วิกฤตการณ์ของฟางฮุ่ย!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนใช้เนตรเทวะสำรวจพลังฝึกปรือของเฮ่อจง ด้านเฮ่อจงเองก็หันมามองเขาด้วยสายตาซับซ้อน
สาเหตุที่มันสามารถทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนได้รวดเร็วแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น!
เรื่องของเรื่องเป็นเพราะ เมื่อเกือบ 3 เดือนที่แล้ว พอมันได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตสู่เซียน ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกกดดันครั้งใหญ่!
พอรู้สึกกดดันมันก็มีแรงบันดาลใจกลายเป็นฮึดสู้ขยันบ่มเพาะฝึกปรือ ในที่สุดก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนได้ตั้งแต่เดือนก่อน
หลังจากที่มันทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนมันก็ได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน และถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนักจงหั่ว
ถึงตอนนี้ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายจึงได้รู้ว่าที่แท้เฮ่อจงไม่ใช่ศิษย์ที่หลิวฮ่วนลอบรับไว้ แต่กลับเป็นรองเจ้าสำนักที่มาลอบรับตัวมันไว้เป็นศิษย์!
อย่างไรก็ตามทั้งหลายมีภูมิคุ้มกันเพราะตกใจกับเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมามากพอแล้ว พอได้รู้เรื่องของเฮ่อจงจึงไม่ได้แตกตื่นอะไรกันสักเท่าไหร่
เพราะสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็เป็นถึงศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่หง!
อาวุโสป๋ายลี่หงเป็นใคร?
อาวุโสฝ่ายในที่ฐานะสูงส่งที่สุด!
ยังสูงเหนือกว่ารองเจ้าสำนักที่มีไม่กี่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงเสียอีก!
นอกจากนั้นกระทั่งเสาหลักอันเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนกับตัวเจ้าสำนักเอง ก็ยังต้องเกรงใจไว้หน้าป๋ายลี่หง ปฏิบัติกับป๋ายลี่หงเสมือนมีฐานะเท่าเทียมกัน!
ทันทีที่ป๋ายลี่หงรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง สถานะและรุ่นของต้วนหลิงเทียนก็เรียกว่าเปลี่ยนไปจนวุ่นวาย!
กระทั่งรองเจ้าสำนักอย่างจงหั่ว ยามพบเจอต้วนหลิงเทียนที่มาพร้อมป๋ายลี่หง ยังต้องเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่าศิษย์น้อง!
‘ข้าได้แต่หวังว่าท่านลุงจะล้มเลิกความคิดเป็นศัตรูกับต้วนหลิงเทียนและละวางความแค้นให้ได้เร็วไว…ไม่ใช่แค่ตอบรับอย่างขอไปทีกับข้า!’
เฮ่อจงลอบกล่าวในใจอย่างเคร่งเครียด
วันนั้นพอมันได้ยินว่าป๋ายลี่หงประกาศรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง มันก็ไม่เหลือความคิดมุ่งร้ายใดๆต่อต้วนหลิงเทียนเหลืออยู่อีกเลย
เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันก็ปล่อยให้แล้วกันไป ไม่นึกถึงอีก
เพราะมันรู้ดีว่าหากยังดื้อรั้นคิดร้ายกับอีกฝ่าย ก็รังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น!
อีกทั้งครั้งนี้เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนทำให้มันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จึงทำให้มันบังเกิดใจฮึดสู้ ทำให้ตัดผ่านมาถึงขอบเขตสู่เซียนเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้ จึงทำให้ในใจรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
“เฮ่อจง ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายริเริ่มทักทายเฮ่อจงก่อน
เฮ่อจงถึงกับหน้าเหวอเป็นตัวโง่งม เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวแสดงความยินดีแบบนี้!
‘ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย’ คำกล่าวที่ส่งผ่านปราณแท้มาของต้วนหลิงเทียน ทำให้เฮ่อจงตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงอะไร…ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากเรื่องที่มันทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียน!
ทว่าจนถึงตอนนี้ไม่ใช่มีแต่มันกับอาจารย์เท่านั้นที่ทราบหรือ…ว่ามันทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว!?
มันยังไม่ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือกับใคร กระทั่งลุงมันก็ไม่รู้!
ทว่าตอนนี้กลับถูกต้วนหลิงเทียนค้นพบ! ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกเสมือนยืนเปลือยเปล่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียน!
“เจ้า…เจ้ามองออกด้วยเหรอ?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบอารมณ์แตกตื่น เฮ่อจงกล่าวถามผ่านปราณแท้กลับไปทันที
ทว่าคราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบอะไร เพียงยกยิ้มขึ้นมาบางๆแลดูลึกลับไม่น้อย ทำให้ใจเฮ่อจงสะท้านไปทันใด
ในใจมันยังรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็นอะไรที่น่ากลัวและอันตรายมากขึ้นหลายส่วน
ไม่นานอาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบการแข่งขันอีก 2 คนที่เหลือก็เดินทางมาถึง ทั้งคู่เร่งรุดมาทักทายป๋ายลี่หงด้วยเคารพทันที
“อาวุโสป๋ายลี่!”
ตอนนี้เองศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งสังเกตเห็นไม่เว้นเฮ่อจงก็เร่งคารวะทักทายป๋ายลี่หง
“ศิษย์น้องต้วน”
ไม่นานอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่พึ่งมาถึงก็ทักทายต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ฉากนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายที่มาถึงแล้วอิจฉาตาร้อนกันไปเป็นแถบๆ ยังบังเกิดความรู้สึกเกลียดต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น! ไม่เพียงแต่มากพรสวรรค์แล้วยังมีชีวิตอันดีด้วย! อนิจจาแต่แข่งอะไรแข่งได้แต่จะแข่งบุญวาสนาแข่งกันได้หรือ?
หากพวกมันมีศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงบ้าง ป่านนี้พวกมันได้เดินทอดน่องเชิดหน้าชูตาทั่วสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างสบายใจไปแล้ว!
“ไปกันเถอะ”
ป๋ายลี่หงไม่คิดรอช้าอะไรกล่าววาจาออกมาคำหนึ่ง จงหั่วก็หันไปสั่งการและเดินนำทั้งหมดออกจากสำนักทันที
หลังจากออกพ้นเขตสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ทั้งหมดก็เหินร่างขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดการแข่งขันล่าสัตว์ทันที
ไม่นานหลังจากที่ทั้งหมดออกเดินทางไปยังสถานที่แข่งขัน หลิวฮ่วนที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ออกมานั่งที่สวนด้านหลง
หลิวฮ่วนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ตอนนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนน่าตายนั่นมันคงออกเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์แล้วสินะ?”
“ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสอันประเสริฐนัก…หวังว่าพวกตลาดมืดหยินชานจักไม่ทำพลาดซ้ำสอง!”
ขณะกล่าวพึมพำลูกตาของหลิวฮ่วนก็ทอประกายเย็นเยือกออกมาวูบวาบ ยังเต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน
“นอกจากนั้นยังมีสวะอย่างฟางฮุ่ยนั่นอีก…นี่ก็ผ่านมาหลายปีดีดัก…เห็นทีว่าข้าต้องไปจบเรื่องราวกับมันเสียที! ตอนแรกก็มิคิดเลยว่ามันจะมีปัญญาสร้างปัญหาอะไรได้ถึงได้ปล่อยให้มันอยู่ แต่สารเลวนั่นกลับรับศิษย์มากพรสวรรค์อย่างต้วนหลิงเทียนมาเสียได้!”
ลูกตาหลิวฮ่วนยิ่งมายิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยจิตฆ่าฟัน
ครู่ต่อมามันก็ลุกขึ้นยืนและเผยทีท่าคิดออกไปข้างนอก
“อาจารย์”
ตอนนี้เองมีเสียงเรียกหนึ่งดังขึ้น เป็นซูฉีที่พึ่งเดินเข้ามาถึง
ในมือซูฉีถือถาดที่มีกาน้ำชาพร้อมจอกชาเล็กๆมาชุดหนึ่ง “ท่านอาจารย์นี่เป็นชาหยกกระจ่างที่ท่านชมชอบ ข้าพึ่งชงมาให้ท่าน รีบดื่มตอนยังร้อนเถอะ”
“นับว่าจิตใจเจ้าดีงามรู้กตัญญูนัก ศิษย์เนรคุณอย่างโจวฉีนั่น กระทั่งชาสักกามันยังมิเคยชงมาให้ข้าเช่นเจ้า”
สำหรับศิษย์คนนี้ หลิวฮ่วนรู้สึกพึงพอใจเหลือเกิน
ตั้งแต่ที่มันรับอีกฝ่ายมาอยู่ด้วย ไม่เพียงแต่จะขยันหมั่นเพียรบ่มเพาะฝึกฝนวรยุทธ์ ยังกตัญญูรู้คุณ มักชงชาทั้งทำอาหารมาเอาใจมันเสมอทุกๆ 2 วัน สำรับอาหารแต่ละครั้งก็แปลกใหม่สร้างความชื่นชอบให้มันมาโดยตลอด
หลังจากลองดื่มชาหยกกระจ่างที่ซูฉีชงมา หลิวฮ่วนก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย นับว่าเป็นชาอันประเสริฐเหมือนเคย ทันใดนั้นหลิวฮ่วนก็คล้ายตัดสินใจอะไรได้
“ซูฉี วันนี้เจ้าติดตามอาจารย์ออกไปเที่ยวข้างนอกเถอะ”
หลิวฮ่วนกล่าวชวนซูฉี
“ทราบ”
ซูฉีไม่ทำให้หลิวฮ่วนต้องผิดหวัง กล่าวตอบรับไปทันที
“เจ้ามิถามหน่อยหรือว่าอาจารย์จักพาเจ้าไปที่ใด?”
หลิวฮ่วนกล่าวถาม
“ที่ๆอาจารย์จักพาไป ศิษย์ล้วนยินดีติดตาม ต่อให้บุกน้ำลุยไฟฝ่าภูเขาดาบทะเลมีด ศิษย์เพียงเชื่อฟังโดยดีไม่มีขมวดคิ้ว!”
ซูฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฮ่าๆๆๆ…ดี ดี ดี! ในชีวิตนี้สิ่งที่ทำให้ข้าหลิวฮ่วนผิดหวังมากที่สุดคือรับศิษย์เนรคุณอย่างโจวฉี ส่วนที่ทำให้ข้าภูมิใจที่สุดคือมีศิษย์ประเสริฐเช่นเจ้า!”
หลิวฮ่วนกล่าวออกมาด้วยความพึงพอใจ
“ไป! อาจารย์จักพาเจ้ากลับไปยังเมืองชงซัน!”
ทันทีที่กล่าวจบคำหลิวฮ่วนก็เดินออกไปทันที
เมืองชงซัน!
วาจานี้ทำให้ใจซูฉีสะท้านไปทันใด
มันตระหนักได้ถึงเรื่องที่หลิวฮ่วนคิดกระทำได้ทันที!
นอกจากนี้มันยังตระหนักได้ว่า สิ่งที่ทำให้หลิวฮ่วนตัดสินใจกระทำเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะการผงาดขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน!
อย่างไรก็ตามซูฉีเพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ ก็เร่งก้าวเดินตามหลิวฮ่วนออกไป
ก่อนหน้านี้ทางด้านเมืองชงซัน เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่หงอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ได้แพร่มาถึงเมืองชงซัน แน่นอนว่าจวนเจ้าเมืองชงซันย่อมได้รับทราบข่าวนี้กันหมด!
ด้านฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซันเองพอได้รับทราบข่าวนี้ก็ถึงกับแตกตื่นอึ้งค้างไปอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว ยังรู้สึกยากจะทำใจเชื่อเรื่องราวได้ลงคอ
“เขา…ถูกอาวุโสป๋ายลี่หงผู้นั้นยอมรับเป็นศิษย์น้อง?”
ใจฟางอุ่ยนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเหลือเชื่อนัก
ทว่าสุดท้ายมันก็เผยยิ้มยินดีออกมา กระทั่งสองตายังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ
เป็นหยาดน้ำตาแห่งความสุข!
ในฐานะที่เคยเป็นคนของสำนักจันทร์จรัสแสง ฟางฮุ่ยไหนเลยยังไม่รู้จักอาวุโสป๋ายลี่หงได้!
นั่นคือตัวตนที่แม้แต่เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงยังต้องเกรงใจ!
สำหรับมันแล้วอาวุโสป๋ายลี่หงก็เสมือนขุนเขาสูงตระหง่านที่มันไม่มีวันปีนข้ามไปได้
ตอนที่มันพบเจออาวุโสป๋ายลี่หงครั้งแรก มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ ด้วยกลัวว่าจะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่าย!
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับได้เป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หงที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น!
เรื่องนี้จะไม่ให้มันประหลาดใจได้อย่างไรไหว!?
“เขาทะลวงผ่านมายังขอบเขตสู่เซียนแล้วงั้นหรือ!?”
หลังจากนั้นไม่นานฟางฮุ่ยก็ได้รับทราบข่าวคราวจากสำนักจันทร์จรัสแสงอีกครั้ง
และข่าวนี้ก็เป็นข่าวที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว!
“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่หงถึงได้รับเขาเป็นศิษย์น้อง…ดูเหมือนท่านจักแลเห็นถึงพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…มิคิดเลยว่าครั้งหนึ่งข้ากลับถือดีคิดรับเขาเป็นศิษย์! ช่างน่าสมเพชนัก!!”
วาจาท้ายประโยคน้ำเสียงของฟางฮุ่ยยังเย้ยหยันตัวเองไม่น้อย
อย่างไรก็ตามมันมีความสุขความยินดีกับความก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียนนัก!
“มีท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่หงหนุนหลังเช่นนี้ ยากที่ตัดบัดซบหลิวฮ่วนนั่นจะแตะต้องอันใดเขาได้! ทั้งมีต้วนหลิงเทียนดูแลอยู่ หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ย่อมปลอดภัยเช่นกัน!!”
พอคิดถึงเรื่องนี้ฟางฮุ่ยก็รู้สึกวางใจเรื่องศิษย์ทั้งสอง
ยังอดรู้สึกผ่อนคลายปลอดโปร่งและโล่งใจเสียไม่ได้ เสมือนเมฆหมอกมืดมัวที่ปกคลุมในใจของมันมานานปี ได้สลายหายไปอย่างไรอย่างนั้น
อนิจจาความสุขนี้ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน
“ฟางฮุ่ย!!”
เสียงหนึ่งพลันดังกึกก้องมาจากน่านฟ้าเหนือจวนเจ้าเมืองชงซัน ปลุกฟางฮุ่ยที่กำลังมีความสุขและยินดีให้ตื่นขึ้นมา สีหน้าเริ่มมืดดำลง ใจรู้สึกหนักอึ้ง…
เสียงนี้หาได้แปลกหูมันแต่อย่างไร กระทั่งชาตินี้เกรงว่าคงไม่มีวันลืม!
“หลิวฮ่วน!”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ ใบหน้าฟางฮุ่ยกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก มันไม่คิดเลยว่าหลิวฮ่วนที่ไม่แม้แต่จะเห็นหัวมัน สุดท้ายวันนี้กลับมาเยือนมันถึงถิ่น!
อย่างไรก็ตามมันรู้ดี ว่าการที่หลิวฮ่วนมาเคาะประตูหน้าบ้านมันแบบนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน!
บางทีความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน คงสร้างแรงกดดันให้หลิวฮ่วนถึงขั้นสุดที่จะทานทนได้ไหวสืบไป!
พอนึกถึงเรื่องนี้สีหน้าเคร่งเครียดของฟางฮุ่ยก็คลี่คลายลง ยังเริ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ “หลิวฮ่วน ในที่สุดเจ้าก็หวาดกลัวจนนั่งไม่ติดแล้วหรือ?”
เมื่อฟางฮุ่ยลอยร่างขึ้นมาบนฟ้า มันก็พบว่าไม่เพียงแต่หลิวฮ่วนที่มา ยังมีอีกร่างที่มาพร้อมกันด้วย ยังเป็นร่างที่คุ้นเคยสำหรับมันนัก!
“ซูฉี!”
เมื่อเห็นซูฉีลอยร่างข้างกายหลิวฮ่วน ใจฟางฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านสะเทือน
ซูฉีนั้น เดิมทีเป็นศิษย์ที่มันภาคภูมิใจและชื่นชอบมากที่สุด อีกฝ่ายมีศักยภาพและพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เหนือล้ำกว่าใครที่เคยปรากฏตัวขึ้นมาในเขตปกครองเมืองชงซันของมัน ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว…
ด้วยเหตุนี้มันจึงเอาใจใส่ดูแล และทุ่มเททุกอย่างให้แก่ซูฉี
อนิจจาสุดท้ายกลับกลายเป็นตัดชุดวิวาห์ให้หลิวฮ่วนไปเสียได้ เรื่องนี้ทำให้มันปวดใจและผิดหวังเป็นที่สุด
วันนี้พอได้เห็นซูฉีลอยร่างเคียงข้างหลิวฮ่วนด้วยตัวเอง มันก็รู้ได้ทันทีว่าซูฉีทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว หาไม่แล้วคงมิอาจเหินลอยเหนือน่านฟ้าเมืองชงซันที่มีอาคมห้ามบินแบบนี้ได้
ข่ายอาคมห้ามบินของเมืองชงซันนั้น เพียงจำกัดให้ผู้ที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตสู่เซียนมิอาจเหินบิน!
เช่นนั้นหมายความว่ามีเพียงตัวตนที่บรรลุขอบเขตสู่เซียนขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถลอยร่างค้างกลางหาว เหินบินได้อย่างเสรี…