โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.497 – หยิ่งผยอง 

 

 

 

ซางฮันเคยเรียกประชุมเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเลยเป็นธรรมดาที่เธอจะจำฉินเฟิงได้ แต่เธอไม่คาดคิดเลย ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ฉินเฟิงจะเดินทางมายังเมืองเป่ยหัว และสำแดงพลังชนิดหาผู้ใดเปรียบ 

 

 

 

“เขาแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียว” ซางฮันสูดหายใจลึก 

 

 

 

ซางฮันรู้ว่าฉินเฟิงเป็นคนล้างบางเผ่ากริม ช่วงชิงเมืองลอยฟ้า ทว่าในครั้งนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะกลอุบาย  

 

 

 

หากมีใครทำแบบเดียวกันกับเขา บางทีอาจจะทำสำเร็จเช่นกัน 

 

 

 

ทว่าน่าเสียดายนัก ที่ไม่มีใครกล้า! 

 

 

 

หลังจากซางฮันรู้ว่าฉินเฟิงยึดเมืองลอยน้ำได้ เมื่อย้อนนึกไปถึงการคุมทัพของกวงเว่ยในสมรภูมิหลงฉวน มันช่างไม่ต่างไปจากขยะ! เพราะสิ่งที่เลเวล C สามรถทำได้ พวกเลเวลสูงกว่าจะไม่สามารถทำได้ ได้อย่างไร? 

 

 

 

ยังไงก็ตาม ในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น  

 

 

 

ฉินเฟิงผู้นี้มิได้มีดีแค่การใช้กลอุบาย แต่ครอบครองความแข็งแกร่งชนิดต่อต้านเจตจำนงสวรรค์อย่างแท้จริง 

 

 

 

“เขาทำมันได้ยังไง?” ซางฮันพึมพำกับตัวเอง หยวนห่าวมิได้เอ่ยตอบกลับไป อันที่จริงแล้วในใจเขาก็กำลังขบคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่อย่างไรก็นึกไม่ออก 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขากับฉินเฟิงเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C เหมือนกัน แต่หากให้เขาทำแบบเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ 

 

 

 

“มีบันทึกวิดีโอเอาไว้รึเปล่า?” ซางฮันเอ่ยถาม 

 

 

 

“ไม่” หยวนห่าวส่ายหน้า 

 

 

 

ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ซางฮันไม่อยากใช้สมองเกี่ยวกับมันมากไปกว่านี้ นิ่งคิดสักพักก็ละทิ้งไป “เอาเถอะ มันไม่สำคัญหรอก นายคอยจับตาดูเรื่องนี้เอาไว้ก็พอ ถ้าเขามีความแข็งแกร่งอย่างที่ได้ข้อมูลมาจริงๆ กองทัพสัตว์ร้ายที่กำลังจะมาถึงในอีกครึ่งเดือนจากนี้ อาจจำเป็นต้องพึ่งเขา” 

 

 

 

“น้อมรับคำสั่ง ท่านจ้าวพรมแดน!” 

 

 

 

… 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่ทราบถึงความคิดของซางฮัน ตอนนี้เขากำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเกิดความรู้สึกว่าพลังในปัจจุบันของเขา มันเกือบจะทันกับความแข็งแกร่งเลเวล A ในชีวิตก่อนแล้ว 

 

 

 

ในตอนนี้ หากเผชิญหน้ากับผู้ใช้พลังเลเวล B ฉินเฟิงไม่หวาดกลัว ต่อให้เผชิญหน้ากับเลเวล A เขามั่นใจว่าตนเองสามารถหลบหนีไปได้ 

 

 

 

“คงถึงเวลาที่ต้องเตรียมแก่นพลังงานเลเวล C ระดับราชันย์กับจักรพรรดิเอาไว้แล้วสินะ” 

 

 

 

ไป๋หลียังไม่ได้กินแก่นราชันย์เลเวล C เลย อีกอย่างเขาไม่รู้ถึงปริมาณที่แน่นอน ที่เธอต้องการ แต่ตอนนี้ เงินที่ฉินเฟิงสามารถนำออกมาใช้ได้มีเยอะ เยอะมากๆ ดังนั้นถึงเวลาบอกลาอดีต ที่ต้องลำบากใจในยามใช้จ่ายเสียที 

 

 

 

เพราะในตอนนี้ ฉินเฟิงได้ก่อตั้งกลุ่มองค์กรแล้ว และกลุ่มเฟิงหลีก็ผลิตเครื่องจักรออกขายเป็นที่เรียบร้อย ตราบเท่าที่เทคโนโลยีเหล่านั้น ล่วงรู้เฉพาะพวกเขา มันย่อมสร้างผลกำไรมหาศาล 

 

 

 

“เอาไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปสำรวจหุบเหวกันอีกครั้ง!” 

 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงพาไป๋หลีไปส่งภารกิจ ได้รับตราเลเวล C –ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ถือว่าเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C อย่างเป็นทางการแล้ว 

 

 

 

จากนั้น ทั้งสองก็รับภารกิจเพิ่มเติมเพื่อออกสำรวจการเปลี่ยนแปลงของหุบเหวทางตอนเหนือ โดยระหว่างภารกิจสามารถล่าสังหารได้ตามสะดวก เก็บจำนวนสังหารสัตว์ร้ายไปแลกแต้มสงครามกับหยางเป่ยได้ 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ ในวันถัดๆมา กิจวัตรของฉินเฟิงจึงเป็นการออกสำรวจหุบเหวตอนเหนือในยามเช้า และกลับโรงแรมในยามค่ำ พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปกว่า 5 วัน 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ เหล่าอัจฉริยะจากทุกรัฐได้ทยอยกันเข้ามา ผู้เข้าประลองกว่าหนึ่งร้อยหกสิบคน บวกกับคนดูแลจากแต่ละรัฐ , เจ้าเมือง , ผู้นำตระกูล ฯลฯ 

 

 

 

คุณลองจินตนาการดูเถอะ ว่ามันจะมีชีวิตชีวาขนาดไหน 

 

 

 

ในทางตรงกันข้าม เมื่อตอนฉินเฟิงออกเดินทาง คนจากตระกูลอื่นๆไม่ได้ส่งตัวแทนมาเลย ดังนั้นทีมจากสี่เมืองทะเลเหนือ จึงมีกันทั้งสิ้น 11 คนเท่านั้น พวกเขาถือเป็นกลุ่มที่น้อยที่สุด ทว่าพวกตระกูลชั้นสูงหรือ เจ้าเมืองจากสี่เมืองทะเลเหนือ ต่างก็วางใจ 

 

 

 

เพราะรัฐอื่นๆ ส่วนใหญ่ผู้ดูแลที่ตามมา จะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล D แข็งแกร่งสุดก็เลเวล C แตกต่างกันไปตามอัจฉริยะที่นำมา 

 

 

 

ถึงกระนั้น จากในบรรดาผู้ดูแลทั้งหมดนี้ คนที่แข็งแกร่งสุด ย่อมไม่พ้นฉินเฟิงมิใช่หรือ? 

 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองจากสี่เมืองทะเลเหนือ หรืออาวุโสจากสามตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ ทุกคนล้วนไม่มีผู้ใดทัดเทียมเขา 

 

 

 

ดังนั้นก่อนงานประลองในเมืองเป่ยหัวจะเริ่มขึ้น ผู้คนจากสี่เมืองทะเลเหนือ เลยอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากฉินเฟิงกลับมาในวันนี้ เพียงเดินเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม เขาก็พบกลุ่มฝูงชนมากมายรวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาบางอย่าง 

 

 

 

เนื่องจากห้องอาหารของโรงแรมอยู่ชั้น 1 ในล็อบบี้ นอกจากทางขึ้นห้องพักแล้ว ก็มีแค่ทางเข้าห้องอาหาร นี่เองทำให้ฉินเฟิงเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี 

 

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ แต่ฉินเฟิงยังเห็นว่าจิ่นเฟยและคนอื่นๆ กำลังถูกหยุดอยู่หน้าทางเข้า 

 

 

 

เวลานี้ นายน้อยตระกูลโหวใบหน้าแดงก่ำ ลากยาวลงมาถึงลำคอ ตวาดอย่างโกรธเคือง “ทำไมนายถึงไม่ให้พวกเราเข้าห้องอาหาร? คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?” 

 

 

 

ชายที่ยืนขวางประตูหัวเราะหยัน “ไม่สำคัญว่าฉันเป็นใคร แต่นายน้อยของฉันกำลังทานอาหารเย็นอยู่ และเขาไม่ชอบกินข้าวร่วมกับคนอื่น ไว้นายน้อยทานเสร็จเมื่อไหร่ พวกนายถึงจะเข้าไปได้!” 

 

 

 

“ใครสน!” 

 

 

 

“พวกแกทำเกินไปแล้ว ที่นี่ไม่ใช่บ้านของพวกแกสักหน่อย!” 

 

 

 

“ใช่ แบบนี้มันมากเกินไป ใครจะไปอยากกินของเหลือจากนายน้อยแก” 

 

 

 

อันที่จริงห้องอาหารของโรงแรมเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มันไม่มีทางเป็นของเหลือไปได้ แต่ชายที่ยืนขวางประตู กลับเชิดหน้า ทำทีว่าเหนือกว่า และมองคนอื่นๆที่เหลือ ว่ามีคุณสมบัติเพียงรอกินเศษอาหารต่อจากนายน้อยของเขาเท่านั้น 

 

 

 

สิ่งนี้เลยทำให้เหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆ รู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา 

 

 

 

“เหอ? ไม่พอใจงั้นหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ นายน้อยของฉันคือทายาทสายตรงของตระกูลฮั่นแห่งรัฐฮั่นชวน และบิดาของนายน้อย คือตัวตนทรงอำนาจเลเวล A — ฮั่นโหมว ได้ยินแบบนี้แล้ว พวกแกยังอยากมีปัญหากับนายน้อยของฉันอีกรึเปล่า? ยังคิดว่าตัวเอง มีคุณค่าพอให้นั่งร่วมโต๊ะกับท่านอีกไหม?” 

 

 

 

เดิมทีในบรรดาอัจฉริยะ มีผู้ดูแลและคนคุ้มกันปะปนอยู่ด้วย และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่เลวเลย เป็นเลเวล D ขั้นกลางๆถึงท้ายๆ และแทบอดใจไม่ไหว กำลังจะก้าวออกไปทุบตีอีกฝ่ายอยู่แล้ว 

 

 

 

ทว่า หลังจากได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยว่ามาจากรัฐฮั่นชวน ทุกคนต่างชะงักฝีเท้า ปิดปากเงียบไม่กล้าเอ่ยคำใด 

 

 

 

พรมแดนทางตอนเหนือมีทั้งหมด 16 รัฐ เป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนที่เข้มแข็งและอ่อนแอปะปนกันไป ตัวอย่างเช่นรัฐสามเฉิง ที่ตำแหน่งผู้การรัฐ กล่าวได้ว่ามีแค่ในนามก็ยังได้ เพราะเจ้าตัวไม่เห็นถึงพลังใดๆของสามเฉิง ดังนั้นไม่สนใจใยดี และตัวเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งเช่นกัน 

 

 

 

กล่าวได้ว่าเขาอาจได้รับความเคารพในรัฐสามเฉิง แต่หากออกไปภายนอก คงเป็นได้แค่ลูกน้องคนอื่น 

 

 

 

ภายในสิบหกรัฐ สี่เมืองทะเลเหนือที่ว่าอยู่ในวงแหวนรอบสาม (นับจากเมืองเป่ยหัว) ดังนั้นเป็นรัฐที่มีสถานะอ่อนแอ  

 

 

 

ในขณะเดียวกัน รัฐที่เข้มแข็ง ย่อมไม่ขาดแคลนทรัพยากร รัฐฮั่นชวนมีผู้นำที่ทรงพลัง แม้จะอยู่ในดินแดนทางตอนเหนือเหมือนกัน แต่ผู้การรัฐกลับมีเลเวลมากถึง A อีกทั้งยังได้ติดต่อกับซางฮัน ร่วมมือกันบ่อยๆ 

 

 

 

เมื่อมีตัวตนทรงอำนาจเช่นนี้คอยจัดการดูแล สถานการณ์ในรัฐฮั่นชวน จึงดีกว่าที่อื่นมาก 

 

 

 

นั่นหมายความว่าเหล่าอัจฉริยะจากรัฐนี้ย่อมแข็งแกร่งมากเช่นกัน และคนที่ถูกเรียกว่านายน้อย มิใช่ใครอื่น แต่เป็นลูกชายของฮั่นโหมว! 

 

 

 

พริบตานั้น ฝูงชนที่กำลังโกรธแค้นก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดอีกต่อไป 

 

 

 

แต่ในเวลานั้นเอง คนข้างในที่กำลังทานอาหาร ในที่สุดก็เดินออกมา เผยโฉมต่อหน้าฝูงชน 

 

 

 

และบนหน้าอกเขา ติดไว้ซึ่งตราสัญลักษณ์เลเวล D ยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนกไปอีกขั้น 

 

 

 

นี่คืองานประลองสำหรับรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่กลับปรากฏผู้ใช้พลังเลเวล D ขึ้นอย่างกะทันหัน! 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น กลิน่อายอันทรงพลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมา มันเป็นกลิ่นอายของผู้ใช้อบิลิตี้! 

 

 

 

อายุยังไม่ถึง 20 ปี ทั้งยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ แต่สามารถทะยานถึงเลเวล D ได้แล้ว ในพรมแดนทางเหนือ ถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ! 

 

 

 

คนเช่นนี้แล คือลูกรักของพระเจ้า เป็นที่โปรดปรานของสวรรค์อย่างแท้จริง! 

 

 

 

ฮั่นจุนเดินออกมาจากห้องอาหาร หน้าผากยับย่นแสดงถึงความไม่พอใจ กล่าวเสียงจม “เสียงดังอะไรกัน? จนฉันต้องหยุดกินอาหารเลย” 

 

 

 

คนเฝ้าประตูเมื่อเห็นฮั่นจุนออกมา ก็เร่งก้าวไปข้างหน้า ส่ายหางประจบทันที “คนพวกนี้มันไม่มีตา ขอนายน้อยอย่าโกรธเคือง” 

 

 

 

สายตาของฮั่นจุนกลายเป็นเย็นชา กวาดมองฝูงชนอย่างรวดเร็ว ประกายเหยียดหยันสะท้อนในแววตาของเขา 

 

 

 

“ก็แค่พวกฝูงขยะ!” 

 

 

 

ฝูงชนแม้โกรธเกรี้ยว ทว่ามิกล้าสบถด่า นายน้อยของตระกูลโหวไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อน เขาปรารถนาจะฉีกปากของฮั่นจุน แต่ตัวเขาเอง มีความสามารถไม่พอ ได้แต่คาดหวังให้คนอื่นก้าวออกไปทำแทน 

 

 

 

แต่น่าเสียดาย ที่ไม่มีใครออกไปเลย! 

 

 

 

‘ถ้าคนๆนั้นอยู่ที่นี่ ก็คงจะดี’ นายน้อยตระกูลโหวคิดถึงฉินเฟิงโดยไม่รู้ตัว 

 

 

 

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ระหว่างนึกคิด นายน้อยตระกูลโหวคล้ายตระหนักว่ามีใครบางคนกำลังมองอยู่เบื้องหลัง เขาหันหัวกลับไป และพบฉินเฟิงกับไป๋หลี 

 

 

 

เขาร้องอุทานเสียงดังด้วยความประหลาดใจ “ผู้การรัฐ!”