ตอนที่ 496

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูจุดฟืนด้วยความดีใจในใบหน้า เปลวไฟอบอุ่นแผ่ทั่วกระท่อมหนาวเย็น ไม่นานทั้งกระท่อมก็อบอุ่นอยู่สบาย

 

ลู่จือยี่ที่ยังไม่ได้สติเริ่มมีสีหน้าขึ้นมาบ้าง สีหน้านางค่อยๆดูสบายขึ้น นางอยู่ในอ้อมแขนของซือหยูราวกับลูกแมวเงียบๆ

 

ซือหยูถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใดและยังมีผู้หญิงไร้สติอยู่ข้างเขาอีก ซือหยูครุ่นคิดทั้งๆที่ยังเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ต่อเนื่อง ไม่นานเขาก็ผลอยหลับไป

 

ต่อมา ซือหยูตกใจตื่นขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร!

 

สิ่งที่เข้ามาในสายตาเขาคือดวงตาที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีที่แผดเผาไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธ!

 

ลู่จือยี่กัดฟันพูด

 

“ปล่อยข้า!”

 

ซือหยูที่ได้สติรีบปล่อยนางด้วยความเขินกาย แต่เมื่อปล่อยมือไปเขาก็รู้สึกถึงความหนาวเย็น

 

ลู่จือยี่ที่ออกจากอ้อมกอดตัวสั่นเพราะความหนาวเช่นกัน ฟืนที่จุดไฟมอดไปหมดแล้ว ความเย็นจากภายนอกเล็ดรอดเข้ามาภายในกระท่อม ซือหยูมองรอบๆและเห็นว่าฟืนทั้งหมดถูกใช้ไปแล้ว!

 

“ฮื่ม! เวทความฝันวิญญาณน้ำแข็ง!”

 

ลู่จือยี่ยังคงหน้าแงดระเรื่อ นางมองหิมะนอกกระท่อมและถอนหายใจแรง

 

“เวทความฝันรึ?”

 

ซือหยูสงสัย

 

ลู่จือยี่จ้องมองเขา

 

“จะเป็นอะไรไปได้อีกเล่า? ฐานพลังกับสมบัติพวกเราหายไป แล้วพลังกายยังมาอยู่ในระดับคนปกติ ถ้าไม่ใช่เวทความฝันแล้วมันจะเป็นอะไร?”

 

นางเริ่มโมโห ถ้าร่างกายนางไม่อ่อนแอ นางจะไม่ตอบโต้กับผู้ชายที่มีนางในอ้อมแขนได้อย่างไร?

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้พบกับเวทความฝัน เขารู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ได้พบเจอ

 

“ต่อให้ถ้ารู้ว่ามันเป็นเวทความฝัน แต่มันก็ยังสมจริงอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี”

 

ลู่จือยี่มองด้านนอก

 

“เวทความฝันวิญญาณน้ำแข็งเป็นหนึ่งในห้าเวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด คงแปลกถ้าเจ้าจะมองออก”

 

ซือหยูลูบคาง เขารู้ว่านางกำลังโกรธ แต่เขาก็ไม่มีพลังจะโต้เถียงกับนาง

 

“แล้วเราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง?”

 

เวลาในกระโจมเทพสวรรค์ผ่านมาแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่ได้สิ่งจำเป็นในการสร้างเนตรเงินล้างอสูรเลย

 

“เรียบง่ายนัก…”

 

“ตราบเท่าที่หาช่องโหว่ได้ เราก็จะไม่ถูกเวทนี้หลอกอีกต่อไป”

 

คำพูดของนางดูง่าย แต่พวกเขาจะเริ่มหาช่องโหว่ที่ใดกัน?

 

“สิ่งที่เรียกว่าช่องโหว่ก็คือสิ่งที่เจ้าคิดว่ามันเป็นจริงน้อยที่สุด!”

 

“มันคือความแตกต่างของภาพลวง”

 

ซือหยูเข้าใจในสิ่งที่นางบอกแล้ว แต่เขาอยู่ที่นี่มาทั้งววัน นอกจากเรื่องที่ฐานพลังกับพลังกายหายไป เขาก็ไม่พบสิ่งอื่นที่แปลกไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะนั้นก็หนาวเย็นจริงๆ ซือหยูคิดหนักกับเรื่องกระท่อมกลางทุ่งหิมะแต่เขาก็ไม่เห็นสิ่งที่เกินจริงเลย

 

ในตอนนั้นเอง พายุหิมะหยุดลง ด้านนอกเริ่มมีแสงส่อง แสงนั้นสาดสะท้อนกับหิมะ

 

“ไปหาข้างนอกเถอะ”

 

ลู่จือยี่เสนอ

 

“สังเกตให้ดี ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป นั่นก็ต้องเป็นช่องโหว่”

 

ลู่จือยี่เปิดประตู สายลมเย็นพัดใส่นางทำให้นางตัวสั่นระริก

 

ซือหยูยืนขึ้นเดินไปด้านนอกพร้อมกับนาง ที่นอกกระท่อม ภาพเทือกเขานั้นงดงามราวกับภาพวาด ราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ที่หยุดนิ่ง

 

“ที่นี่ดูสุขสงบ แต่เวลาที่นี่ดูจะผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่งแล้ว”

 

ซือหยูมองสิ่งที่เห็นอย่างหม่นหมอง เขาถอนหายใจออกมา

 

ลู่จือยี่มองเขา ดวงตาน่ารักกระพริบไปมา

 

“เจ้าพูดแบบนั้นออกมาได้ด้วยรึ”

 

ซือหยูหัวเราะเบาๆ

 

“ข้าว่าข้าเจอช่องโหว่แล้วล่ะ”

 

“หา?”

 

ลู่จือยี่เลิกคิ้ว

 

“ที่ไหนล่ะ? ทำไมข้ามองไม่เห็น?”

 

ซือหยูยิ้ม เขามองลู่จือยี่ ภาพร่างกายอันงดงามของนางสะท้อนดวงตาเขา

 

“มันอยู่ตรงหน้าเจ้านี่แหละ”

 

ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อ นางพูดด้วยความผิดหวัง

 

“เจ้าจะบอกว่าข้าถูกสร้างขึ้นมารึ? หาต่อไปเถอะ”

 

ลู่จือยี่นั้นเป็นตัวจริง นางมิใช่ภาพลวงตา

 

ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ เขาถอนหายใจ

 

“ไม่ใช่ตาข้า แต่เป็นตาเจ้า!”

 

ลู่จือยี่ขมวดคิ้ว

 

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าเป็นภาพลวงตารึ?”

 

ตรงหน้านางมีแต่เพียงซือหยู!

 

“มิใช่ข้า แต่…”

 

มีความเฉียบคมในดวงตาซือหยู

 

“ดวงตาข้า! ข้าเป็นคนตาบอด ข้าจะเห็นโลกกว้างใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

 

ซือหยูตาบอดมานานแล้ว เขาเห็นโลกผ่านเนตรวิญญาณเท่านั้น ในดินแดนหิมะอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ เขาเป็นแค่คนธรรมดา เนตรวิญญาณของเขาหายไป แต่เขาก็ยังเห็นสถานที่อันงดงามนี้ได้อย่างชัดเจน ดวงตาที่มืดบอดของเขาไม่ได้บอดที่นี่! นี่คือความไม่ลงรอยกัน!

 

“อะไรนะ? เจ้าตาบอดรึ?”

 

ลู่จือยี่ตกตะลึง แม้ว่าจะได้ตอบโต้กันมาบ้างในอดีต นางก็ไม่รู้ว่าซือหยูตาบอด

 

ซือหยูยิ้ม

 

“เจอช่องโหว่แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อรึ?”

 

ลู่จือยี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“รอสักเดี๋ยว”

 

เมื่อนางพูด ภาพที่ทั้งสองได้เห็นนั้นบิดเบี้ยวพังทลายราวกับกระดาษที่พับเอง ซือหยูกับลู่จือยี่ราวกับภาพวาดที่บิดเบี้ยวไปมา

 

โลกตรงหน้าเขากลายเป็นความมืดมิด ความอบอุ่นแผ่เข้าสู่อกของซือหยู เขาลืมตาช้าๆและเห็นหญิงสาวตรงหน้า นางค่อยๆลืมตาขึ้นมาเช่นกัน ยังมีรอยโลหิตจากมุมปากทั้งสองด้าน นี่คือลู่จือยี่ตัวจริงที่ถูกหุ่นเชิดสีเงินทำร้ายสินะ?

 

ในตอนนั้น พวกเขาอยู่เคียงข้างกันในวงเวทที่เหนือยอดเขา! ข้างๆพวกเขาคือชายหนุ่มที่หลับตาอยู่ เขาคือศิษย์ของลู่จือยี่ ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวราวกับว่ายังมิอาจออกจากภาพลวงตาได้

 

ลู่จือยี่ค่อยๆลืมตา สิ่งที่เห็นคือใบหน้าของซือหยู นางหน้าแดงและออกจากแขนของเขา นางมองดูร่างกายและตรวจสอบฐานพลังของตัวเอง ไม่นานนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ซือหยูมองสิ่งรอบข้างด้วยเนตรวิญญาณเพื่อหาศัตรู แต่นอกจากพวกเขาและเว่ยกัง แม้แต่โจวฉีหมิง จางซื่อเหลียน และอีกสองคนก็หายไป! พวกเขาไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่หรอกรึ?

 

ซือหยูสงสัยอย่างมาก เขากำลังจะเลิกใช้เนตรวิญญาณแต่ก็เหลือบไปเห็นพื้นเบื้องล่าง มันมีแผ่นวงกลมถูกฝังเอาไว้!

 

ซือหยูขุดมันขึ้นมาด้วยเท้า แผ่นวงกลมนั้นเยือกเย็นเมื่อสัมผัส มันปล่อยพลังอันหนาวเหน็บออกมา คุณภาพของของสิ่งนี้นั้นนับว่ายอดเยี่ยม

 

“นี่คือแผ่นเวทของเวทความฝันวิญญาณน้ำแข็ง…”

 

“มันใช้เพื่อดักศัตรู ดูเหมือนมันจะใช้ได้อีกสองครั้ง แต่ไม่ต้องพูดว่ามันยังใช้ได้อีกกี่ครั้งหรอก แค่พลังของมันอย่างเดียวก็นับว่ามันเป็นสมบัติวิญญาณระดับกลางแล้ว”

 

สมบัติวิญญาณระดับกลางรึ? ซือหยูใจสั่น

 

ในตอนนั้น หลังจากที่เวทถูกถอนไป เว่ยกังตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตา เขาเบิกตากว้าง

 

“ท่านอาจารย์ อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

เว่ยกังถามด้วยความเป็นห่วง

 

ลู่จือยี่โบกมือ

 

“ข้าไม่เป็นไร นี่มัน…”

 

นางมองรอบๆและดูเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นี้ นี่ไม่ดูเหมือนชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ ไม่นานนางก็อ้าปากด้วยความตกใจ นางมองซือหยูด้วยความตกตะลึง ราชามนุษย์คนนี้ทำให้นางตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

เว่ยกังสังเกตเห็นใบหน้านางและไม่พอใจ เขาก็อยู่ข้างนางแต่ลู่จือยี่นั้นเมินเขาเพราะซือหยู เหตุใดอาจารย์ของเขาจึงปฏิบัติต่อเด็กผมสีเงินคนนี้ต่างจากคนอื่นเล่า?

 

“ข้าว่าควรจะห่วงพวกกึ่งเทพสี่คนมากกว่า พวกนั้นติดอยู่ที่ชั้นเจ็ดเพราะหุ่นเชิดนั่นหรือไม่?”

 

ลู่จือยี่สีหน้าเคร่งเครียด นางหลับตาและใช้สัมผัส สีหน้านางเปลี่ยนไป

 

“ข้าว่าพวกนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย! กึ่งเทพสี่คนนั้นอยู่ในชั้นแปดทุกคน!”

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าพวกนั้นเข้ามาได้ หุ่นเชิดสีเงินนั้นก็เข้ามาได้เช่นกัน!

 

ซือหยูใจหาย เมื่อคิดถึงพลังระดับนั้นโดยไร้ขีดกำจัดฐานพลัง ถ้าพวกเขาได้เจอกับหุ่นเชิดอีกครั้ง พวกเขาคงไม่มีหวังที่จะรอด

 

“ดูเหมือนพวกนั้นจะกระจัดกระจายไปเพราะเวทยักย้าย พวกนั้นกำลังไปที่กลางชั้นแปด”

 

“ที่นั่นคือตำหนักลับสวรรค์!”

 

สีหน้านางดูเป็นกังวล

 

“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ายู่จางอยู่ไหน ข้าไม่ได้วางผนึกไว้กับนางและไม่รู้ว่านางมาถึงชั้นนี้หรือไม่”

 

ซือหยูจำได้ว่ายู่จางเป็นคนแรกที่ตามเส้นทางเข้ามา เขาเพ่งสมาธิและพบว่าดูเหมือนพลังมิติจะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเขากับยู่จางหายไป เขามิอาจสัมผัสที่อยู่ของนางได้ แต่เขาก็ยืนยันได้ว่านางได้มาที่ชั้นแปด

 

“ไม่ว่าจะยังไง เราต้องไปที่ตำหนักลับสวรรค์เป็นอย่างแรก”

 

ซือหยูสรุป

 

ลู่จือยี่พยักหน้า นางกำหมัดอย่างเด็ดเดี่ยว

 

“ตามนั้นแหละ!”

 

ซือหยูโยนเวทความฝันวิญญาณน้ำแข็งลงในแหวนมิติ

 

“เดี๋ยวสิ!”

 

เว่ยกังจ้องมองซือหยูเมื่อสังเกตว่าเขาเอาสมบัติไว้กับตัวโดยไม่สนใจพวกเขา เขาไม่พอใจมาก

 

“ท่านอาจารย์ สิ่งนั้นพวกเราเป็นคนค้นพบ แต่เขาก็เก็บเอาไว้เอง นั่นจะไม่มากไปหน่อยรึ?”

 

ซือหยูมองกลับไป

 

“ทุกคนเจอมันรึ? หา? อาจารย์เจ้ากับข้าเป็นคนเจอ เจ้าเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

 

ถ้าซือหยูไม่หยิบเอามันออกมา ใครจะไปรู้ว่าเว่ยกังจะหมดสติไปอีกนานเท่าใด?

 

“อย่างไรก็ต้องถามความเห็นอาจารย์ข้า…”

 

เว่ยกังพูด

 

“นางยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ เจ้ามีสิทธิ์อะไรเก็บมันไว้เอง?”

 

เขาเป็นศิษย์จากตำหนักเมฆาม่วงและเป็นศิษย์ที่ลู่จือยี่ชี้แนะด้วยตัวเอง ถ้าลู่จือยี่ตัดสินใจเอามันมา นางก็น่าจะให้เขาเก็บไว้ป้องกันตัว นางจะมอบมันให้กับคนสำนักอื่นทำไม?

 

ในด้านสถานะ ลู่จือยี่นั้นเป็นผู้เฒ่าจากตำหนักนอกของตำหนักเมฆาม่วงและยังเห็นเจ้าของเรือกระจ่างจันทร์ฉาย ตำหนักศีลหวนคืนก็เป็นแค่กำลังที่เทียบเท่ากับเรือกระจ่างจันทร์ฉาย และซือหยูก็ยังเป็นแค่ศิษย์ระดับต่ำจากตำหนักศีลหวนคืน ความแตกต่างในด้านสถานะนั้นบ่งบอกว่าซือหยูจะไม่มีทางได้เวทความฝันไปครอง

 

ซือหยูยักไหล่หัวเราะ

 

“อย่างไรอาจารย์เจ้าก็จะมอบมันให้ข้า ไม่ใช่รึ ผู้เฒ่าลู่?”

 

ลู่จือยี่ขมวดคิ้ว นางไม่สนใจกับของสิ่งนั้น แต่นางก็รำคาญในความอวดดีของซือหยู นางจ้องมองเขาแทนการเตือน

 

“เจ้าจะเอาไปก็ย่อมได้ ไปกันเถอะ”

 

เว่ยกังพูดไม่ออก เขาโกรธแค้นกับความลำเอียงของลู่จือยี่

 

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–

 

ทั้งสามหายไปจากจุดที่ยืนอยู่

 

******

 

สองชั่วยามต่อมา สายลมเย็นพัดผ่าน หญิงสาวอายุสิบห้าปีร่อนลงมา นางมองรอบๆด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

 

“คนที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ท่านอาจารย์บอกไม่ได้ปรากฏตัว”

 

นางคือคนที่วางเวทความฝัน!

 

นางไม่มีทางเลือก นางหยิบเอาเข็มทิศขึ้นมาอีกครั้ง เข็มของมันชี้ไปยังศูนย์กลางของชั้นแปด

 

“โอ้ นางไปที่ตำหนักลับสวรรค์แล้ว! นางเข้าไปได้ยังไง?”

 

นางเบิกตากว้าง จากนั้นนางก็ยิ้มออกมา

 

“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดข้าเจอนางแล้ว!”

 

นางพูดจบและบินไปยังตำหนักลับสวรรค์!

 

******

 

ที่อีกด้าน ร่างสีเงินปรากฏจากกลางอากาศ เขาคือหุ่นเชิดที่เข้ามาในเส้นทางมิติ!

 

เขามองรอบๆและเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น

 

“ชั้นแปด ทรัพยากรที่นี่อุดมสมบูรณ์ ดูเหมือนจะต้องมีการเสียสละที่นี่พอสมควรเลยล่ะ!”

 

“แต่…”

 

แววตาเขาดุร้าย

 

“แต่ข้าต้องหาไอ้เด็กมนุษย์นั่นก่อน! เอาของของข้าไป แล้วยังทำแผนข้าพัง! ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แน่!”

 

ดวงตาโลหิตเหลือบมอบ เขาหันไปทางตำหนักลับสวรรค์ รอยยิ้มชั่วร้ายฉาบใหน้า ฟันขาวเปล่งประกาย

 

“ฮ่า! เจอล่ะ! เจ้าตายแน่ไอ้หนู!”