น ท่านอาวุโสเป็นผู้รับสั่งด้วยตนเอง พวกเราไม่อาจต่อต้านได้ ในเมื่อท่านอาวุโสให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ คิดดูแล้วการแย่งชิงของมาจะต้องมีประโยชน์ต่อเผ่าเราเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องกำลังคนไม่พอนั้น โชคดีที่เผ่าได้มอบหุ่นเชิดสงครามให้พวกเรามากองทัพหนึ่ง เพียงพอจะทำให้พวกเราควบคุมพื้นที่แห่งนี้ได้ ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงสองเมืองที่ยังไม่ถูกยึดครอง แต่ก็ถูกล้อมเอาไว้แล้ว” สตรีผมแดงตอบกลับอย่างระมัดระวัง

 

 

“หุ่นเชิดสงครามเหล่านั้นก็พอใช้งานได้ แต่ใช้ได้เพียงในการต่อสู้เท่านั้น ใช้ตรวจตราหรือไล่ล่าล้วนไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ปิดผนึกพื้นที่นี้ไว้ ก็ใช้กำลังคนไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนเมืองอีกสองเมืองที่ยังไม่ได้โจมตี พลังการป้องกันก็ไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้ก็ยังจัดการไม่ได้ ดูแล้วคงไม่อาจยืดเวลาต่อไปได้แล้ว พวกเราต้องจัดการที่นี่ให้ได้ก่อนที่ทัพเสริมของเผ่าจะมาถึง เพื่อจะได้สร้างความดีความชอบให้กับเผ่าเรา! ดูแล้วจำต้องลงมือเองสักตั้งแล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรายงานกับท่านอาวุโสได้” หลังจากที่หญิงสาวขบคิด แววตาก็ฉายแววเย็นเยียบขณะเอ่ย

 

 

“หากนายท่านจะลงมือเองละก็ เช่นนั้นอีกสองเมืองก็ย่อมถูกจับอยู่แล้ว!” ชายชราพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มประจบประแจง

 

 

“ตกลงตามนี้! เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ พรุ่งนี้จะโดยสารเรือสงครามไป” หญิงสาวแซ่อินกวาดสายตาไปยังลูกน้องทั้งสองของตน แล้วออกคำสั่ง

 

 

“ขอรับ!”

 

 

“รับคำบัญชา!”

 

 

สตรีผมสีแดงและชายชราร่างกายผ่ายผอมย่อมค้อมตัวลงรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว

 

 

……

 

 

ครึ่งเดือนต่อมาหานลี่อยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์ในป่าลึกตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง บนร่างสวมผ้าโปร่งสีดำ เก็บกลิ่นอายเอาไว้อย่างมิดชิด ในเวลาเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

เห็นเพียงบนท้องฟ้าไม่ไกลนัก มีเกาะสีเงินขนาดเล็กที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสองเกาะปรากฏขึ้น

 

 

รูปร่างภายนอกของ ‘เกาะสีเงิน’ ทั้งสองเกาะ ดูคล้ายคลึงกับที่เมืองแสงมรกต แต่มีขนาดแค่สองสามร้อยจั้งเท่านั้น แต่เช่นนั้นรอบๆ เรือสงครามขนาดเล็กทั้งสองของเผ่าแมลงมีเขา ก็มีนักรบชุดเกราะสีเงินและอินทรียักษ์สองหัวบินวนเวียนอยู่เต็มไปหมด

 

 

เผ่าแมลงมีเขาวางเขตอาคมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับแค่เพื่อชนต่างคนคนหนึ่งที่ถูกพวกเขาล้อมเอาไว้เท่านั้น

 

 

คนผู้นี้มีผมยาวยุ่งเหยิงสีดอกเลา ใบหน้าแปลกประหลาด อายุประมาณห้าสิบหกสิบปี สองมือไพล่หลังเหยียบอยู่บนเรือเหาะทรงกระสวยไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ส่วนด้านข้างของคนทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดรูปอสูรตัวหนึ่ง

 

 

ตัวหนึ่งกายเป็นอาชาหัวเป็นมังกรวารี แผ่นหลังมีปีกงอกออกมา เรือนกายเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ ขนาดสองสามจั้ง นอกจากนี้หัวหนึ่งกลับเป็นสิงโตประหลาดเจ็ดหัว หัวหนึ่งใหญ่อีกหกหัวเล็ก ท่าทางน่าดุดัน กลับมีขนาดยี่สิบจั้งเศษ

 

 

แค่ดูก็รู้ว่าหุ่นเชิดทั้งสองตัวไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย

 

 

ส่วนคนของเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ในบริเวณรอบก็ไม่กล้าลงมือง่ายๆ ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันจุดนี้

 

 

หานลี่มองไปในใจกลับอดพึมพำไม่ได้

 

 

ต้องเข้าใจว่าเดิมทีเขาเพิ่งจะพบเรือสงครามและคนของเผ่าแมลงมีเขาจำนวนมาก ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง

 

 

แต่ทันใดนั้นก็พบว่าในบรรดาคนของเผ่าแมลงเหล่านี้ไม่มีผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาขึ้นไปปะปนอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังรายล้อมชนต่างเผ่าแปลกหน้าอยู่คนหนึ่ง ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกสนใจ หนีไปในบริเวณใกล้เคียงอย่างเงียบเชียบ แล้วจับตาดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ

 

 

พลังยุทธ์ของชนต่างเผ่าผู้นี้ หานลี่มองปราดเดียวก็มองออก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่ง

 

 

แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากหุ่นเชิดทั้งสองตัวข้างกาย กลับอยู่ในระดับหลอมสุญตา และยิ่งไปกว่านั้นตัวหนึ่งยังอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง อีกตัวหนึ่งกลับแข็งแกร่งกว่า อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย

 

 

หุ่นเชิดสองตัวที่แข็งแกร่งนี้ทำให้หานลี่รู้สึกใจสั่นสะท้าน แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์ก็คือ มีหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เหตุใดชนต่างเผ่าผู้นี้ไม่ควบคุมพวกมันให้สังหารนักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาและอินทรียักษ์ แต่กลับยืนกรานต่อกันเช่นนี้!

 

 

อินทรียักษ์เหล่านี้และนักรบชุดเกราะมีอยู่จำนวนมาก แต่ในนั้นมีตัวที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดแค่ระดับเทพแปลงสองสามตัวเท่านั้น

 

 

ปัญหาเดียวก็คือ เรือสงครามที่ไม่รู้ว่ามีพลังด้านในเท่านั้น

 

 

หานลี่ขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว

 

 

และในตอนนั้นเอง หัวที่ถูกชนต่างเผ่าล้อมรอบอยู่กลางอากาศพลันกวาดสายตาไปที่นักรบชุดเกราะและอินทรียักษ์ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ในที่สุดหุ่นเชิดสองหัวก็เคลื่อนไหว

 

 

อสูรประหลาดร่างเป็นอาชาหัวเหมือนมังกรวารีสบายปีกทั้งสองออก ปีกคู่นั้นกลายเป็นใบมีดยักษ์สองใบ เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป

 

 

ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวก็จมหายไปด้านใน

 

 

ทุกแห่งที่กวาดไป อินทรียักษ์สิบกว่าตัวและนักรบชุดเกราะจะแยกออกเป็นสองส่วน

 

 

หุ่นเชิดสิงโตประหลาดตัวนั้น หัวทั้งเจ็ดอ้าปากออก เพลิงลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างเนืองแน่น ชั่วพริบตาก็ผนึกรวมกัน กลายเป็นทะเลเพลิง กลืนกินศัตรูที่อยู่อีกฝั่งเอาไว้จนหมด

 

 

นักรบชุดเกราะที่อยู่รอบด้านพลันตะลึงงัน จากนั้นหัวหน้าสองสามคนก็ร้องตะโกน นักรบชุดเกราะทั้งหมดชูมีดอาวุธขึ้น ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปที่หัวของหุ่นเชิดทั้งสอง

 

 

ส่วนอินทรียักษ์เหล่านั้นพลันหมุนวนอยู่กลางอากาศ กระโจนเข้าไปหาหุ่นเชิดในเวลาเดียวกัน

 

 

ยามนั้นรอบด้านพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงระเบิดออกมาไม่หยุด การต่อสู้ปะทุขึ้น!