ตอนที่ 118 หมอเทวดาคุ้มครองด้วย!

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

เดิมเซียวเถี่ยเฟิงกำลังกังวลเรื่องอาการปวดท้องของกู้จิ้งและกำลังตั้งหน้าตั้งตานวดท้องน้อยให้เธอ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะได้ยินเธอพูดออดอ้อนเช่นนี้ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นดวงตาซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับราวดวงดาวของเธอกำลังหรี่ปรือ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ผิวขาวเนียนนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ดูมีเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหลเหลือเกิน

ดวงตาของเขาเปล่งประกายวูบ ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นหลายส่วน มือที่กำลังนวดเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด

“ได้ ต่อไปข้าจะนวดให้เจ้าทุกวัน”

เขากล่าวคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เปี่ยมด้วยความรัก

 

หลังจากกู้จิ้งประจำเดือนหมด เธอก็ยกผ้าอนามัยที่เหลือให้ผู้หญิงคนอื่น สตรีนางนั้นรับไปพลิกดูอยู่นานด้วยความอัศจรรย์ใจ ในใจรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของกู้จิ้งมาก

การกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจของเธอทำให้ผ้าอนามัยเวอร์ชันโบราณถือกำเนิดขึ้นในอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ช่วยให้สตรีมากมายที่ต้องเป็นทุกข์กับการมีประจำเดือนได้พบกับแสงสว่าง

กู้จิ้งย่อมไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เพราะเธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมการบรรยายครั้งใหม่

ที่แท้ถึงแม้โรคระบาดจะถูกกำจัดไปแล้ว หมอหลวงเถียนก็ยังไม่วางใจ เขาจึงมาขอคำแนะนำจากกู้จิ้งเพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคระบาดได้บ้าง จากนั้นก็ขอร้องให้กู้จิ้งเปิดการบรรยายเกี่ยวกับโรคระบาด เช่น จะหลีกเลี่ยงโรคระบาดได้อย่างไร หลังจากติดโรคระบาดควรทำอย่างไร ควรดูแลผู้ที่ติดเชื้อโรคระบาดอย่างไร ฯลฯ

กู้จิ้งย่อมเต็มใจ การบรรยายความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพเช่นนี้เธอเคยทำมาสองครั้งแล้ว และทุกครั้งต่างก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

สามารถถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้ผู้คนมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงจากโรคภัยและมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว

หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย การบรรยายครั้งที่สามในชีวิตของกู้จิ้งก็เริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

ที่พูดว่ายิ่งใหญ่ก็เพราะมีผู้คนมาฟังการบรรยายมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกคนได้ยินว่าหมอเทวดาซึ่งสำเร็จเป็นเซียนไปแล้วกลับลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดโรคระบาดช่วยเหลือผู้คนกำลังจะเปิดการบรรยายก็ตื่นเต้นมาก บางคนถึงกับเดินทางมาไกลหลายร้อยลี้เพื่อมาฟังการบรรยายครั้งนี้เลยทีเดียว

ถึงวันบรรยาย กู้จิ้งก้าวขึ้นไปบนเวทีในชุดสีขาว รวบผมดำสนิทขึ้นสูง ดูราวกับเซียนบนสวรรค์ ดวงตาทั้งคู่ก้มลงมองสรรพชีวิตที่นั่งอยู่เบื้องล่าง

ทุกคนพากันคุกเข่าลงกราบไหว้พลางร้องตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า “หมอเทวดาคุ้มครอง หมอเทวดาคุ้มครองด้วย!”

กู้จิ้งถือโทรโข่งขนาดใหญ่พิเศษที่ทำขึ้นเองไว้ในมือพลางกระแอมเบาๆ จากนั้นก็เริ่มบรรยายถึงสาเหตุของโรคระบาด, วิธีป้องกันโรคระบาด, วิธีรักษาคนที่ติดเชื้อโรคระบาด รวมไปถึงเหตุผลที่คนที่ไม่ได้ติดเชื้อต้องฉีดวัคซีน

เธอพยายามอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ผู้คนที่ด้านล่างต่างก็รับฟังด้วยความกระตือรือร้นและเลื่อมใสศรัทธา

พวกเขาย่อมรู้ดีว่านี่คือวิธีช่วยชีวิต

โรคระบาดครั้งนี้ทำให้ความยำเกรงต่อชีวิตและความหวาดกลัวต่อความตายฝังลึกอยู่ในใจของทุกผู้คน ด้วยเหตุนี้ หมอเทวดาซึ่งสามารถช่วยเหลือพวกเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้จึงกลายเป็นบุคคลที่พวกเขาเคารพนับถืออย่างที่สุด

หลังจากการบรรยายสิ้นสุดลง แม้กู้จิ้งจะลงจากเวทีไปแล้ว ผู้คนมากมายที่เบื้องล่างก็ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่ได้แยกย้ายกันไปไหน

“ท่านหมอเทวดา คุ้มครองลูกของข้าให้เติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยด้วย!”

“ท่านหมอเทวดา หลายวันก่อนสามีของข้าหกล้มบาดเจ็บ ขอร้องท่านช่วยคุ้มครองอย่าให้เขาขาเป๋เลย!”

“ท่านหมอเทวดา ท่านหมอเทวดา คุ้มครองสะใภ้ของข้าให้คลอดหลานชายตัวอวบอ้วนให้ข้าด้วย!”

“ท่านหมอเทวดา โปรดคุ้มครองทุกคนในครอบครัวของเราให้ปลอดภัยด้วยเถิด!”

กู้จิ้งซึ่งยืนพิงร่างเซียวเถี่ยเฟิงอยู่ในมุมมืดมองดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้าพลางทอดถอนใจ

“เรารีบหนีกันเถอะ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงไม่ใช่คนแล้ว”

ไม่ใช่คน แต่เป็นเซียน

“ได้” แม้รสชาติของของเซ่นไหว้จะไม่เลว แต่มีคนมากราบไหว้เมียเขามากมายเช่นนี้ นานวันเข้า เขาก็รู้สึกเหมือนเมียของตัวเองกำลังจะถูกบรรดาสาธุชนเหล่านี้แย่งชิงไปไม่มีผิด

 

กู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงเก็บข้าวของเสร็จก็ขี่ม้าไปจากโรงหมอ

ระหว่างทางพวกเขาทั้งกินทั้งเที่ยวทั้งแวะชมทิวทัศน์อันงดงามของเมืองต่างๆ ในสมัยโบราณ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีเยี่ยงเทพยดา วันหนึ่งพวกเขาบังเอิญเดินทางผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนมากราบไหว้มากมาย ตอนแรกยังไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นกลับสังเกตเห็นว่าตรงหน้าประตูศาลนั้นมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘หมอเทวดาผู้ช่วยเหลือสรรพชีวิต’

พอเข้าไปดูก็พบว่าในศาลมีรูปสลักของผู้หญิงคนหนึ่ง

กู้จิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปถามเซียวเถี่ยเฟิง “หรือว่า…นี่เป็นศาลของฉัน?”

เซียวเถี่ยเฟิงจ้องริมฝีปากสีแดงรวมทั้งใบหน้าแดงเกินจริงกับหน้าผากโหนกนูนของรูปสลักแล้วก็พยักหน้า “ใช่ นี่เป็นรูปสลักของเจ้า”

กู้จิ้งตะลึงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หันไปคว้าแขนเซียวเถี่ยเฟิง “ช่างเถิด เรารีบไปกันดีกว่า ไม่เห็นก็ไม่ต้องรกหูรกตา!”

ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวบ้านร่ำลือกันอย่างไร ทำไมถึงได้คิดว่าเธอมีหน้าตาแบบนี้ ดูเหมือนผีดูดเลือดไม่มีผิด!

เซียวเถี่ยเฟิงปรายตามองอีกรอบ สุดท้ายก็อดพูดไม่ได้ “น่าเกลียดจริงๆ”

ริมฝีปากของเสี่ยวจิ้งเอ๋อของเขาสวยจะตาย แดงฉานเหมือนเลือดแบบนั้นเสียที่ไหน!

คิดไม่ถึงว่าคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจของเขากลับถูกคนที่มากราบไหว้ได้ยินเข้าพอดี คนคนนั้นหันมาถลึงตามองเขาด้วยความโกรธแค้น

“เจ้าพูดอะไร? รู้ไหมว่านี่คือท่านหมอเทวดา ท่านหมอเทวดากู้ ท่านเป็นเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ แต่เจ้ากลับพูดว่าน่าเกลียด?”

พอเขาร้องโวยวายขึ้นมา คนอื่นๆ ที่กำลังกราบไหว้อยู่ด้านในก็ทยอยวิ่งออกมาพลางถลกแขนเสื้อขึ้น ท่าทางเหมือนอยากจะโผเข้ามารุมซ้อมเขาไม่มีผิด

เขารีบยกมือขึ้นคารวะ “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายถึงท่านเซียน แต่หมายถึง… หมายถึง…นาง”

เขาชี้กู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

เขาจำเป็นต้องชี้กู้จิ้งเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

กู้จิ้งตาค้าง แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?

แต่ถึงแม้เซียวเถี่ยเฟิงจะยอมเสียสละภรรยา คนอื่นๆ ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี พวกเขาพากันล้อมวงเข้ามาด้วยความไม่พอใจ แถมยังตั้งท่าจะรุมประชาทัณฑ์อีกด้วย

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นท่าไม่ดีก็รีบคว้าภรรยามากอดก่อนจะสะกิดเท้ากระโดดขึ้นไปบนหลังม้าแล้วรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ ได้แต่มองตามหลังคนทั้งคู่ตาค้าง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็มีคนพูดขึ้นว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าสองคนนี้ดูคุ้นๆ หน้านะ…”

“ใช่ พอเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา…”

ทันใดนั้น ทุกคนก็ตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน “ท่านหมอเทวดากับท่านสามี!”

ท่านสามี?

โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงเผ่นหนีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าได้ยินสรรพนามเช่นนี้ เขาคงต้องกระอักเลือดแน่!

เซียวเถี่ยเฟิงคอยสืบข่าวของอู่อ๋องไปตลอดทาง ตอนนี้อู่อ๋องขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้ว ในที่สุดแผ่นดินก็สงบสุขชั่วคราว แต่ฮองเฮาที่เขาแต่งตั้งกลับไม่ใช่ลวี่หลัว แต่เป็นสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งในเมืองเอี้ยนจิง

กู้จิ้งรีบถามข่าวของลวี่หลัว

แต่ทุกคนกลับย้อนถามด้วยความงุนงง “ลวี่หลัว ใครคือลวี่หลัว?”

กู้จิ้งจนปัญญา สุดท้ายก็ได้แต่ถามว่านอกจากฮองเฮาแล้ว ในวังยังมีสตรีนางไหนเป็นที่โปรดปรานอีกบ้าง แต่ที่นี่ห่างไกลจากเอี้ยนจิงมาก ผู้คนจะรู้ข่าวในวังหลวงมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขารู้เพียงแค่ว่าสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเป็นบุตรีของโหวเหยท่านหนึ่ง นางมีหน้าตางดงาม เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถ นอกจากนี้ก็ไม่รู้อะไรอีก

กู้จิ้งอดทอดถอนใจไม่ได้ นึกถึงตอนที่ลวี่หลัวแต่งงานกับอู่อ๋อง ทั้งสองคนก็พอจะเรียกได้ว่าสมกันปานกิ่งทองใบหยก เธอยังเคยคิดว่าอู่อ๋องเป็นคนที่มากด้วยคุณธรรมและน้ำใจ เพราะเขายอมยกลวี่หลัวซึ่งเคยมีฐานะเป็นอนุภรรยาขึ้นมาเป็นพระชายา คิดไม่ถึงเลยว่าพอได้เป็นฮ่องเต้ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน

“นายว่าตอนนี้ลวี่หลัวอยู่ที่ไหน กลายเป็นพระสนมไปแล้วหรือเปล่า?” ในวังมีสามตำหนักหกเรือนเจ็ดสิบสองพระสนม ถึงจะไม่ได้เป็นฮองเฮา แต่อย่างน้อยตำแหน่งพระสนมก็น่าจะไม่เป็นปัญหานะ?

ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ลวี่หลัวกำลังวุ่นวายอยู่กับการแก่งแย่งชิงดีหรือเปล่า

“ไม่รู้สิ” เซียวเถี่ยเฟิงส่ายหน้า

จริงๆ แล้วเมื่อก่อนลวี่หลัวเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชามือดีของเขา นางเป็นสาวน้อยที่ฉลาดมาก แต่ตอนหลังกลับยืนกรานจะตามอู่อ๋องไป หากนางไม่หนีไป ป่านนี้คงได้เป็นแม่ทัพหญิงหรือโหวเหยหญิงไปแล้ว

เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรัก นางยอมถูกกักขังอยู่ในวังหลัง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ครอบครองตำแหน่งฮองเฮา จุดจบในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเป็นห่วง แต่ละคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองเลือก เขาเซียวเถี่ยเฟิงมีหน้าที่แค่รับผิดชอบเสี่ยวจิ้งเอ๋อของเขาเท่านั้น

ทั้งสองเดินทางไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไปถึงเมืองจูเฉิง