ตอนที่ 1572 เงาศัตรูปรากฏกายอีกครั้ง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เมื่อสิ้นเสียงของหานลี่ ชั่วขณะนั้นร่างของอสูรน้อยพลันพลิ้วไหว กลายเป็นเงาลวงตาสิบกว่าเงา พุ่งเข้าไปหาฝูงชน

 

 

กรงเล็บลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ไม่ว่าเกราะสงครามสีเงินที่นักรบชุดเกราะสวมอยู่หรือใบมีดในมือ ก็ทยอยกันถูกสับจนแหลกราวกับกระดาษ

 

 

กรงเล็บคู่นี้ดูราวกับอสูรกินเลนเสือดาว ราวกับคมใบของอาวุธวิเศษ

 

 

ส่วนวานรน้อยสีดำแค่เปล่งแสงสีดำ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นยี่สิบสามสิบเท่า กลายเป็นวานรยักษ์สีดำสูงยี่สิบจั้งเศษ

 

 

สองมือของวานรน้อยตัวนี้ทุบไปที่ทรวงอกของตัวเอง แค่นเสียงขึ้นจมูก

 

 

ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเหลืองพลันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

เมื่ออินทรียักษ์สองหัวเหล่านั้นถูกลำแสงกวาดออกไป ก็ทยอยกันร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับร่ำสุราจนเมามาย

 

 

แขนใหญ่ยักษ์ทั้งสองข้างของวานรยักษ์ร่ายรำราวกับกงล้อ ฝ่ามือหนึ่งตบไปอินทรียักษ์สองหัวจนแหลกราวกับตบแมลง

 

 

ส่วนทางด้านหานลี่ ก็กระตุ้นกระบี่บินสับลงมาอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แน่นอนว่าต้องมีนักรบชุดเกราะและอินทรียักษ์ถูกสับออกเป็นสองส่วน ไม่อาจต้านทานได้

 

 

นักรบชุดเกราะนับร้อยคนและอินทรีสองหัวของเผ่าแมลงมีเขาถูกหานลี่และอสูรวิญญาณทั้งสองตัวฆ่าไปเจ็ดแปดส่วนได้ในภายในพริบตา

 

 

ในที่สุดนักรบชุดเกราะที่เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนก็เผยสีหน้าหวาดผวาออกมา ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้นำ พากันแตกกระเจิงออก ทยอยกันบินหนีเอาชีวิตรอดไปทางเรือสงครามสองลำที่อยู่กลางอากาศ

 

 

หานลี่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่ลังเล กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งไล่รุดตามไป

 

 

กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง ซากศพเกลื่อนกลาด

 

 

ฉับพลันนั้นบนท้องฟ้าพลันมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น

 

 

หานลี่ใจหายวาบ เงยหน้าขึ้นด้วยความร้อนรน

 

 

เห็นเพียงเสาผลึกด้านล่างเรือสงครามสีเงินสองลำเปล่งแสงเจิดจ้า พ่นเสาลำแสงร้อยกว่าต้นออกมา

 

 

คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่สนใจนักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเลยสักนิด

 

 

หานลี่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา สองปีกที่แผ่นหลังกระพือออก หลังจากเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น ก็หายวับไปจากที่เดิม

 

 

แม้ว่าเสาลำแสงจะปกคลุมเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ แต่การโจมตีทั้งหมดก็สูญเปล่า

 

 

ครู่ต่อมาด้านบนเรือสงครามสีเงินลำหนึ่ง พลันมีเงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

 

มองลงไปที่เกาะสีเงินด้านล่าง หานลี่ตะปบมือข้างหนึ่งไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

ฝ่ามือสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกยื่นออกมาจากแขนเสื้อ กดไปที่อากาศด้านล่างอย่างแผ่วเบา ภูเขาสีดำหมุนติ้วๆ พ่นออกมาจากใจกลางฝ่ามือ

 

 

จากนั้นภูเขาก็ขยายขนาดขึ้นไม่หยุด จนมีขนาดสิบจั้งเศษ ทุบลงไปที่เรือสงครามด้านล่างอย่างแรง

 

 

ภูเขาเทวะดูดปราณมีขนาดใหญ่กว่าเรือสงครามสองสามส่วน หลังจากสิ่งมหึมาตกลงมา สีดำทะมึนกดทับลงไป ชั่วขณะนั้นก็ห่อหุ้มเรือสงครามเอาไว้

 

 

ชั่วขณะนั้นชาวแมลงมีเขาที่รักษาการณ์อยู่ด้านในเรือสงครามพลันตกใจจนหน้าถอดสี แม้ว่าจะอยากควบคุมเรือสงครามให้หลบหลีก แต่ไหนเลยจะหลบหลีกทัน!

 

 

ได้ยินเพียงเสียงตูมๆ ดังสนั่นขึ้น

 

 

ตีนยอดเขายักษ์และเรือสงครามปะทะกัน ในเวลาเดียวกันพลันพลิ้วไหว ยอดเขาถูกพลังมหาศาลดีดกลับไป

 

 

ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือน ผิวของเรือสงครามพลันบุบเข้าไปกว่าครึ่ง และถูกทุบจังๆ เข้ากลางอากาศ ตกลงมาที่พื้นดังสนั่น

 

 

เรือกว่าครึ่งจมอยู่ในพื้นดิน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่อาจบินขึ้นมาได้อีก

 

 

หานลี่เห็นฉากนี้ แววตาพลันฉายแววประหลาดใจออกมา

 

 

คิดไม่ถึงว่าเรือสงครามนี้จะไม่ถูกภูเขาเทวะดูดปราณโจมตีจนระเบิด เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบที่ใช้สร้างนั้นแข็งแกร่งมาก เกรงว่าไม่ต่างอะไรกับวัตถุดิบของสมบัติธรรมดาเท่าใดนัก

 

 

ส่วนเรือสงครามลำใหญ่เช่นนี้ ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบไปขนาดไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว เมื่อนึกถึง ‘เกาะยักษ์’ ที่ใหญ่ยิ่งกว่าซึ่งเห็นที่เมืองแสงมรกตในวันนั้น หานลี่ก็อดที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้

 

 

ในที่สุดก็พอเข้าใจความมั่งคั่งของเผ่าแมลงมีเขาอยู่บ้าง

 

 

เผ่านี้คู่ควรกับที่เป็นเผ่าอันยิ่งใหญ่อันดับต้นๆ ของแดนวิญญาณจริงๆ

 

 

รู้สึกตื่นตะลึง แต่หานลี่กลับไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด กลับใช้มือหนึ่งชี้ไปที่ยอดเขาสีดำกลางอากาศ

 

 

ชั่วขณะนั้นภูเขาเทวะดูดปราณพลันเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา กรีดร้องแล้วทับลงมาอีกครั้ง

 

 

พริบตานั้นได้ยินเพียงเสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังอย่างต่อเนื่อง

 

 

คิดไม่ถึงว่าเรือสงครามสีเงินลำนั้นจะแบนราบเพราะถูกยอดเขากดทับลงมา และถูกทับจนกลายเป็น ‘เศษเหล็ก’ กองหนึ่ง

 

 

แม้ว่าเผ่าแมลงมีเขาที่ควบคุมอยู่ด้านในจะยังไม่ถึงคราวตาย แต่ก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้น่าตกตะลึงก็คือ ผิวของเรือสงครามเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะกลับมานูนขึ้นทีละนิดๆ ดูเหมือนว่าจะฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม

 

 

หานลี่เห็นการโจมตีสองสามหนนี้ไม่อาจกำจัดเรือลำนี้ทิ้งได้ ทันใดนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น ตะปบมือไปกลางอากาศ

 

 

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น!

 

 

เส้นไหมสีเขียวยี่สิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไปกลางอากาศ ล้วนรวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือของหานลี่

 

 

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นกระบี่ยักษ์ความยาวสองสามจั้ง แต่ผิวของมันเปล่งแสงสีเขียว ราวกับไม่มีร่างจริงก็ไม่ปาน

 

 

หานลี่คว้าไปที่ด้ามกระบี่โดยไม่ปริปาก ตวัดไปทางเรือสงครามด้านล่างที่ไม่อาจขยับตัวได้ แล้วสับลงมา

 

 

แต่ในยามนั้นฉับพลันนั้นหานลี่พลันได้ยินเสียงหวีดร้องของชนต่างเผ่าผมยาวดังขึ้น

 

 

“ท่านอาวุโสโปรดระวัง!”

 

 

หลังจากที่เขาตะลึงงัน ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งระเบิดอยู่ด้านข้างของตน

 

 

หานลี่ขวางกระบี่ยักษ์ในมือออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด ฟันไปทางพลังวิญญาณที่โหมเข้ามา

 

 

ชั่วขณะนั้นไอกระบี่สีเขียวยาวสิบจั้งเศษสายหนึ่งสับออกไป โจมตีไปยังพลังวิญญาณกลุ่มนั้นอย่างพอดิบพอดี

 

 

ทั้งสองอยู่ห่างจากหานลี่ไปสามสิบจั้งเศษ แล้วพลันระเบิดออก กลายเป็นเสาพายุสีเขียวดำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

มองจากที่ไกลๆ ช่างน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!

 

 

หานลี่กวาดสายตาไปฝั่งตรงข้าม สองตากลับหรี่ลงเล็กน้อย

 

 

เห็นเพียงกลางอากาศเหนือเรือยักษ์สีเงินอีกลำหนึ่ง มีคนหน้าตาแตกต่างกันสี่คนปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

 

หนึ่งในนั้นเป็นคนประหลาดหน้าขาวซีด สองเท้าเปลือยเปล่าเบื้องหน้ามีมีดประหลาดกึ่งโปร่งใสลอยอยู่เล่มหนึ่ง กำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

 

 

ดูแล้วการลอบโจมตีเมื่อครู่ จะมาจากคนผู้นี้

 

 

อีกสามคนคือหญิงชราคนหนึ่ง คนแคระคนหนึ่ง และชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมหนังอสูรที่ดูเหมือนคนป่าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แผ่จิตสัมผัสไป ชั่วขณะนั้นพลันพบว่าคนประหลาดที่ลงมือผู้นั้นอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง อีกสามคนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้น

 

 

ทว่าเมื่อครู่เขาตรวจสอบแล้วแท้ๆ ว่าเดิมทีไม่มีสี่คนนี้ พวกเขามาจากไหนกัน

 

 

แค่ระดับหลอมสุญตา แม้ว่าจะรับมือยาก แต่หานลี่ก็ยังคงไม่ค่อยสนใจนัก แต่กลับสงสัยกับการปรากฏตัวของทั้งสี่คนอยู่หลายส่วน

 

 

“บังอาจไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำลายเรือสงครามของเผ่าแมลงมีเขาของพวกเรา ดูจากท่าทางเจ้าแล้ว คงไม่ใช่คนของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ทว่าก็ไม่สำคัญ อีกเดี๋ยวจับเป็นกลับไป ย่อมต้องซักถามอยู่แล้ว” คนประหลาดหน้าซีดขาวเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

จากนั้นพลันกวาดสายตาไป คาดไม่ถึงว่าจะมองไปอีกด้าน

 

 

ตรงนั้นชนต่างเผ่าผมยาวผู้นั้นปรากฏตัวออกมาจากลูกบอลสีทองอีกครั้ง หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้หลังจากเห็นระดับหลอมสุญตาทั้งสี่คนนี้

 

 

“ท่านจย่า ได้ยินว่าท่านไม่ใช่ชาวเผ่าหมื่นโบราณสายเลือดบริสุทธิ์ เช่นนั้นเหตุใดต้องออกแรงเพื่อสามสิบเผ่าเมฆาสวรรค์ถึงเพียงนั้น ตอนที่พวกเราออกมา อาวุโสในเผ่าได้เอ่ยถึงชื่อท่านเป็นพิเศษ ชื่นชมเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของท่านไม่ขาดปาก และยิ่งไปกว่านั้นยังเคยพูดว่า ขอแค่ท่านยอมจำนนต่อเผ่าแมลงมีเขา เหล่าอาวุโสจะยอมเสียสิ่งมีค่าทั้งหมด ล้างไขกระดูกให้ท่าน ทำให้ท่านมีโลหิตของเผ่าเรา และยิ่งไปกว่านั้นยังกล้ายอมเก็บข้าวของ ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยท่านให้บรรลุระดับเผ่าเบื้องบนขั้นสูงสุดให้ได้ เช่นนั้นหากท่านมีวาสนา อาจจะกลายเป็นแม้กระทั่งระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของคนประหลาดหน้าซีดขาวผ่อนลงขณะเอ่ยกับชนต่างเผ่าผมยาว ท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก

 

 

“ยอมจำนนต่อพวกเจ้า! ผู้แซ่จย่าไม่สนใจ แม้ว่าสายเลือดของข้าน้อยจะไม่บริสุทธิ์ แต่อาวุโสในเผ่าก็มีบุญคุณต่อข้า ข้าไม่มีทางเปลี่ยนไปอยู่เผ่าเจ้าได้ เจตนาที่พวกเจ้าจับเป็นข้าไป กว่าครึ่งคงเป็นเพราะเคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิดของข้า อีกครึ่งคงเพราะข่าวคราวความลับของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์สินะ” จย่าเทียนมู่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วสั่นศีรษะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

“ท่านจย่า เจ้าคิดว่ายังมีโอกาสหนีไปจากที่นี่อีกหรือ? แม้หุ่นเชิดที่คุ้มครองเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ศิลาวิญญาณที่ใช้ฝ่าวงล้อมออกไปในครั้งที่แล้วคงใกล้หมดแล้วสินะ ส่วนพลังยุทธ์ของท่านจย่าเอง ก็ไม่มีพลังคุกคามต่อพวกเราเลยสักนิด พวกเราไม่อยากลงมือ ท่านจย่ายอมให้จับเสียดีๆ เถิด” คนประหลาดเผชิญหน้ากับคำปฏิเสธของจย่าเทียนมู่ ก็ไม่ได้โกรธขึ้ง กลับเอ่ยพร้อมหัวเราะน้อยๆ ออกมา

 

 

จย่าเทียนมู่ได้ยินคำนี้ สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก แต่กลับมองไปทางหานลี่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วมองปราดไปแวบหนึ่ง

 

 

“อันใด ท่านหวังว่าคนผู้นี้จะช่วยชีวิตได้หรือ ก็ดี พวกเราสี่คนจะจัดการผู้ที่ขวางมือขวางเท้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” คนประหลาดหน้าขาวเห็นสีหน้าของจย่าเทียนมู่ ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

 

 

ทันใดนั้นเขาพลันปั้นหน้าบึ้งตึ้ง มองมาทางหานลี่อีกครั้ง

 

 

“เจ้าจะยอมให้จับเสียดีๆ หรือว่าจะให้พวกเราทำลายกายเนื้อ แล้วพาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้ากลับไป” คนประหลาดเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

หานลี่ได้ยินคำถามนี้รูม่านตาพลันหดเล็กลง แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มออกมา

 

 

“คำพูดของพวกท่านช่างอาจหาญไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของทั้งสี่จะยิ่งใหญ่เหมือนคำพูดของพวกท่านหรือไม่” หานลี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ดวงตามิได้ฉีกยิ้มไปด้วย

 

 

คนประหลาดได้ยินพลันรู้สึกประหลาดใจ จ้องเขม็งไปยังหานลี่สองแวบ ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉับพลันนั้นพลันหันหน้าไปหาหญิงชราแล้วเอ่ยถามว่า

 

 

“ข้าว่าคนผู้นี้หน้าคุ้นๆ นะ ใช่คนที่ทูตถูบอกให้พวกเราตามจับเมื่อสองสามวันก่อนหรือไม่”

 

 

“พี่ซินกล่าวเช่นนี้ ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เหมือนกับในภาพวาดไม่มีผิดเพี้ยน! ระวังหน่อย ในเมื่อคนผู้นี้หนีออกจากเงื้อมมือของทูตถูได้ อิทธิฤทธิ์ต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน” หญิงชราเองก็มองไปที่หานลี่สองสามแวบ แววตาฉายแววเย็นชา พลางพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหญิงชรา คนที่เหลืออีกสองคนก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

 

 

“ฮ่าๆ เป็นคนผู้นี้จริงๆ หรือ? หากเป็นเช่นนั้นละก็ กลุ่มของพวกเราก็มาถูกทางแล้ว ตกรางวัลใหญ่ได้ตั้งสองคราว! จะว่าไปแล้วต้องชมคนผู้นั้นที่โจมตีเรือสงครามอีกลำ มิเช่นนั้นหากอีกกลุ่มส่งตัวมาละก็ ความดีความชอบก็จะต้องแบ่งให้พวกเขาไปเปล่าครึ่งหนึ่ง” ชายร่างยักษ์สวมชุดคลุมหนังอสูรเปล่งเสียงหัวเราะอย่างโหดเ**้ยมออกมา

 

 

“หึ สหายหลีพูดจามั่นอกมั่นใจนัก คนผู้นี้ไม่ใช่ดินโคลน อิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา อีกเดี๋ยวอย่าประมาท จะเสียเปรียบยกใหญ่” คนแคระที่มีส่วนสูงไม่ถึงสามฉื่อ กลับเอ่ยเตือนพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา

 

 

“หึๆ ต่อให้เขามีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน คนเดียวจะต่อกรกับพวกเราสี่คนได้หรือ?” ชายร่างใหญ่หัวเราะหึๆ ออกมา ท่าทางไม่ใส่ใจเลยสักนิด

 

 

“หากปะทะตรงๆ ย่อมไม่ใช่คู่มือของพวกเราสี่คน แต่หากจงใจหนี เจ้าจะต้องขวางคนผู้นี้เอาไว้ให้ได้!” คนแคระเบะปาก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์