มู๋เย๋ลุกขึ้น แววตาแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว “บินผ่านไป?”

 

“น่าจะไม่ใช่ครับ” ลูกผสมนิ่วหน้าพร้อมรายงานต่อ “มันบินวนรอบๆเมืองหยินของเราดูเหมือนน่าจะกำลังหาที่ลงจอด”

 

มู๋เย๋ครุ่นคิดอยู่ในหัว เขาไม่ได้หุนหันพลันแล่นหรือใช้ความรุนแรงในการออกคำสั่ง “สั่งการพวกข้างล่างให้อย่าทำตัวเป็นจุดสังเกตและปล่อยมันให้ลงจอดซะ”

 

เมือง ป่า ถนน ทุกพื้นที่นั่นไม่ได้เรียบแบนอีกต่อไปในโลกาวินาศ พืชทั้งหลายทะลุดินขึ้นมาคำราม มันขยายลำตัวยักษ์ใหญ่กีดขวางถนนและครอบคลุมดินจนไม่เหลือพื้นที่ ซึ่งมันทำให้ยากที่จะมีพื้นหรือทางเดินเรียบๆ แม้กระทั่งพื้นที่กว้างภายในตัวเมืองที่ซึ่งเป็นพื้นปูนซีเมนต์ก็ตาม อีกทั้งในตอนนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น รากไม้ส่วนใหญ่ที่ชอนไชทะลุดินขึ้นมานั่นมีความหนาหนึ่งถึงสองเมตรกำลังแข็งและแห้งไปกับอากาศ

 

เมื่อได้ยินคำสั่งของมู๋เย๋ ลูกผสมที่เข้ามารายงานสถานการณ์ผู้ซึ่งเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาก็สงสัยในใจ… มันมีเพียงแค่สามค่ายหลักๆในจีนเท่านั้นและตอนนี้พวกเขากำลังจะเปิดเผยพื้นที่ของพวกเขาให้อีกฝ่ายเข้ามาถึงที่ นี่ท่านมู๋เย๋ต้องการร่วมมือกับคนพวกนี้งั้นเหรอ?

 

เฮลิคอปเตอร์จากซางจิงบินวนรอบอยู่ในอากาศ มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่นั่งอยู่ในห้องโดยสาร นอกเหนือจากนักบินสองคน ที่เหลืออีกสองคนก็คือเหย่จือโปและจ่าวฮ่าวฮาว

 

“นี่มันจะมีที่ให้จอดมั้ย?” เหย่จือโปตะโกนใส่นักบินทั้งสองลั่น “เอาแต่บินวนไปมาอยู่ครึ่งชั่วโมงจนฉันเวียนหัวหมดแล้ว”

 

นักบินทั้งสองเหงื่อตก พวกเขาไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ ทำได้แค่เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงอ่อน “ผมพยายามหาอยู่ครับท่านเหย่ แต่มันไม่ปลอดภัย”

 

“แม่งเอ๊ย! ไอ้เวร! มีแต่พวกไร้ประโยชน์ทั้งนั้น!” เหย่จือโปตะโกนด่าลั่นอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงขึ้นสูง

 

“ได้แล้วครับท่าน!” จู่ๆนักบินก็โพล่งขึ้นมาด้วยความยินดีและรีบบังคับเฮลิคอปเตอร์ลงไปจอดที่ลานกว้างตรงข้ามตึกหลังหนึ่ง

 

ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ได้นำมาเศษฝุ่นและของต่างๆในอากาศปลิวว่อนไปรอบๆบริเวณจากนั้นก็ค่อยๆทิ้งตัวลงพื้นเมื่อใบพัดหยุดลง เหย่จือโปกระโดดลงมาทันทีที่เปิดประตูออก เขามองไปรอบๆอย่างเวียนศีรษะ!

 

เหย่จือโปที่ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์โดยที่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าก้าวที่สองด้วยซ้ำ ก็ต้องตะลึงกับกลุ่มคนชุดดำที่ปรากฏตรหน้า ร่างกายที่แตกต่าง ความสูงที่แตกต่าง และการแต่งกายโดยชุดคลุมสีดำปกปิดมิดชิดทั้งตัวไม่เปิดเผยให้เห็นผิวหนังเลยสักจุดอีก

 

และท่ามกลางกลุ่มคนชุดดำพวกนี้ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ตรงกลางของกลุ่ม ร่างของชายหนุ่มดูผอมบางแถมผิวยังดูขาวซีดอีก ทว่าที่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น แต่งกายเรียบร้อยดูดี เรียกว่าพิถีพิถันเลยก็ว่าได้ หากชายหนุ่มคนนี้กลับไม่มีนัยน์ตาสีขาวเหมือนลูกผสมตัวอื่น หากแววตาของเขากลับทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกกลัวได้

 

เหย่จือโปเซเล็กน้อย เขาพยายามฝืนความกลัวของตัวเองและพยายามทำให้จิตใจมั่นคงและก้าวเดินไปข้างหน้า

 

ในตอนนั้นเอง จ่าวฮ่าวฮาวพึ่งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์และเมื่อเขาได้เห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัว จ่าวฮ่าวฮาวมองไปที่เหย่จือโปที่กำลังเดินหน้าเข้าไปกลุ่มคนชุดดำ

 

ลูกผสม! พวกลูกผสม! เหย่จือโป…นี่เขา?

 

มู๋เย๋ยิ้มอยู่ในแววตา หลังจากสบตากับจ่าวฮ่าวฮาวและนักบินทั้งสองคนด้านหลังเหย่จือโป เหย่จือโปก็เดินเข้ามาหามู๋เย๋พร้อมกับเหงื่อแตกพลั่กพร้อมกับที่มู๋เย๋เอ่ยขึ้น “เอาทั้งสามคนนั่นมาประชุมด้วยกันซะ”

 

เหย่จือโปยืนห่างจากมู๋เย๋ออกไปสองเมตร เขาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเรียกความกล้าให้ตัวเองและพูดขึ้น “ล้อเล่นน่ะ คนหนึ่งคือบอดี้การ์ดของผมเอง ส่วนอีกสองคนเป็นนักบิน ถ้าคนของผมไปหมดแล้วผมจะกลับไปยังไง?”

 

มู๋เย๋เลิกคิ้วขึ้นและเดินหน้าขึ้นมา “คนคนเดียวก็สามารถขับเฮลิคอปเตอร์ได้ เพราะฉะนั้นทิ้งไว้คนเดียวพอ”

 

ความคิดของเหย่จือโปดิ่งลึก จากนั้นก็หันไปยิ้มให้นักบินที่กำลังตื่นตระหนกทั้งสองคน “แน่นอน ผมก็แค่ล้อเล่น นักบินร่วมของผมเป็นพรสวรรค์ที่มีฝีมือดี”

 

“อ่า? ท่าน! ท่าน!” นักบินที่เป็นพรสวรรค์ตระหนกเข้าไปใหญ่ เขามองจ้องไปที่เหย่จือโปที่ขายเขาอย่างทันที มันน่าเหลือเชื่อ

 

โชคร้ายที่นักบินคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้พูดต่อเพราะเขาถูกกลุ่มลูกผสมล้อมรอบไปแล้วเรียบร้อย เขาถูกจับมัดแขนไขว้หลังเนื่องจากมู๋เย๋ไม่ชอบความวุ่นวายใดๆเพราะฉะนั้นนักบินคนนี่จะต้องไม่หลบหนีไปได้เด็ดขาด

 

ส่วนนักบินอีกคน ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นเทิ้มขณะยืนอยู่ข้างจ่าวฮ่าวฮาว มองดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตรงหน้าด้วยความกลัว

 

“พรสวรรค์!?” มู๋เย๋แสดงความพึงพอใจออกมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “พรสวรรค์ในด้านไหน?”

 

“ฮ่าฮ่า!” เหย่จือโปหัวเราะ “นั่นคือสิ่งที่เราจะพูดคุยกันทีหลัง ฉันเดินทางมาไกลมาก นายจะไม่ปล่อยให้ฉันได้สนุกก่อนเลยเหรอไง?”

 

“หึ!” มู๋เย๋แสยะยิ้ม “ตามฉันมา ฉันจะรอดูว่าข้อมูลนายทำอะไรได้ขนาดไหน แล้วพวกเราลูกผสมจะร่วมมือกับนาย!”

 

“มันจะทำให้นายพอใจแน่!” เหย่จือโปมั่นใจ ก่อนจะเดินจากไป เขาก็ออกคำสั่งกับจ่าวฮ่าวฮาวและนักบินอีกคน “รออยู่ที่นี่และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด?”

 

จ่าวฮ่าวฮาวนิ่วหน้า ส่วนนักบินอีกคนพยักหน้ารับรัวๆ เหงื่อแตกพลั่กทั่วตัว

 

กลุ่มลูกผสมจ้องมาที่ทั้งสองอย่างหยาบคาย ถึงแม้สองคนนี้จะไม่ใช่อาหารแต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรอก่อนไม่ได้สักหน่อย?

 

เหย่จือโปเดินตามมู๋เย๋ไป รอบตัวของเขาคือกลุ่มลูกผสมที่เดินไปด้วยกัน แววตาของพวกลูกผสมเยือกเย็นและน่ากลัวจ้องเขม็งมาที่หัวใจของเหย่จือโปจนเดินมาถึงห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่า ซึ่งเดิมเป็นโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองหยินเมื่อในยุคศิวิไลซ์ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นบ้านสุดหรูของมู๋เย๋ไปแล้ว

 

พ่อครัวที่เป็นมนุษย์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่มู๋เย๋จะจากไปเขายังไม่ได้อนุญาตให้ลุกขึ้น ดังนั้นพ่อครัวเลยไม่กล้าที่จะตัดสินใจเอาเอง เขาไม่อยากทำอะไรเองโดยพลการเนื่องจากเขาอาจกลายเป็นอาหารของมู๋เย๋ได้ทันที เพราะว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มู๋เย๋ยังนั่งกินเนื้อมนุษย์อยู่ตรงนี้อยู่เลย

 

มู๋เย๋เดินเข้ามาพร้อมกับเหย่จือโป หากไม่ไว้หน้าเหย่จือโปเลยสักนิด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่มีในห้องนี้ เขาก็มองมาที่เหย่จือโปด้วยท่าทางราชาและเอ่ย “เอาเป็นว่า ข้อมูลนั่นคืออะไร?”

 

เหย่จือโปรขมวดคิ้ว มองไปที่พ่อครัวซึ่งเป็นมนุษย์ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ จากนั้นก็กวาดสายตามองเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องโถง มันมีเก้าอี้เพียงแค่ตัวเดียว

 

“หุ้นส่วน นายจะไม่ให้ฉันนั่งก่อนเหรอ?” เหย่จือโปไม่พอใจ แม้เขาจะกลัวลูกผสมและตอนนี้เขาก็อยู่ในค่ายของพวกลูกผสม แต่เขามีข้อมูลอยู่ในมือและเขาเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติที่จะต่อรองกับมู๋เย๋อย่างเท่าเทียมได้

 

“นาย? หุ้นส่วน? เมื่อไหร่ที่ฉันตกลงว่าจะร่วมมือด้วย?” แน่นอนว่า มู๋เย๋แสยะยิ้มโดยไม่คิดปิดบัง “นายก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆในซางจิงเท่านั้นไม่ใช่เหรอไง? นายมีดีอะไรที่จะมาต่อกรกับฉัน?”