ตอนที่ 384: ออกจากถ้ำของราชาวานร
เจี้ยนเฉินปฏิเสธที่จะตอบสนองต่อการเตือนของราชาวานรและตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า ข้ารู้ !
ราชาวานรจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งด้วยสายตาที่ดุดันก่อนที่จะพูดว่า,” ตระกูลใด ๆ ที่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ ตระกูลนั้นถือว่ามีอำนาจ คนที่เดินทางคนเดียวกับพยัคฆ์ปีกเทวะจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมากมาย ! “
” ราชาวานร มีเหตุผลว่าทำไมเราถึงแสดงออก ‘ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน’ สถานการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงในตอนนี้ แม้ว่าตระกูลที่กล่าวถึงจะแข็งแกร่งมาก อย่าลืมว่าทวีปเทียนหยวนนั้นใหญ่มาก พวกเขาคงไม่สามารถหาข้าเจอได้ง่าย ๆ ” เจี้ยนเฉินพูดอย่างไม่กลัว
” ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าเพียงต้องการให้ลูกของรัมกุยเนสอยู่อย่างปลอดภัยจากภยันตราย” ราชาวานรถอนหายใจก่อนหยิบขวดออกมา เขามอบให้เจี้ยนเฉินด้วยใบหน้าที่เจ็บปวด “สำหรับลูกของรัมกุยเนส ข้ายอมยกสมบัติของข้าให้ ข้าขอมอบสุราร้อยพงไพรขวดนี้ให้เจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถพัฒนาตัวเอง หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะสามารถปกป้องพยัคฆ์ปีกเทวะได้เต็มที่”
“ขอบคุณมาก ราชาวานร ! ” เจี้ยนเฉินร้องอย่างมีความสุขก่อนที่จะรีบใส่ขวดเข้าไปในแหวนมิติ ราวกับกลัวว่าราชาวานรจะเปลี่ยนใจ
“ราชาวานร ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนี้ข้าจะมอบให้เพื่อแลกกับสุราร้อยพงไพร” เจี้ยนเฉินหยิบขวดขึ้นมาและยื่นสมบัติผนึกภูผาให้ราชาวานร
ราชาวานรจับตามองสิ่งนั้นครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของมนุษย์ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้าเลย เอาไปเถอะ ถ้าเจ้าเจอวิธีที่จะใช้ ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎชิ้นนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบสมบัติผนึกภูผากลับไป
“การเติบโตของลูกเสือปีกเทวะจะเป็นไปอย่างช้า ๆ มันจะต้องใช้สมบัติสวรรค์จำนวนมากเพื่อที่จะเติบโต เนื่องจากข้าใช้เวลาหลายปีในการรวบรวมทรัพยากรมากมายและรัมกุยเนสเป็นเพื่อนรักของข้า ข้าจะยกมรดกให้ลูกเสือเพื่อเห็นแก่การเติบโตที่รวดเร็วขึ้น” ราชาวานรโบกมือ ทรัพยากรมีค่าหลายอย่างเริ่มมากองรวมกันบนโต๊ะ
โสมพันปี, เห็ดวิญญาณ, ผักไผ่น้ำ, หญ้าลิ้นมังกร, แกนพืช, รากวิญญาณอายุร้อยปีและอีกหลายอย่าง หลายสิ่งหลายอย่างที่เจี้ยนเฉินไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏอยู่บนโต๊ะ
สิ่งของเหล่านี้ล้วนถูกมอบให้กับลูกเสือ ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่ปฏิเสธสิ่งใดเลย เจี้ยนเฉินกล่าวขอบคุณและเริ่มรวบรวมทรัพยากรล้ำค่า
ราชาวานรพูดอีกครั้งว่า “อยู่ก่อนสักพัก ในเวลาเดียวกันข้าจะให้สมบัติสวรรค์กับพยัคฆ์ปีกเทวะเอง เด็กคนนี้กำลังนอนหลับอยู่ เราจะดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในภายหลัง เมื่อเขาตื่น เจ้าสามารถเอาเขาออกไปได้”
หลังจากนั้นราชาวานรก็ไม่สนใจเจี้ยนเฉินและนั่งลงบนเตียงของเขา เขาหลับตาและเข้าสู่การนอนหลับที่เงียบสงบ
ภายในถ้ำเริ่มเงียบสงบ เจี้ยนเฉินรู้สึกเบื่อ เขาเดินไปรอบ ๆ ถ้ำ เขาสังเกตพืชแปลก ๆ ที่ถูกเพาะปลูก
หลังจากรออยู่ 3 ชั่วยาม ลูกเสือก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด ดวงตาที่สดใสของมันเริ่มสั่นไหวและสังเกตเห็นเจี้ยนเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลเกินไป
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉิน ลูกเสือขาวก็ตกตะลึง หลังจากนั้นก็เริ่มส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุขก่อนที่จะกระโจนจากเตียงเข้าหาเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกเสือ ใบหน้าของเจี้ยนเฉินส่องสว่างอย่างมีความสุขก่อนที่จะหันไปทันเวลาและเห็นแสงสีขาวพุ่งเข้าหาหน้าอกของเขา ลูกเสือกระแทกกับลำตัวของเจี้ยนเฉินอย่างแรงจนทำให้เจี้ยนเฉินต้องถอยกลับไปหลายก้าว
“ฮู ..” ลูกเสือขาวมีความสุขอย่างมากและยังคงซุกตัวอยู่ในหน้าอกของเจี้ยนเฉิน มันใช้หัวถูเข้ากับคางของเขา มันเลียเจี้ยนเฉินอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อบ่งบอกถึงความสุข
หลังจากเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ลูกเสือขาวเริ่มให้ความสนใจกับเจี้ยนเฉินมากขึ้น
เจี้ยนเฉินยิ้มเมื่อเขามองดูลูกเสือ เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าลูกเสือตัวใหญ่และหนักกว่าเดิมนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมัน อุ้งเท้าทั้งสี่นั้นโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และแม้แต่เขี้ยวก็ดูน่ากลัวมาก
“เจี้ยนเฉิน รับลูกเสือปีกเทวะไปและออกไปจากที่นี่ ลูกเสือไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป” เสียงของราชาวานรดังขึ้น เมื่อลืมตา เขายิ้มไปและมองลูกเสือขาวด้วยความรัก
“ได้เลย ราชาวานร ข้าขออำลา ” เจี้ยนเฉินพูดกับราชาวานรก่อนที่จะนำลูกเสือออกไป
” ฮู่ ฮุ่ ..” ลูกเสือขาวดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพวกเขากำลังจากไป มันมองราชาวานรอย่างเศร้าโศกก่อนที่จะโบกมือให้ลาเขา
ออกจากถ้ำไปแล้ว โลกภายนอกนั้นค่อนข้างมืดมิดโดยมีดวงจันทร์สว่างส่องลงมาที่พื้นด้านล่าง
คืนนั้นสวยงามเป็นพิเศษด้วยแสงจันทร์ซึ่งสาดส่องไปทุกที่ แม้แต่เด็กที่ดื้อดึงก็ต้องตกตะลึงไปกับความสวยงามและจะต้องหลงใหลไปกับความงาม
ราชาวานรไม่ได้กล่าวลา เจี้ยนเฉินอุ้มลูกเสือไว้แนบอกและเริ่มบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ออกจากยอดเขา เขาข้ามกำแพงและผ่านมาโดยไม่มีเสียง
หลังจากผ่านกำแพง เจี้ยนเฉินไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เขาบินตรงไปที่หุบเขายั่งยืน
ลูกเสือสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับวิธีการบินและกำแขนของเจี้ยนเฉินไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาของมันเปล่งประกายด้วยความอยากรู้ขณะที่มันบิดและหันหัวไปรอบ ๆ มันขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเจี้ยนเฉินอย่างอบอุ่น มันยังคงเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพด้วยสีหน้าน่ารัก
เมื่อถึงเวลาที่เจี้ยนเฉินกลับมาที่หุบเขายั่งยืน มันเกือบจะเป็นเวลากลางวันแล้ว ตอนนั้นหมู่บ้านกำลังคึกคัก
เจี้ยนเฉินยังไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้าน แต่กลับลงมาในหุบเขาแทนและเดินไปตามทางที่เหลือพร้อมกับลูกเสืออยู่ข้าง ๆ
“เฮ้ เจี้ยนเฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ! เจ้าเอาของดีกลับมาให้ข้ากินหรือไม่ ? ” เจ้าอ้วนน้อยวิ่งมาหาเขาแต่ไกล ทันทีที่เขาเห็นลูกเสือในมือของเจี้ยนเฉิน เขาร้องออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เจี้ยนเฉิน เจ้าพบสัตว์อสูรตัวนี้ที่ไหน? มันมีปีกนั่นหมายความว่ามันจะบินได้เมื่อโตขึ้น”
เจี้ยนเฉินพยักหน้า “ข้าเจอสัตว์อสูรตัวนี้ในป่า เจ้าคิดอย่างไร มันน่ารักหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินจำคำพูดของราชาวานรได้และไม่พูดอะไรเลยที่จะเปิดเผยตัวตนของลูกเสือ
เจี้ยนเฉินและเจ้าอ้วนน้อยยังคงหัวเราะและล้อเล่นกันอย่างต่อเนื่องขณะที่พวกเขากลับมาที่หมู่บ้าน ระหว่างทางชาวบ้านหลายคนร้องเรียกทักทายเจี้ยนเฉิน ความสามารถในการบินของเจี้ยนเฉินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้าน เขาสามารถเป็นเซียนสวรรค์ได้ตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย เขาจึงได้รับความนับถือจากทั้งหมู่บ้าน
เมื่อเจี้ยนเฉินกลับมาที่บ้าน ผู้เฒ่าเซี่ยวและเซี่ยวมี่ทั้งคู่ก็เข้ามาพร้อมกับจอบซึ่งพาดอยู่ไหล่ในเวลาเดียวกัน
“อ๊า เจี้ยนเฉิน เจ้านำอะไรมากลับมา ? ” เซี่ยวมี่เหลือบมองไปที่ลูกเสือขาวพร้อมด้วยสายตาแปลก ๆ
เจี้ยนเฉินหัวเราะ “ลุงเซี่ยวมี่ นี่เป็นสัตว์อสูร ข้าเจอมันข้างนอกหุบเขา”
” เจ้าสัตว์ตัวน้อย ? ช่างเป็นสัตว์อสูรที่น่ารัก ? สถานที่นี้มีลำดับชั้น นี่เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำหรือ ? ” เซี่ยวมี่พูดด้วยความอยากรู้
เมื่อได้ยินคำว่าสัตว์อสูรระดับต่ำ ลูกเสือก็ดูราวกับว่ามันไม่พอใจ มันชูหัวของมันขึ้นสูงจากอ้อมแขนของเจี้ยนเฉิน มันเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมที่มีรัศมีของราชาส่องไปทางเซี่ยวมี่
ปฏิกิริยาของลูกเสือทำให้เซี่ยวมี่ประหลาดใจ เมื่อพิจารณา เขาก็มองดูปีกที่น่าตกใจก่อนที่จะหันกลับไปหาบิดาของเขา “ท่านพ่อ ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ท่านเคยเห็นสัตว์อสูรชนิดนี้หรือไม่ ? ตัวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่สัตว์อสูรระดับต่ำ”
ผู้เฒ่าเซี่ยวยังคงนิ่งเงียบเมื่อเขาจ้องมองลูกเสือ ในท้ายที่สุดเมื่อเขามองไปที่ปีกของลูกเสือ เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เขาเผยให้เห็นการแสดงออกที่เคร่งขรึม
เจี้ยนเฉินมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าขณะมองดูผู้เฒ่าเซี่ยว เขาไม่ได้เป็นกังวลหากผู้เฒ่าเซี่ยวรู้ตัวตนของลูกเสือเนื่องจากสัตว์อสูรระดับ 7 เท่านั้นที่จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของลูกเสือ ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของมันเพราะไม่มีใครเคยเห็นพยัคฆ์ปีกเทวะมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะบอกชื่อของมันก็คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จัก นั่นเป็นเพราะมันนานเกินไป – ครั้งสุดท้ายที่มันถูกพบคือช่วงเวลาของโมเทียนหยุน
เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเซี่ยวเงียบไปนาน เซี่ยวมี่จึงถามอีกครั้งด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านเองก็ไม่รู้ประวัติของลูกเสือ”
ผู้เฒ่าไม่สนใจเซี่ยวมี่ เขาหรี่ตามองดูปีกของลูกเสือ ในช่วงเวลานั้น ร่างกายของเขาเริ่มสั่นระริกราวกับว่าเขาคิดในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อและทันใดนั้นก็ตกใจเพราะมัน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้เฒ่า หัวใจของเจี้ยนเฉินก็เต้นแรง “อย่าบอกนะว่าเขารู้จัก”