บทที่ 162 หาเงินจากการต่อสู้ได้นี่เอง ! (ปลาย)
ชริ้ง !
ดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยวปลิวหลุดจากมือ สะบัดไปไกลในอากาศ พลังต้านทานหนักแน่นนั้นสามารถระงับการพุ่งเข้ามาของมีดบินคู่ชะงักลงทันที ทว่าเพียงชั่วขณะ มีดบินอีกเล่มพลันตวัดข้ามมาจากด้านหนึ่งของลาน !
แสงสว่างวาบแปลบปลาบ ฉึก ! ชายที่ถือดาบสั้นสะดุ้งเฮือกตัวเกร็งแข็งทื่อ ที่คอหอยปรากฏมีดบินปักคาอยู่มีความลึกราวหนึ่งนิ้วเศษ
ยามนี้เยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อเดินเข้ามามองโม่อวิ๋นฉีใกล้ ๆ จึงพบว่าสีหน้าของฝ่ายนั้นซีดเผือดไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงถามให้แน่ใจ “ไหวไหม ?”
พลันโม่อวิ๋นฉีจึงรู้สึกตัว เขายืดอกหลังตึง “คิดว่าข้าจะตายหรือไง ?”
เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปตบบ่าโม่อวิ๋นฉีเบา ๆ “เอาน่า ไว้ถึงฉางหลานเมื่อไรข้าจะให้เจ้าได้พักยาว ๆ” จากนั้นคนพูดก็ก้มลงเก็บดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยวและถุงเบี้ยที่เหน็บเอว หันมายื่นให้โม่อวิ๋นฉี
“ดาบสั้นนี่อย่างน้อยน่าจะมีค่าสักสองล้านเหรียญทอง จะเก็บไว้ไหม ? อือม ถ้าเจ้าไม่เอา…”
เพียงเท่านั้นโม่อวิ๋นฉีคว้าหมับทั้งดาบสั้นและถุงเงิน เขาหันมาทำตาประหลับประเหลือกใส่คนพูด “ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นหัวขโมยนัก ?”
เยี่ยฉวน “…”
“สองล้านเหรียญทอง !” เสียงโม่อวิ๋นฉีพึมพำพลางก้มลงพิจารณาดาบสั้นในมือด้วยแววตาประหลาดใจ ถึงแม้ว่าตระกูลของเขาจะครอบครองศาสตราวุธจิตวิญญาณหลายสิ่ง แต่ไม่เคยได้สัมผัสหรือแตะต้องศาสตราวุธล้ำค่าเช่นนี้ อีกอย่างเงินสองล้านเหรียญทอง สำหรับตระกูลของเขาแล้วมันก็ถือว่ามีจำนวนมหาศาลทีเดียว
เขาทอดถอนใจ “เออนี่ หัวโขมยพี่เยี่ย ข้าเพิ่งรู้ว่าทำไมเจ้าถึงชอบต่อสู้ ! เพราะว่าสามารถหาเงินได้ด้วยวิธีนี้นั่นเอง !” จากนั้นหันไปจ้องหน้าเยี่ยฉวนเขม็ง
“คราวหน้าถ้าเจ้าออกไปต่อสู้ล่ะก็ เรียกข้าด้วยนะ.. นะ ไม่งั้นต่อไปพวกเราไม่ต้องนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องอีก !”
เยี่ยฉวน “…”
ทันใดนั้นทุกสายตาหันไปมองบนหลังคาบ้านซึ่งห่างออกไป ที่นั่นจี้อันซื่อกำลังต้านทานลูกธนูพลางล่าถอย ก่อนที่สตรีสวมชุดดำพลันหยุดต่อสู้ นางหันกลับและทะยานขึ้นสู่อากาศออกไประยะไกล ความเร็วในการเคลื่อนที่ประดุจนกอินทรี
เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนหรี่ตาลงนิดหนึ่งก่อนตวาดเสียงดัง “ตามไปเลย !”
สิ้นเสียงคำราม เขากระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นดินโครมใหญ่ พลันร่างทั้งร่างทะยานขึ้นสู่อากาศ ทว่าไม่นานร่างทั้งร่างก็ร่วงลงสู่พื้น…
ตุ้บ
ท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงของโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ ขณะเดียวกันเยี่ยฉวนก็ได้สีหน้าเจื่อน ยิ้มแห้ง ๆ ด้วยตนเองเพิ่งขั้นหลอมรวมลมปราณ จะบินเหินเวหากับเขาได้เสียที่ไหน !
ไป๋เจ๋อบุ้ยปากไปทางโม่อวิ๋นฉีเพราะเทียบกันในสามคน โม่อวิ๋นฉีเป็นคนที่มีความเร็วเป็นเลิศ แต่โม่อวิ๋นฉีกลับส่ายหน้าดิก “ข้าใช้พลังไปมากแล้วชักหมดแรง เห็นท่าจะวิ่งตามไม่ไหว”
เยี่ยฉวนพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจ “งั้นก็ช่างเหอะ” ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ เขาทำท่านึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันมาถามเพื่อนทั้งสอง “พวกเจ้าตามข้ามาได้ยังไง ?”
โม่อวิ๋นฉีตอบเสียงเรียบ “อาจารย์ใหญ่น่ะซี บอกว่าเจ้าถูกรุม พวกเราจึงรีบตามมาสมทบนี่แหละ !” พลันเขาทำท่าเหมือนลังเลก่อนพูดต่อว่า “พี่หัวขโมยเยี่ย ถึงแม้ว่าพลังของเจ้าจะเป็นรองข้านิดหน่อย แต่ต่อไปต้องระวังตัวให้มากเพราะตอนนี้ใครใครต่างก็หมายเอาชีวิต เพราะฉะนั้นวันหน้าเมื่อจะลงจากเขาอย่าไปคนเดียว ให้ตามพวกเราไปด้วยครบทีม ! คนเดียวหัวหาย สามคนเพื่อนตาย !
เยี่ยฉวนมึนตึ้บกับข้อสรุปดื้อ ๆ ของอีกฝ่าย “…”
ไป๋เจ๋อเหลือบมองโม่อวิ๋นฉี ส่งสายตาเหยียด “พอกันเลย เจ้าทุเรศ !” เขายอมรับว่าเยี่ยฉวนหนังหนา หน้าก็หนา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีคนหนายิ่งกว่าคือโม่อวิ๋นฉี !
ได้ยินไป๋เจ๋อว่าดังนั้น โม่อวิ๋นฉีพลันเหลือบมองพลางพูดว่า “สารรูปอย่างเจ้าไม่เหมาะกับบทพระเอกหรอก รู้ไว้ด้วย !”
ไป๋เจ๋อหันมาจ้องหน้าโม่อวิ๋นฉี “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ว่าข้าเตะทีเดียวเจ้าจะกระเด็นไปตกในป่านู้นนน… เลย !”
ยังไม่ทันไรร่างของโม่อวิ๋นฉีถอยห่างออกไปไกลหลายจั้งอย่างรวดเร็ว
เขากวักมือเรียกคนตัวใหญ่หยอย ๆ “ถ้างั้นก็มาเลย มาเซ่ !”
ไป๋เจ๋อเลิกคิ้วมองนิ่ง เขาละความสนใจจากโม่อวิ๋นฉีหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “กลับกันเถอะ !”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วย จึงหันไปพยักหน้ากับจี้อันซื่อซึ่งยืนมองคนทั้งสามเงียบ ๆ “แม่นางจี้จอมเขมือบ… อุ๊บตายละวา แม่นางจี้กลับกันเถอะ แหะแหะ !”
“ว่าไงนะ เรียกข้าว่าจอมเขมือบงั้นเหรอ ?” จี้อันซื่อมองเยี่ยฉวนด้วยสายตากราดเกรี้ยว
“เวรแล้วไง !” เขารำพึงในใจ จากนั้นจึงนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะหันไปชี้โม่อวิ๋นฉี
“เป็นเจ้านั่นที่บอกว่าเจ้าเป็นจอมเขมือบ !”
โม่อวิ๋นฉีชะงักกึก งงงัน
จากนั้นเยี่ยฉวนหันไปทางไป๋เจ๋อ “เจ้าโม่จอมกะล่อนเป็นคนพูด จริงไหม ?” ไป๋เจ๋อตาล่อกแล่กจ้องหน้าเยี่ยฉวนด้วยงุนงง พลันอ่านปากของอีกฝ่ายได้ความว่า ‘อยากกินอะไร ?’ ขณะเยี่ยฉวนทำปากขมุบขมิบไปทางตน ไร้เสียงพูดเล็ดรอดใด
ไป๋เจ๋อเข้าใจทันที เขาชี้มือไปทางโม่อวิ๋นฉีที่อยู่อีกด้าน “แหงเลย มันนั่นแหละ !”
“ซวยละตู !” โม่อวิ๋นฉีเห็นท่าไม่ดีกระโดดพรวดออกจากที่ ทันใดนั้น ลำแสงแห่งดาบพุ่งวาบจากท้องฟ้าลงเป้าหมายที่ตัวเขา
สีหน้าแปรเปลี่ยนจากภาพตรงหน้า ก่อนที่จะหันหลังวิ่งสุดฝีเท้า ยังไม่วายหันมาตะโกนสาปแช่งเพื่อนสองคนที่เป็นต้นเหตุ “จำไว้เลย… ไอ้เพื่อนชั่ว… !!”
เมื่อโม่อวิ๋นฉีลับตาไปแล้ว ไป๋เจ๋อหันมาพูดกับเยี่ยฉวนหน้าตาสดชื่น “มื้อค่ำนี้ข้าขอเป็นไก่อบฟางหอม ๆ!”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “มิมีปัญหา !”
หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินย้อนกลับตามเส้นทาง ไม่นานต่อมาทั้งสองคนก็มาถึงชายป่า ซึ่งเมื่อพ้นจากป่าจะถึงเชิงเขาฉางหลาน
ทว่าไม่ทันไรเสียงระเบิดสองครั้งพลันดังสนั่นทั่วไปทั้งป่า ฉับพลันร่างคนสองคนล่าถอยออกมา พวกเขาคือโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ !
สภาพของคนทั้งสองที่ล่าถอยออกมามีโลหิตไหลซึมออกจากมุมปาก ไม่เพียงเท่านั้นที่ไหล่ข้างหนึ่งของจี้อันซื่อยังมีลูกธนูขนนกเสียบคา และลูกธนูขนนกอีกดอกปักคาอยู่ที่ต้นขาของโม่อวิ๋นฉี !
…และด้วยเพราะคนทั้งคู่หาได้มีกายาแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเยี่ยฉวน ดังนั้นลูกธนูจึงสามารถทำอันตรายต่อคนทั้งสองได้ !
เมื่อเห็นเช่นนั้นสีหน้าของเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อแปรเปลี่ยนเคร่งเครียด ทั้งสองคนรีบตรงเข้าไปช่วยคนที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ทันใดนั้นร่างของบุรุษและสตรีคู่หนึ่งจะทะยานออกมาจากป่าทึบ !!
สตรีนางนั้นคือคนในชุดดำที่แอบดูบนหลังคาบ้านก่อนหลบหนีไป ! ส่วนบุรุษรุ่นหนุ่มอีกคนดูอายุราวยี่สิบขวบปี สวมผ้าคลุมยาวทรงหลวมสีดำ ผมยาวประบ่าและมีงูสีดำมะเมื่อมคล้องที่คอและพาดเลยอยู่บนไหล่ทั้งสอง
เยี่ยฉวนก้มลงมองโม่อวิ๋นฉี เขากระซิบบอกมาเบา ๆ “ระวังตัว ไอ้หนุ่มนี่พลังกล้าแกร่งไม่ใช่เล่น !
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตามองตรงไปที่คนในระยะไกลผู้กำลังแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าชื่อเฟิงอี้ซิ่ว เป็นศิษย์สายในสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นชู อยู่อันดับที่สิบเก้าของทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแผ่นดินชิง !”
ทันทีนั้นเยี่ยฉวนก้าวเท้าออกไปข้างหน้า พลันในอุ้งมือปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ! สายตาของเขาจับแน่วแน่บนใบหน้าของเฟิงอี้ซิ่ว
“ชื่อของข้าเยี่ยฉวน ศิษย์สถานศึกษาฉางหลานแคว้นเจียง อันดับหนึ่งแห่งทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แผ่นดินชิง !”
คนที่เดินตามหลังได้ยินเต็มสองหู โม่อวิ๋นฉีสะดุ้งเฮือก พลันเอื้อมมือไปสะกิด “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”
เยี่ยฉวนไม่ได้หันกลับมา เขาเอียงหน้านิดหนึ่ง “อันดับแรกจากล่างขึ้นบนไงเล่า สงสัยอะไร ?” จากนั้นไม่รอช้า เยี่ยฉวนเร่งความเร็วฝีเท้า เร็วขึ้นและเร็วขึ้น…
ทว่าโม่อวิ๋นฉีกลับหัวทิ่มพรวด “…”