ตอนที่ 320 ใครหาเรื่องใครกันแน่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“โธ่.. ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เด็กหนุ่มไร้ค่าจากตระกูลฉู่นี่เอง นี่เจ้าก็มาร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงด้วยรึ?”

เจ้าของเสียงนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ทว่าคือเฟิงอู๋ที่มีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้นั่นเอง

เฟิงอู๋จำฉินอวี้โม่ในตอนนี้ไม่ได้ ทว่าเมื่อสังเกตเห็นฉู่เจี๋ยและคณะเดินทางของตระกูลฉู่ เขาก็อดเดินเข้ามาหาและเอ่ยวาจาถากถางไม่ได้

“เฟิงอู๋ผู้นี้อยากได้การสนับสนุนจากตระกูลฉู่ของพวกเราเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่เพราะเราไม่ชอบเขา เราจึงไม่ตอบตกลง เพราะเหตุนั้นเขาจึงคับแค้นใจและไม่พอใจพวกเราตระกูลฉู่เป็นอย่างมาก”

ผู้อาวุโสสี่แห่งตระกูลฉู่—ฉู่ชิงอวิ๋นอธิบายกับฉินอวี้โม่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่ชอบบุรุษผู้หยิ่งทะนงตรงหน้าเช่นกัน

ฉู่เจี๋ยขมวดคิ้วมุ่นและเพิกเฉยต่อวาจายั่วยุของเฟิงอู๋ ในทางกลับกัน เขาหันไปหาคณะเดินทางของตนพร้อมกล่าว “ท่านลุงสอง ท่านลุงสี่ ไปกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้วและต้องการพักสักหน่อย”

เขาไม่ต้องการให้ความสนใจและไม่อยากปะทะคารมกับเฟิงอู๋ให้เสียเวลา สำหรับสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้น เขาไม่ได้เก็บไปคิดใส่ใจ การที่เขาไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้และไม่ต่างกับคนไร้ค่า ไม่ว่าเฟิงอู๋จะกล่าวย้ำเพียงใด ฉู่เจี๋ยก็ไม่สนใจ

ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่แห่งตระกูลฉู่ก็พยักศีรษะให้กับฉู่เจี๋ยและมุ่งหน้าตรงไปยังที่พักตระกูลฉู่โดยเดินผ่านกลุ่มของเฟิงอู๋อย่างไม่แยแส

จวนของตระกูลฉู่ในเมืองเฟิงหวงอยู่ไม่ไกลและตอนนี้พวกเขาก็เหนื่อยล้ากันไม่น้อย พวกเขาจึงอยากมุ่งหน้าไปที่นั่นและพักผ่อนอย่างเต็มที่

“เหอะ ไม่ได้พบกันเพียงไม่นาน แต่เจ้าหยาบคายขึ้นมากทีเดียว”

เฟิงอู๋ไม่คิดจะปล่อยให้ฉู่เจี๋ยเดินจากไปง่ายๆ เขาตบมือส่งสัญญาณและผู้ติดตามของเขาก็เดินไปขวางหน้าฉู่เจี๋ยไว้ทันที

เฟิงอู๋เพิ่งถูกผู้นำตระกูล—เฟิงหรูเซียวตำหนิต่อว่ามา เฟิงหรูเซียวทราบถึงการกระทำทุกอย่างของเฟิงอู๋ก่อนหน้านี้และผู้นำตระกูลก็ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นัก

แม้ว่าเฟิงอู๋ไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากต้องอดกลั้นความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจไว้

ทว่าทันทีที่เขาออกมาข้างนอกและอยากจะเดินเตร่ไปตามถนนหนทาง ในตอนนั้นเองที่เขาบังเอิญมองเห็นคณะเดินทางของฉู่เจี๋ยพอดิบพอดี ด้วยการที่เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตระกูลฉู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เฟิงอู๋จึงไม่รอช้าและก้าวตรงเข้ามาหากลุ่มของฉู่เจี๋ยทันทีเพื่อระบายโทสะในใจ

“เฟิงอู๋ หลีกทางไปซะ”

เมื่อผู้ติดตามของตระกูลเฟิงก้าวออกมาขวางหน้า คิ้วของฉู่เจี๋ยก็ขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเดิมและใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วก็ซีดลงเรื่อยๆ

“ฮ่าๆๆ ฉู่เจี๋ยเอ๋ย เจ้าเป็นคุณชายของตระกูลฉู่และคนของตระกูลฉู่ก็อาจจะปล่อยให้เจ้าหยิ่งผยองได้ แต่ที่นี่คือเขตของตระกูลเฟิง มันช่างเป็นการเสียมารยาทจริงๆ ข้าเดินเข้ามาทักทายเจ้าแต่กลับเจ้าเพิกเฉยต่อข้าไป หึ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นตระกูลเฟิงของเราอยู่ในสายตาเลย”

เฟิงอู๋ยิ้มเย้ยหยันและไม่คิดที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายผ่านไป

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงอู๋ ฉู่เจี๋ยก็ขมวดคิ้วไม่คลาย

“เฟิงอู๋ เจ้าอย่าพูดจาบิดเบือนความจริงหน่อยเลย เราไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเมืองนี้ ทว่าเจ้าเป็นฝ่ายที่เริ่มแสดงความหยาบคายออกมาก่อน เช่นนั้นก็อย่ากล่าวโทษเราหากเราจะไม่ไว้หน้าเจ้า”

ฉู่ชิงซาน ผู้อาวุโสสองกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างชัดเจน

เฟิงอู๋เป็นคนที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง หากพวกเขาไม่ได้เพิ่งมาถึงเมืองเฟิงหวงและก็เหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกเขาก็คงอยากประจันหน้าและสั่งสอนเจ้าเฟิงอู๋ผู้นี้ให้รู้สำนึก

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลฉู่ ข้าก็แค่เห็นเสี่ยวเจี๋ยเดินอยู่ไม่ไกลและอยากเข้ามาทักทายก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเจี๋ยจะไม่ใช่แค่ไม่สนใจเท่านั้น แต่เขาก็ยังจะเดินหนีอย่างไม่ไว้หน้าข้า ทว่าตอนนี้ท่านก็กลับพูดเหมือนมันเป็นความผิดของข้าอีก”

ต้องกล่าวเลยว่าเฟิงอู๋มีใบหน้าที่ด้านหนาอย่างที่สุดและทักษะการพูดเปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูกของเขาก็ถือว่าเหนือชั้นทีเดียว หากเป็นใครอื่นที่ไม่รู้จักพวกเขาก็คงจะคิดว่าคนตระกูลฉู่ยโสโอหังมากเกินไปและไม่ไว้หน้าเฟิงอู๋แม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงอู๋ สีหน้าของคนตระกูลฉู่ก็เหยเกจนแทบดูไม่ได้

พวกเขาทราบอยู่แล้วว่าเฟิงอู๋ผู้นี้หน้าไม่อาย เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่าจะไร้ยางอายจนกระทำการเช่นนี้

“ไปกันเถอะ”

ฉู่เจี๋ยไม่คิดที่จะให้ความสนใจเฟิงอู๋ด้วยซ้ำ เขากล่าวเบาๆด้วยความหวังว่าจะไปให้พ้นจากคนตรงหน้า

“เสี่ยวเจี๋ย จะรีบร้อนไปทำไมกัน?”

เฟิงอู๋ยิ้มบางๆพลางขยิบตาให้ลูกน้อง

ทันใดนั้น สภาวะพลังกดดันจากลูกน้องผู้นั้นก็แผ่ออกมาและกดทับฉู่เจี๋ยไว้ แม้ว่าพลังของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก มันก็มากพอที่จะกดขี่คนอ่อนแออย่างฉู่เจี๋ยได้

เมื่อรู้สึกถึงพลังนั้น ใบหน้าของฉู่เจี๋ยซึ่งซีดเซียวอยู่แล้วก็ซีดเผือดมากขึ้นทันที

“เฟิงอู๋ เจ้าคิดจะทำอะไร?!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังนี้ แน่นอนว่าลุงสองก็โบกมือเพื่อขวางพลังนั้นไว้และในขณะเดียวกันก็ก้าวออกไปเพื่อยืนขวางข้างหน้าฉู่เจี๋ยไว้

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้อาวุโสสอง ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าก็เพียงอยากพูดอะไรกับเสี่ยวเจี๋ยสักหน่อยก็แค่นั้น”

เฟิงอู๋ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของฉู่ชิงซานทว่าสีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขาชำเลืองมองไปที่ฉู่เจี๋ยและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่ม เขาไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องผิดหรือมากเกินไป

“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเสี่ยวเจี๋ยฝึกยุทธ์ไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังสั่งให้ลูกน้องโจมตีเขา เฟิงอู๋..นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสสี่ฉู่ชิงอวิ๋นก้าวออกไปข้างหน้าและจ้องเฟิงอู๋ตาเขม็ง

เฟิงอู๋เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจอย่างที่สุด ทั้งที่รู้สภาวะทางร่างกายของฉู่เจี๋ย เขายังสั่งให้ลูกน้องของตนเองโจมตีเด็กหนุ่มที่อ่อนแอผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้รู้สึกผิดใดๆซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก

“เฟิงอู๋ หลีกทางไปซะ เราต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว หากเจ้าไม่ปล่อยพวกเราไป เราจะส่งคนไปรายงานผู้นำตระกูลเฟิงเกี่ยวกับเรื่องนี้”

ฉู่ชิงซานจงใจเอ่ยถึงผู้นำตระกูลเฟิง—เฟิงหรูเซียว

อันที่จริงแล้วบิดาของฉู่เจี๋ยเป็นหลานชายของผู้นำตระกูลเฟิง เขาเคยพบกับฉู่เจี๋ยหลายครั้งและเขาก็เอ็นดูเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากผู้นำตระกูลเฟิงรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะลงโทษเฟิงอู๋อย่างร้ายแรงเป็นแน่

“ผู้อาวุโสสอง ท่านคิดจะข่มขู่ข้างั้นรึ?”

เฟิงอู๋ยิ้มอย่างไม่แยแสและไม่คิดจะหลีกทางเพียงเพราะคำพูดของฉู่ชิงซาน

“จะคิดอย่างไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ”

ฉู่ชิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่อยากใส่ใจกับบุรุษเจ้าปัญหาอีกต่อไป เขาเดินตรงไปคว้าแขนของฉู่เจี๋ยและต้องการเดินจากไป

แม้ลั่นวาจาเช่นนั้นออกไป คำพูดของฉู่ชิงซานเมื่อครู่ก็ทำให้เฟิงอู๋ลังเลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เขาทราบดีว่าบุรุษชราผู้นำตระกูลของตนเอ็นดูเด็กหนุ่มที่ไม่ต่างกับขยะไร้ค่าของตระกูลฉู่เช่นกัน หากเขายังทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้ เฟิงหรูเซียวจะเรียกเขาไปอบรมและลงโทษอย่างแน่นอน

บัดนี้เขารู้สึกชิงชังเฟิงหรูเซียวอย่างที่สุด เขาจึงไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงของบุรุษผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะจัดการกับฉู่เจี๋ยไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางปล่อยคนเหล่านี้ไปง่ายๆ

“โอ้ ครานี้มีคนจากตระกูลฉู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว”

เฟิงอู๋กวาดสายตามองคนอื่นๆในคณะเดินทางก่อนหยุดลงที่ฉินอวี้โม่ซึ่งนิ่งเงียบไม่ปริปากมาตั้งแต่ต้น

ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดเมื่อมองบุรุษลึกลับผู้นี้ เฟิงอู๋จึงรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง ทว่าเขามั่นใจว่าไม่เคยพบหน้าจอมยุทธ์คนนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนั้นแล้วความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

“ฮ่าๆๆ บุรุษผู้สวมหน้ากากและไม่กล้าสู้หน้าผู้คนนี้คือใคร? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลฉู่มีคนลักษณะแบบนี้อยู่ด้วย”

เฟิงอู๋เดินเข้าไปใกล้ๆฉินอวี้โม่และมองนางอย่างพินิจพิจารณาก่อนยื่นมือออกไปหมายจะถอดหน้ากากของอีกฝ่าย

ทว่าเมื่อเขายื่นออกไปจนสุดมือ ร่างของฉินอวี้โม่ก็อันตรธานหายไป

“ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เห็นแล้วว่าสุนัขขี้เรื้อนเป็นยังไง”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหยามเหยียด

เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย เฟิงอู๋ก็รู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นอีก ทันทีที่เขาหันศีรษะมองไป ร่างของฉินอวี้โม่ก็ไปปรากฏอยู่ไม่ไกลข้างหลังเขา นางยืนนิ่งราวกับสิ่งที่พูดออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของนาง

“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครกล้าหยามเกียรติข้าในอาณาเขตของตระกูลเฟิง ผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลฉู่ คนผู้นี้เป็นสมาชิกตระกูลฉู่ของท่านรึ?”

เฟิงอู๋เอ่ยถามและรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะคำพูดของฉินอวี้โม่เมื่อครู่นั้นเพียงพอที่เขาจะได้สั่งสอนคนตระกูลฉู่หลายคน

“เฟิงอู๋ ท่านจอมยุทธ์อ้ายฉือไม่ใช่คนที่เจ้าจะยั่วโทสะได้ ถ้ารู้แล้วก็หลีกไปให้พ้น!”

ใบหน้าของฉู่ชิงซานดูบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆและไม่ไว้หน้าเฟิงอู๋อีกต่อไปขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือข่มขู่

ฉินอวี้โม่คือผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาทุกคนไว้และพวกเขาทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ในตอนแรกที่พวกเขาชวนนางมาร่วมเดินทางก็เพื่อสร้างความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับนาง หากว่าคนอย่างเฟิงอู๋คิดหาเรื่องและทำให้นางเดือดร้อน พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน

คำดูหมิ่นทั้งหมดที่เฟิงอู๋กล่าวเกี่ยวกับพวกเขา บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ไม่ได้โกรธเคืองมากนัก ทว่าเมื่อต้องการยั่วยุฉินอวี้โม่ พวกเขากลับมีท่าทีและไม่เห็นด้วยอย่างออกนอกหน้า

“ฟังจากชื่อแล้วบุรุษผู้นี้คงจะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลฉู่”

เฟิงอู๋เมินเฉยต่อคำพูดของฉู่ชิงซานโดยสมบูรณ์และมองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา “เจ้าแอบแฝงตัวเข้ามาในเมืองเฟิงหวงและยังกล้าที่จะปกปิดบังใบหน้าที่แท้จริง เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเข้ามาในเมืองเฟิงหวงแห่งนี้เพราะมีแผนการที่ไม่ดีบางอย่าง?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เฟิงอู๋คนนี้ยังคงทะนงตนเป็นที่สุดและชอบหาเรื่องคนอื่นทั้งที่ไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง

 “เท่าที่ข้ารู้มา ผู้นำตระกูลเฟิงไม่เคยเอ่ยถึงข้อห้ามในการสวมหน้ากากเมื่อเข้าสู่เมืองเฟิงหวง ยิ่งไปกว่านั้นคือข้ามากับตระกูลฉู่ การที่เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับเจ้าสงสัยในตัวพวกเขา ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ทำไมเราไม่ไปหาท่านผู้นำตระกูลเฟิงและถามความเห็นของเขาดูล่ะ?”

ฉินอวี้โม่ไม่อยากให้เฟิงอู๋รู้ตัวตนที่แท้จริงของนางเร็วเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เรื่องนี้ไม่สนุกอีกต่อไป

ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ นางได้ยินคนตระกูลฉู่พูดคุยกันเกี่ยวกับตระกูลเฟิงมากมายและได้รู้ว่าเฟิงหรูเซียว—ผู้นำตระกูลเฟิงเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง นางยังรู้อีกว่าผู้นำตระกูลไม่ชอบเฟิงอู๋เป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงกล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะนางไม่อยากโต้เถียงและต้องการให้เขาถอยไป

“เหอะ เจ้าไม่ต้องข่มขู่ข้าหรอก ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลเฟิง ข้ายังมีอำนาจพอสมควร หากเจ้าอยากจะผ่านไปก็ต้องถอดหน้ากากให้ข้าได้เห็นเสียก่อน มิฉะนั้นก็ออกไปจากเมืองนี้ซะ!”

เฟิงอู๋แค่นเสียงเย็นชา เขาถูกข่มขู่ด้วยชื่อของผู้นำตระกูลซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

“เฟิงอู๋ อย่าให้มันมากเกินไป พี่อ้ายเป็นแขกของพวกเราตระกูลฉู่ ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะไปหาท่านตาเฟิงด้วยตัวเองและถามเขาว่าเจ้ามีสิทธิ์มีเสียงในเมืองเฟิงหวงตั้งแต่เมื่อไหร่!”

เดิมทีฉู่เจี๋ยไม่อยากจะยั่วยุเฟิงอู๋ ทว่าเมื่อเห็นเขาพยายามหาเรื่องฉินอวี้โม่ไม่หยุด เด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหวและอารมณ์ร้อนไปชั่วขณะซึ่งแตกต่างจากตัวเขาในเวลาปกติ

เขาทนได้หากตนเองถูกรังแก ทว่าหากใครคิดจะรังแกคนที่เขาเคารพ เขาฉู่เจี๋ยจะไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน!