ภาคที่ 4 บทที่ 50 ความในใจ

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

“ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน” ประมุขมารเอ่ยขึ้นทันใด

เยี่ยนเสี่ยวซื่อเหลือบมองเขาอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็หันไปมองผู้บำเพ็ญมารและมารดาภูติผีซึ่งอยู่ด้านข้าง

ความปวดร้าวเหลือแสนปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองคน

มารดาภูติผีกล่าวว่า “ในวันนั้น หวนหลางและสือโถวน้อยถูกสายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมา หวนหลางปกป้องสือโถวน้อยไว้ในอ้อมอก แต่สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บ หวนหลางใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาสือโถวน้อยไปยังโรงหมอ ทว่าพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลเป็นอย่างไร”

ผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่งพาเด็กเผ่ามารอีกคนหนึ่งไปยังโรงหมอในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะเกิดเรื่องอะไรตามมาย่อมเดาได้ไม่ยาก

เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่จำเป็นต้องฟังต่อ ก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งใด

คุณสมบัติของร่างผู้บำเพ็ญมารนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียร กอปรกับระดับพลังของหวนหลางก็มิได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องลูกชาย เขาย่อมต้องต้านทานสายฟ้าสวรรค์นั้นได้เป็นแน่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาถ่ายทอดพลังทั้งหมดไปที่ลูกของเขา

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สิ้นใจคาที่ ทว่าเขาบาดเจ็บหนัก ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะไม่เกรงกลัวเขาอีกต่อไป

ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะมิได้ปล่อยเขาไปเพียงเพราะเขาบาดเจ็บ คนพวกนั้นต่อยตีเขา รังแกเขา จับอาวุธขึ้นมาปลิดชีพเขา กำปั้นระรัวใส่ร่างของเขาดุจหิมะโปรยปราย เขาไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่คุกเข่าอยู่หน้าโรงหมอนิ่งๆ อ้อนวอนให้หมอช่วยชีวิตลูกชายที่หายใจรวยริน

ตราบจนทุกวันนี้ มารดาภูติผียังจดจำชื่อหมอเหล่านั้น รวมไปถึงผู้บำเพ็ญเพียรที่มีส่วนร่วมในการกลุ้มรุมสองพ่อลูกได้แม่นยำ

“ชาวบ้านกับผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น…ล้วนเป็นผู้ที่มุงดูและทุบตีพวกเขาในปีนั้นหรือ?”

“ไม่เพียงเท่านี้หรอก…” มารดาภูติผีสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มพลางน้ำตาไหลริน “คนธรรมดาข้าล้วนปล่อยไปแล้ว พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่คนในโรงหมอเป็นใคร…พวกเขาไม่ใช่หมอหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาคนป่วยด้วยจิตอันเปี่ยมเมตตาหรอกหรือ? อีกทั้งผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้น…”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าใจแล้ว ยามนั้นมีผู้คนมากมายอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้ที่ประดังล้อมทำร้ายพวกเขามีมากมาย แต่นางลงโทษเพียงคนในโรงหมอกับผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้น

ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปไม่ว่าจะมามุงดู หรือว่ามาร่วมประสมโรง มารดาภูติผีล้วนไม่แตะต้อง

“เดิมทีหวนหลางไม่จำเป็นต้องตาย…ลูกชายของข้าไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้…หากพวกเขา…หากพวกเขา…” มารดาภูติผีร้องลั่นอย่างเสียสติ

“ไม่ต้องพูดแล้ว! ไม่ต้องพูดแล้ว!” ผู้บำเพ็ญมารเข้าไปโอบไหล่มารดาภูติผี หยาดน้ำตาร้อนกรุ่นไหลรินออกมา

สือโถวน้อยเกิดมาเป็นมาร ไม่อาจกลับไปยังสังสารวัฏเฉกเช่นผู้บำเพ็ญมาร เมื่อตายไปแล้ว เขาก็จะสลายไปจากภพภูมิทั้งหก

มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารหวังว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างลูกชายไปจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังจากที่เขาส่งลูกชายไปแล้ว มารดาภูติผีก็จะส่งเขาตามไป…

มารดาภูติผีพลิกมือคว้าข้อมือของผู้บำเพ็ญมาร เอนกายซบอกผู้เป็นสามี แล้วมองไปยังประมุขมารและเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ประมุขมารมือเปื้อนเลือดไปนานแล้ว ทว่าดวงตาของคุณชายคนนี้ยังคงเป็นประกายใส

มารดาภูติผีแค่นหัวเราะแดกดัน บอกกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อว่า “บางทีคุณชายอาจคิดว่าคนเหล่านั้นไม่ควรถึงกับต้องตาย แต่ข้าจะบอกให้ว่าข้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่ฆ่าพวกเขา!”

เยี่ยนเสี่ยวซื่ออ้าปากพะงาบ ไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร

เยี่ยนเสี่ยวซื่อหาใช่ผู้พิทักษ์ความเที่ยงธรรม นางไม่รู้สึกเห็นใจคนพวกนั้นแม้แต่น้อย นางเพียงแต่สงสารเด็กคนนี้ ในบรรดาทุกคนในเหตุการณ์นี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นผู้บริสุทธิ์

เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังเด็กและกระต่ายในเรือน

ขนมหูหลัวปัว(แคร์รอต)ชิ้นแรกหมดไปแล้ว เด็กชายตัวน้อยจึงควานหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาป้อนมัน

ในตอนนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงสังเกตเห็นว่ามีรอยแผลเป็นอยู่บนร่างของกระต่ายตัวนั้น

มารดาภูติผีสะอื้นไห้ “เป็นกระต่ายที่เขาเก็บมาจากข้างทาง ตอนนั้นมันถูกศรธนูยิง เขาจึงช่วยมันกลับมา ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นสัตว์ตัวที่เท่าใดที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ เขาช่วยผู้อื่นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ใครบ้างเล่าจะช่วยเขา”

“เป็นอะไร เจ้าเศร้าใจหรือ?” อยู่ๆ ประมุขมารเอ่ยถามเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งนิ่งเงียบไป

เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้า

นางไม่ได้เศร้าใจเพราะคนที่หาเรื่องใส่ตัวเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับผลของการกระทำที่หนักหนาสาหัสกว่าโทษที่ควรได้รับ แต่พวกเขาก็ทำความผิด “สือโถวน้อยผิดอะไร เขาเกิดมามองไม่เห็นก็น่าสงสารมากพอแล้ว…”

ประมุขมารไม่ได้พูดอะไร

หัวใจของเขาแข็งประหนึ่งเหล็กกล้า มิได้รู้สึกสะท้อนใจเพียงเพราะเรื่องประเภทนี้

ตอนนั้นเขายังเด็ก ยามที่ครอบครัวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้ามา ก้นบึ้งในใจของเขายังคงเหลือเศษเสี้ยวสุดท้ายของความอ่อนโยนอยู่

แต่นางกลับต่างออกไป

นางเป็นดรุณีน้อยที่รักความยุติธรรมมากมาแต่ไหนแต่ไร

“แม้ว่าข้าจะไม่มีวิธี แต่…เขาน่าจะมี” ประมุขมารส่งสายตาไปยังร่างในตะกร้าสะพายหลัง

“เจ้าหมายถึงประมุขศักดิ์สิทธิ์หรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกะพริบตาปริบๆ

ประมุขมารเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หวังว่าเขาจะมีวิธี ไม่เช่นนั้นคงเสียแรงที่ข้าคิดว่าเขาเก่งกาจ”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลอกตาวน ไม่ว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์จะมีหรือไม่มีวิธี เขาไม่มีทางให้มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารล่วงรู้ว่านางและประมุขศักดิ์สิทธิ์สลับตัวตนกัน นางกระแอมเบาๆ แล้วพูดกับทั้งสองว่า “พวกท่านทบทวนตนเองอยู่ที่นี่ก่อน พวกข้าจะเข้าไปดูว่ามีวิธีช่วยสือโถวน้อยหรือไม่”

มารดาภูติผีได้ยินว่าพวกเขาจะช่วยลูกของตน นัยน์ตาก็พลันเป็นประกาย “จริงหรือ? คุณชาย!”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อตอบว่า “ข้าไม่รับปากว่าจะช่วยได้ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนดีใจไป! อีกอย่าง ขณะที่พวกข้ากำลังช่วยสือโถวน้อย พวกท่านห้ามแอบมองเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นถ้าข้ารู้ ข้าจะสังหารเขาเสีย!”

เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับวิชาเฉพาะตัวและการถ่ายทอดจากสำนัก การฉกฉวยความสามารถของผู้อื่นนับว่ามีโทษมหันต์ มารดาภูติผีพยักหน้า นางเองก็รู้ขอบเขตข้อนี้ดี จึงไม่รอช้าตอบตกลงในทันใด

อันที่จริงไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็จะลองรักษาดู อย่างไรเสียนอกจากพวกเขาทั้งสอง ก็ไม่มีผู้ใดยินดีรักษาสือโถวน้อยแล้ว

ประมุขมารทำลายข่ายอาคมป้องกันเสียงของมารดาภูติผีอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงแผ่ข่ายอาคมใหม่ เช่นนี้ต่อให้มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารอยากสอดแนมก็ไม่อาจทำได้

เสียงฝีเท้าดังขึ้น

เด็กชายตัวน้อยหันหน้าไป “ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่มาแล้วหรือขอรับ?”

ยามที่ผู้บำเพ็ญมารมาเยี่ยมสือโถวน้อย ขอเพียงมารดาภูติผีมากับเขาด้วย เขาก็จะบอกลูกชายว่าท่านแม่ก็อยู่ที่นี่ เพียงแต่ท่านแม่ไม่อาจพูดคุยหรือกอดเขาได้ เพราะว่า…ท่านแม่ป่วย เกรงว่าจะนำโรคมาติดเขา

มารดาภูติผีพูดไม่ได้ และไม่อาจเข้าใกล้ลูกชายตัวน้อย แต่นางสามารถส่งเสียงฝีเท้า ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้านอกเหนือจากเสียงฝีเท้าของท่านพ่อ เด็กชายตัวน้อยก็จะคิดว่าเป็นท่านแม่ด้วยความเคยชิน

เหตุที่เขามิได้คาดเดาว่าเป็นคนอื่น ก็เพราะบนโลกนี้ นอกจากท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาหาเขาอีก

คำถามของเขา ทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขมารถึงกับชะงักงัน

“…” ประมุขมารมาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ แต่กลับถูกเด็กทึกทักว่าเป็นพ่อไปได้

เขาย่อมรับไม่ได้

เยี่ยนเสี่ยวซื่อดึงแขนเสื้อของเขาไว้ มองเขาด้วยสายตาวิงวอน

ประมุขมารส่ายหน้า

เยี่ยนเสี่ยวซื่อพองลมจนแก้มป่อง ทำหน้าตาน่ารักใส่!

ขอร้องละ

ประมุขมารสร้างข่ายอาคมมาป้องกันเสียงไว้อีกครา “เรียกพี่เสี่ยวเจาก่อน แล้วข้าจะตอบตกลง…”

“ท่านพี่เสี่ยวเจา!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยเรียกอย่างไม่ลังเล

ประมุขมารผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกครั้งใหญ่ “…”

ประมุขมารปลดข่ายอาคมเก็บเสียงออก แล้วใช้เสียงของผู้บำเพ็ญมารพูดกับเด็กชายว่า “อืม ข้าเอง ข้ากับ…แม่ของเจ้ามา”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อยกนิ้วโป้งให้ประมุขมาร

ยามที่เข้าไปในเรือน เขากดพลังของตนไว้ เพื่อไม่ให้สือโถวน้อยตกใจ จากนั้นก็ปล่อยพลังมารออกมาเล็กน้อยเพื่อให้เด็กชายเชื่อใจ

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย สือโถวน้อยก็เชื่อในทันทีว่าผู้มาเยือนคือพ่อของตน

“อุ้ม” สือโถวน้อยยื่นมือเข้าไปหาประมุขมาร

ประมุขมารขบกรามแน่นจนแทบปวดฟัน

ถูกโมเมว่าเป็นพ่อไม่พอ ยังจะให้อุ้มอีกหรือ?

ประมุขมารไม่อยากอุ้ม!

เยี่ยนเสี่ยวซื่อดึงแขนเสื้อของเขา มองเขาด้วยสายตาบ้องแบ๊วหาผู้ใดเปรียบ ขยับปากกระซิบว่า “ท่านพี่เสี่ยวเจา~”

น้ำเสียงนี้…จะฆ่าเขาให้ตายหรืออย่างไร!

ประมุขมารอุ้มสือโถวน้อยขึ้นมาในทันใด!

สือโถวน้อยซุกซนอยู่ในอ้อมอกกว้างของ ‘ท่านพ่อ’ ได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป

“ว่าแต่ จะช่วยสือโถวน้อยอย่างไรหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองมือของตนเอง เลิกคิ้วพร้อมถามว่า “ข้าไม่รู้วิธีใช้พลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์”

“เจ้าถามเขาสิ” ประมุขมารอุ้มประมุขศักดิ์ตัวน้อยออกมาวางในถาดผลไม้ว่างเปล่า

ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยมองประมุขมารอย่างขุ่นเคือง

“เขาพูดไม่ได้สักหน่อย” เยี่ยนเสี่ยวซื่อบีบแก้มของเขา

ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยมองด้วยความคับแค้นใจ

“ใครบอกเล่าว่าเขาต้องพูด” ประมุขมารยกยิ้มมุมปาก ปลายนิ้วจิ้มไปยังหว่างคิ้วของเยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย

เยี่ยนเสี่ยวซื่อรู้สึกสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย ทันใดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยเอ่ยกระทบกระเทียบว่า “อย่าจองหองไปหน่อยเลย ข้าฟื้นพลังกลับมาเมื่อไร เจ้าคอยดูก็แล้วกัน!”

“ข้าได้ยินจริงด้วย!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อดวงตาเป็นประกาย

“เจ้าได้ยินอะไรกัน” ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยใบหน้าเย็นเยียบ

“ได้ยินเจ้าพูดน่ะสิ!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ข้าได้ยินสิ่งที่เจ้าคิด!”

ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยมองประมุขมารด้วยสายตาเย็นเยียบ

“เจ้าใช้วิชาร่างทรงหรือ?”

นี่เป็นเสียงของเขาเอง ประมุขมารไม่ได้ยิน แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ยิน

เยี่ยนเสี่ยวซื่อพลันกระจ่างในทันใด “ที่แท้ก็เป็นวิชาร่างทรง ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ท่านพี่เสี่ยวเจา ออกไปจากที่นี่แล้วเจ้าช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม?”

“ประมุขศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าสอนเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร? ไฉนต้องให้เจ้าลูกเต่านั่นสอนด้วย!”

ไม่ทันขาดคำ ความในใจของประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลแล่นออกจากสมองของเขา

ดวงตาเรียวดุจผลซิ่งของเยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเขา “ประมุขศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้เจ้าก็ว่าร้ายคนเป็นเหมือนกันนี่”

ประมุขศักดิ์สิทธิ์นิ่งเงียบ

“เปล่า ข้าไม่ได้ว่าร้ายใคร เจ้าฟังผิด”

“ว่าร้ายแล้วอย่างไร ก็เจ้าโง่นั่นวอนโดนด่าเอง!”

บัดซบเอ๊ย!

เจ้าสมองงี่เง่า!

ในสมองของประมุขศักดิ์สิทธิ์จึงท่อง ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ในใจแทนเสียเลย

เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “…”

ที่จริงแล้วเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าวิชาร่างทรงนี้สุดยอดเหลือเกิน กลับไปแล้วนางจะไปเรียนบ้าง ทดลองใช้กับท่านพี่ต้าเป่า จะได้รู้ว่าวันๆ เขาคิดอะไรบ้าง!

“จริงสิ ประมุขศักดิ์สิทธิ์ เจ้ามีวิธีช่วยสือโถวน้อยหรือไม่?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถาม

“เสี่ยวซื่องามเหลือเกิน…”

“หืม?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไป

ในสมองของเขาจึงรีบคิดว่า “เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่งามเลยสักนิด!”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อทำหน้าถมึงทึงขึ้นทันใด

ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย “…”

หนึ่งเค่อผ่านไป

ประมุขศักดิ์สิทธิ์ตัวอ้วนกลมในถาดก็แปรเปลี่ยนเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่ใบหน้าช้ำเขียวอมม่วง

…………………….