บทที่ 316 การประลองทางความคิดของอาสะใภ้และคุณหนูหวาง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 316 การประลองทางความคิดของอาสะใภ้และคุณหนูหวาง

บนทางเดินมืดสลัว พี่ใหญ่ในชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังยืนอยู่นอกกรงแล้วหรี่ตามองเขา

ดวงตาของสวี่เอ้อร์หลางสว่างไสวขึ้นทันใด เขาลุกขึ้นจากเสื่อฟางแล้วลากโซ่คล้องขาเดินมาหาจนเกิดเสียงดัง ‘ครืดคราด’

“ท่านเข้ามาได้อย่างไร เจ้ากรมซุนให้ท่านเข้ามาได้ด้วยหรือ” สวี่ซินเหนียนทั้งคาดไม่ถึงและตกตะลึง

สวี่ชีอันเห็นดังนั้นก็ถอนสายตาพินิจกลับมาด้วยความโล่งอก ก่อนถอนหายใจเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะมีแค่อาการบาดเจ็บภายนอก”

จากนั้นเขาก็เหลือบตามองผู้คุมคุกแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ถอยไป”

ผู้คุมคุกจากไปอย่างรู้ความ

สวี่ซินเหนียนถ่มน้ำลายแล้วกล่าว “เจ้าพวกสุนัขบัดซบกลุ่มนี้ หวดแส้ได้เจ็บนัก”

เอ้อร์หลางกำลังฟ้องข้าอยู่หรือ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่จะหาวิธีช่วยเจ้าออกไป”

เพิ่งจะพูดจบ สวี่ซินเหนียนก็โบกมือขัดจังหวะเขาแล้วเอ่ยย้ำเตือน “พี่ใหญ่ บางทีท่านอาจจะยังไม่เข้าใจดี เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวกับการฉ้อโกงในการสอบขุนนางหรอก แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างราชวิทยาลัยหลวงกับสำนักอวิ๋นลู่”

ไม่ ข้ารู้ดีแจ่มแจ้งเชียวล่ะ…สวี่ชีอันกล่าวในใจ

แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันได้พูด เขาเอ่ยอธิบายน้ำไหลไฟดับ น้ำเสียงที่พูดเจือความกรุ่นโกรธอย่างมาก ดูแล้วก็คงจะบาดเจ็บแค่ภายนอกจริงๆ

“ความจริงข้าสังหรณ์มานานแล้ว ด้วยฐานะของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ระดับฮุ่ยหยวน จะผ่านไปอย่างง่ายดายไร้อุปสรรคได้อย่างไร แต่ข้าไม่กลัวหรอก สำนักศึกษาต้องการกลับคืนสู่ท้องพระโรงและขยายอำนาจ ดังนั้นจึงต้องมีผู้นำทัพที่คอยปูทางให้กับชนรุ่นหลัง” สวี่ซินเหนียนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

“และข้า ก็จะเป็นคนที่เปิดเส้นทางผู้นั้นเอง”

เอ้อร์หลางเอ๋ย ผู้คนไม่ได้ชื่นชมคนที่เปิดทางให้คนแรกหรอกนะ ผู้ที่พวกเขาชื่นชมจริงๆ คือคนขยายเส้นทางให้ต่างหาก…สวี่ชีตอบรับด้วยเสียง ‘อืม’

“เจ้าว่าต่อสิ”

“อันที่จริงข้าคิดแผนการแก้ไขปัญหาได้ตอนอยู่ห้องขังแล้วล่ะ อา ถึงอย่างไรเรื่องกลอุบายในท้องพระโรงก็ยังมีข้าที่ฉลาดที่สุดในบ้านสินะ”

สวี่ซินเหนียนเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งแล้วเอ่ยต่อ “ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักศึกษาไม่อาจเข้าไปในท้องพระโรง แต่เว่ยเยวียนทำได้ ท่านไปขอร้องเว่ยเยวียนหน่อย ข้าไม่ได้จะขอให้เขาช่วยให้ข้าพ้นโทษในทันทีหรอก แบบนั้นมันยากเกินไป และคงจะหนักหนาสาหัสถึงกระดูกแน่ๆ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดศึกกับขุนนางทุกคน

ดังนั้นคำขอของข้าคือให้ถอนตำแหน่ง แต่รักษาสิทธิ์เข้าสอบขุนนางเอาไว้ หรือไม่ก็ให้ข้าสอบตกการสอบหน้าพระพักตร์ แล้วอีกสามปีให้หลังข้าจะเข้าการสอบระดับเมืองหลวงอีกครั้ง เป้าหมายหลักๆ ของพวกขุนนางบุ๋นที่มาจากราชวิทยาลัยหลวงคือกดสำนักอวิ๋นลู่เอาไว้ ไม่ใช่ข้า”

หลังจากพูดจบก็เห็นพี่ใหญ่นิ่งงันไป สวี่เอ้อร์หลางจึงเอ่ยทอดถอนใจ “จริงสินะ พูดเรื่องพวกนี้กับพี่ใหญ่ก็ออกจะเข้าใจยากไปหน่อย ท่านทำตามที่ข้าบอกก็พอ แม้ว่าข้าจะติดคุก แต่ก็สามารถวางกลยุทธ์ได้เหมือนเดิม”

เอ้อร์หลางเอ๋ย เจ้าคิดว่าตัวเองอยู่ที่ชั้นสิบแปด แต่ความจริงเจ้าน่ะอยู่บนพื้นโลกต่างหาก…สวี่ชีอันกระแอมไอแล้วกล่าว “เรื่องนี้พี่ใหญ่มีความเห็นต่างอยู่นิดหน่อย”

สวี่ซินเหนียนตะลึงแล้วพยักหน้าอย่าง ‘เจียมเนื้อเจียมตัว’ “ท่านว่ามาเถอะ”

ดังนั้น สวี่ชีอันจึงบอกเรื่อง ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว’ ที่เว่ยเยวียนวิเคราะห์ให้สวี่เอ้อร์หลางฟัง แล้วจากนั้นในห้องขังก็ตกอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้เบื้องหลังคดีนี้กลับมีความซับซ้อนเช่นนี้อยู่ นี่ข้า ข้าจบสิ้นแล้วหรือ” สวี่เอ้อร์หลางถูกโจมตีอย่างหนัก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร้ความหวังที่จะหลุดพ้น หรือว่าเพราะการวิเคราะห์ของตนยังตื้นเขินเกินไปกันแน่ เพราะเรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับผู้ปกครองในความคิดของเขาเลย

“ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่จะต้องช่วยเจ้าออกมาให้ได้” สวี่ชีอันเอ่ยปลอบเช่นนี้

ที่นี่คือคุกใต้ดินของกรมอาญา ไม่เหมาะจะพูดอะไรมากมาย

สวี่ซินเหนียนหัวเราะอย่างสังเวชใจ

หลังจากกล่าวลาสวี่ซินเหนียน สวี่ชีอันก็ออกจากที่ทำการของสวี่ซินเหนียน เขากลับไปบ้านเพื่อปลอบโยนน้องสาวและอาสะใภ้ เขาวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกทั้งวันเช่นนี้ หญิงสาวสองคนในบ้านคงจะกังวลมาจนถึงตอนนี้แล้ว

เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของอาสะใภ้ดังมาจากในโถงแต่ไกล “ต้าหลางทำไมยังไม่กลับมาอีก เอ้อร์หลางถูกส่งไปกรมอาญาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องเจอกับความยากลำบากมากมายขนาดไหน ดีร้ายก็ควรจะเขียนจดหมายให้หน่อยสิ…”

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยปลอบโยน “ท่านแม่ พี่ใหญ่จะต้องกำลังวิ่งวุ่นหาคนช่วยอยู่แน่เจ้าค่ะ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย พอถึงยามเย็นตอนเลิกงาน เดี๋ยวพี่ใหญ่จะต้องกลับมารายงานท่านแน่”

“แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนกัน ตอนนี้แม่ทุกข์ใจไปหมดแล้วนะ” อาสะใภ้ร้องไห้เสียงดัง

“เจ้าไม่ได้ยินที่พ่อเจ้าพูดหรือ หากต้าหลางไปขอคนที่กรมอาญา นอกจากจะไม่ได้พบกับเอ้อร์หลางแล้ว ยังถูกไล่กลับมาให้เสียหน้าอีกด้วย”

จากนั้นสวี่ผิงจื้อก็ถอนหายใจ

แม้ว่าอาสะใภ้อายุปูนนี้แล้วจะยังทำตัวน่ารักใส่สามีเพราะขี้ระแวง แต่เมื่อถึงเวลาเช่นนี้ อาสะใภ้ก็ยังร้องไห้ก่นด่าอารองที่ไร้ความสามารถจนช่วยลูกชายไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการตามใจอาสะใภ้มากเกินไปของอารองนั่นเอง…สวี่ชีอันพลันค้นพบรายละเอียดที่แต่ก่อนเขาไม่เคยสังเกต

“อะแฮ่ม!”

สวี่ชีอันกระแอมไอออกมาแล้วเข้าไปในโถงด้านใน เขาดึงดูดสายตาของทุกคน

สวี่หลิงเยวี่ยที่เมื่อครู่ยังสงบนิ่งกลับน้ำตาคลอเบ้า นางมองมาที่สวี่ชีอันโดยไม่พูดจา

เมื่อเห็นเช่นนั้น สวี่ชีอันจึงต้องปลอบใจนางก่อน เขาตบบ่าน้อยของนาง “อย่ากังวลเลย”

สวี่หลิงเยวี่ยเรียกเสียงอ่อน “พี่ใหญ่…”

จากนั้นเสียงแหลมสูงของอาสะใภ้ก็เข้ามาดังขึ้นมา ดวงตาของนางสว่างไสวแล้วดึงแขนเสื้อของสวี่ชีอันไว้ พร้อมมองเขาด้วยความคาดหวังและเป็นกังวล จากนั้นก็กล่าวพลางร้องไห้จ้า

“หนิงเยี่ยน เอ้อร์หลางเขา…เขาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารีบหาวิธีช่วยเขาเร็วๆ สิ ในบ้านมีแต่เจ้าที่ช่วยเขาได้แล้ว”

สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ “เจ้ากรมอาญาตั้งใจจะล้างแค้นอย่างแน่วแน่ เจ้าจะให้ต้าหลางทำเช่นไรได้เล่า ให้เขาไปขายหน้าอีกรอบหรือ”

แสงสว่างในดวงตาของอาสะใภ้หม่นลงทันใด น้ำตาไหลบ่าออกมาในดวงตาของนาง สวี่ชีอันตบมือเล็กของอาสะใภ้เบาๆ แล้วหันไปตบมือน้อยของน้องสาวอีกครั้งก่อนเอ่ยปลอบว่า “ข้าได้พบเอ้อร์หลางแล้ว เขาสบายดี ไม่ได้บาดเจ็บอะไร”

อาสะใภ้ไม่เชื่อ ดวงตาสุกสกาวจ้องหน้าหลานชายเขม็งแล้วย่นจมูก “ต้าหลาง เจ้าอย่าได้โกหกข้า”

สวี่หลิงเยวี่ยมองพี่ใหญ่ด้วยความคาดหวังและเป็นกังวล นั่นคือความหวังของน้องสาวคนหนึ่งที่มีต่อพี่ใหญ่ที่เคารพ

สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ย “ข้าได้ขอให้เว่ยกงและองค์หญิงช่วยกดดันเจ้ากรมซุนแล้ว เขาไม่กล้าลงโทษเอ้อร์หลางหรอก วางใจเถิดขอรับ”

‘หากเว่ยกงและองค์หญิงลงมือ เช่นนั้นเอ้อร์หลางคงไม่ถูกทรมานอย่างหนักในคุกแล้ว…ต้าหลางเป็นคนสนิทของเว่ยกง เรื่องนี้ไม่น่าแปลก แต่การที่สามารถทำให้องค์หญิงยื่นมาเข้ามาในคดีนี้ได้นี่…คิดไม่ถึงเลยว่าต้าหลางจะมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับองค์หญิงใหญ่ขนาดนี้’ สวี่ผิงจื้อถอนหายใจอยู่ข้างใน ความสัมพันธ์ส่วนตัวของหลานชายใหญ่จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว

‘มีหนิงเยี่ยนอยู่ด้วยช่างทำให้สบายใจดีจริงๆ’…หินก้อนใหญ่ในใจของอาสะใภ้ถูกวางลง

สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตาใสเป็นประกาย ‘พี่ใหญ่ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลย’

ความจริงข้าแค่ลักพาตัวลูกชายของเจ้ากรมซุนเท่านั้น แต่เขาไม่มีหลักฐาน เอาผิดข้าไม่ได้หรอก ข้าเพียงแต่ทำให้เขาใช้การทรมานไม่ได้เท่านั้น สำหรับเจ้ากรมซุนแล้ว นี่เป็นเรื่องเหล็กๆ ที่เขาทำได้แน่นอน เมื่อเทียบกันแล้ว เขาใส่ใจในชีวิตของลูกชายมากกว่าจะยอมให้ปลาตายแหขาดเสียอีก

แม้ว่าจะเป็นการทำผิดกฎ แต่ก็ยังรู้ความเหมาะควรและสามารถทำให้อิทธิพลของเรื่องลดลงได้ด้วย

อีกอย่าง เจ้ากรมซุนก็ไม่มีหลักฐานจริงๆ ข้าไม่ได้จับคนเองเสียหน่อย แถมยังไม่กลัววิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ด้วย

ในคดีท่านหญิงผิงหยาง ก็เป็นเพราะอวี้อ๋องไม่มีหลักฐานนี่ล่ะ พอลูกสาวคนหนึ่งหายตัวไปไร้ร่องรอย แม้แต่ศัตรูคือใครก็ยังไม่รู้

แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่อง สิ่งที่พรรคเหลียงต้องแลกก็คือการตัดหัวทั้งตระกูล

ตราบใดที่ผลลัพธ์ออกมาดี แม้จะเป็นกฎหมายที่เขียนไว้ในบัญญัติกฎของต้าฟ่ง ก็ยังมีคนกล้าเสี่ยง แล้วนับประสาอะไรกับกฎเกณฑ์ไร้ลายลักษณ์อักษรกันเล่า

สวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้แล้วก็มองไปที่ลี่น่าและสวี่หลิงอินซึ่งนั่งกินขนมอยู่ข้างๆ พลางกล่าวว่า “วันนี้พวกเจ้าอย่าออกจากบ้านนะ ลี่น่า ในยามกลางวันคงต้องฝากให้เจ้าดูแลความปลอดภัยของสตรีในบ้านแล้ว”

“ได้เลย!” ลี่น่ารับคำ

แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่นางก็ตีคนเป็น…สวี่ชีอันวางใจเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนเรื่องการถูกโดดเดี่ยวในแวดวงขุนนางนั้น แม้ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้ากรมซุนจะแพร่งพรายเรื่องนี้หรือไม่ หรือต่อให้ถูกแพร่งพรายออกไปจริงเขาก็ไม่กลัว เพราะเขาเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน ศัตรูของเขามีเยอะอยู่แล้ว

แล้วยังจะกลัวการถูกโดดเดี่ยวอีกหรือ

สวี่ชีอันไม่ใช่ปัญญาชนที่ต้องแสวงหาหนทางการเป็นขุนนางเสียหน่อย เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สองสิ่งนี้แตกต่างกันมาก อย่างแรกต้องการชื่อเสียงและต้องการการยอมรับจากวงราชการ

ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นต่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเลย หากเว่ยเยวียนอยู่ เขาก็อยู่ หากเว่ยเยวียนล้ม เขาก็ล้ม

สวี่ผิงจื้ออ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใด ในใจรู้สึกผิดหวังไปพร้อมๆ กับความโล่งใจ เขาโล่งใจที่หลานชายโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ปล่อยให้เขาตบหัวเล่นคนนั้นอีกต่อไป

และผิดหวังเพราะดูเหมือนเขาจะตบหัวเจ้าเด็กนี่ไม่ได้อีกแล้ว

อาสะใภ้ร้องไห้ดีใจ นางดึงมือของสวี่ชีอันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ต้าหลาง บ้านนี้ก็มีแต่เจ้านี่ล่ะที่อนาคตดี ไม่เสียแรงที่อาสะใภ้คนนี้เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบาก”

ไม่สิ อาสะใภ้พูดเช่นนี้ไม่กลัวผิดต่อมโนธรรมหรือ สวี่ชีอันสงสัย

อาสะใภ้ที่จิตใจเป็นสุขแล้วก็เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดใส่สวี่หลิงอิน นิ้วเรียวสล้างดุจหยกจิ้มไปที่หน้าผากของเด็กสาวแล้วเอ่ยอย่างโมโห “รู้จักแต่กินๆๆ คลอดเจ้ามามีประโยชน์อะไร คลอดหนูสักตัวยังดีเสียกว่า”

“ท่านแม่ ก็ข้าหิวนี่” สวี่หลิงอินเงยหน้าแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ

“ท้องเจ้าเคยอิ่มด้วยหรือ” อาสะใภ้เกลียดที่หลอมเหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า “พี่ชายแท้ๆ ของเจ้ามีเคราะห์ใหญ่มาจ่ออยู่บนหัวแล้ว เจ้ายังมีอารมณ์กินอยู่อีกหรือ เจ้าตัวไร้หัวใจ”

สวี่หลิงอินเหลือบมองสวี่ชีอัน “พี่ใหญ่ยังอยู่ดีมิใช่หรือ ท่านแม่แค่ไม่อยากให้ข้ากิน เพราะตัวเองจะแอบเก็บเอาไว้กินคนเดียวล่ะสิ”

อาสะใภ้โกรธจนตัวสั่น

สวี่ชีอัน สวี่หลิงเยวี่ย และสวี่ผิงจื้อรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย

ลี่น่าแอบสะกิดเอวของสหายนักกินแล้วเอ่ยกระซิบ “เจ้ายังมีพี่ชายอีกคนนะ”

สวี่หลิงอินคิดอยู่พักหนึ่งก็พบว่าตนมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งจริงๆ ทันใดนั้นนางก็ร้องไห้แงออกมา ขนมในปากร่วงตกพื้น

นางหยิบขนมที่ตกใส่เสื้อผ้าและขาขึ้นมาใส่กลับเข้าปากพลางร้องไห้ไปด้วย “พี่รองจะตายแล้วหรือ ข้าไม่อยากให้พี่รองตาย แงงง…”

ตอนนี้เอง เหล่าจางคนเฝ้าประตูก็เข้ามาเอ่ยว่า “ด้านนอกมีแม่นางคนหนึ่งบอกว่าจะขอพบคุณหนูหลิงเยวี่ยขอรับ”

ทั้งครอบครัวพลันมองไปที่สวี่หลิงเยวี่ยทันที

คนหลังขมวดคิ้วมุ่น “แม่นางบ้านไหน มาหาข้าด้วยเรื่องใดกัน”

คนเฝ้าประตูส่ายหน้า

“ไปเชิญนางเข้ามา” สวี่หลิงเยวี่ยกล่าว

ครู่ต่อมา เหล่าจางคนเฝ้าประตูก็พาหญิงงามในชุดกระโปรงสีชมพูเข้ามา นางทำผมทรงสาวใช้ แต่เสื้อผ้าที่สวมนั้นเนื้อดีกว่าคุณหนูตระกูลร่ำรวยทั่วไปเสียอีก

“เจ้า?” สวี่หลิงเยวี่ยจำนางได้ สีหน้าจึงแปลกใจ

“บ่าวมีนามว่าหลานเอ๋อร์ วันนี้คุณหนูของบ่าวต้องการมาเยี่ยมคุณหนูหลิงเยวี่ย มิทราบว่าวันนี้คุณหนูหลิงเยวี่ยมีเวลาว่างหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คนงามที่เรียกตัวเองว่าหลานเอ๋อร์คำนับ

“นี่คือสาวใช้ข้างกายคุณหนูหวางซือมู่ บุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวางเจ้าค่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยอธิบาย

นางเชื่อว่าด้วยความฉลาดของพี่ใหญ่แล้ว เขาจะต้องฟังความนัยออก

สาวใช้ประจำตัวบุตรสาวของหวางเจินเหวิน? นางส่งคนมาที่จวนทำไมกัน เพื่อเยาะเย้ยหรือ? เป็นเพราะเรื่องเอ้อร์หลาง สวี่ชีอันจึงคิดว่าหวางซือมู่มาซ้ำเติมความทุกข์ของคนอื่น ประเภทว่าได้ทีขี่แพะไล่

เขาจึงพลันหงุดหงิดทันที

ผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับหยิ่งผยองขนาดนี้…ข้าเป็นมนุษย์ยุคใหม่ที่ยึดติดกับแนวคิดเรื่องความเสมอภาคระหว่างชายหญิง จะไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่…สวี่ชีอันแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ

“วันนี้มีธุระ ไว้วันหน้าข้าจะไปเยี่ยมเอง” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงเบา สายตาพลันคมกริบขึ้น “โปรดกลับไปบอกพี่หวางด้วยว่าข้าชื่นชอบนาง คราวหน้าจะต้องได้สนทนากันแน่”

แต่ในชั่วขณะต่อมา นางก็เก็บแววตาคมกริบนั่นไป แล้วกลายมาเป็นน้องสาวที่อ่อนแอไร้อำนาจพลางพูดทั้งน้ำตา “พี่ใหญ่ ท่านยังมีเรื่องต้องทำ ท่านก็ไปทำก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องของพี่รองต้องฝากท่านแล้ว”

สวี่ชีอันกำลังจะพยักหน้าให้ก็ได้ยินแม่นางหลานเอ๋อร์เผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา ก่อนเอ่ยถามว่า “สวี่ฮุ่ยหยวนเป็นอันใดหรือเจ้าคะ”

สองพี่น้องไม่สนใจนาง ทั้งคู่มีสีหน้าเย็นชา แต่จู่ๆ อาสะใภ้ก็พลันเอ่ยปากว่า

“คุณหนูบ้านเจ้าคือบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวางหรือ ดียิ่งนัก เอ้อร์หลางของข้าไม่รู้ถูกสุนัขที่ไหนใส่ร้ายป้ายสี ตอนนี้ถูกคุมขังไว้ที่คุกของกรมอาญาเสียแล้ว แม่นาง เจ้าช่วยไปขอร้องคุณหนูบ้านเจ้าแทนข้าให้หน่อยได้หรือไม่ ขอให้นางช่วยเอ้อร์หลางด้วย”

สวี่ชีอันและสวี่หลิงเยวี่ยมองไปที่อาสะใภ้ด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

แม่ (อาสะใภ้) คนนี้ไม่มีสมองเลยหรือ

การขอความช่วยเหลือมั่วๆ เช่นนี้ไม่อาจทำให้ศัตรูเห็นได้เลยนะ ใกล้จะตายยังไม่พอ แต่ยังยื่นดาบให้ผู้อื่นเพิ่มอีก?

สวี่ชีอันหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยเสียงเรียบ “แม่นางหลานเอ๋อร์ ไม่ส่งนะ”

แม่นางหลานเอ๋อร์มีสีหน้าสงสัย จากนั้นก็ขอตัวลาไปพร้อมใบหน้ากังวลใจ

หวางซือมู่นั่งอยู่ในเบาะนุ่มบนรถม้ากว้าง บางครั้งก็จะเลิกผ้าม่านหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก บางคราวก็จะมองดูกาน้ำชาที่อยู่บนเตาถ่านสีส้มแดง

แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลภายในใจของคุณหนูหวาง

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม สาวใช้คู่กายหลานเอ๋อร์ก็ยังไม่กลับมา คนรอทุกข์ใจกว่าใคร

หากตระกูลสวี่ปฏิเสธการมาเยี่ยม เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความคิดที่สกุลสวี่มีต่อนางได้มากกว่าครึ่งแล้ว และแสดงให้เห็นความคิดของสวี่ซินเหนียนด้วย

‘แล้วข้าต้องเดินหน้าต่อหรือไม่? หรือควรถอย?’

อย่างหลังทำให้นางไม่พร้อมใจอย่างยิ่ง และถ้าเป็นอย่างแรก…ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน เป็นบุตรีของสมุหราชเลขาธิการ ยังไงก็ต้องรักษาหน้าและชื่อเสียงเอาไว้ คงไม่อาจไปต่อได้

ขณะที่กำลังคิด นางก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วดีใจทันทีเมื่อเห็นรถม้าเล็กๆ ของหลานเอ๋อร์

รถม้าค่อยๆ หยุดลง สาวใช้หลานเอ๋อร์กระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่วแล้ววิ่งเหยาะๆ มาหา จากนั้นก็ปีนขึ้นมาบนรถม้าที่สูงใหญ่คันนี้ ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไป

“เจ้านี่นะ เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้ นี่มันกี่ชั่วยามเข้าไปแล้ว” หวางซือมู่ก่นด่าด้วยใจร้อนรน

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถาม “คุณหนูสกุลสวี่ว่าอย่างไรบ้าง”

หลานเอ๋อร์ส่ายหน้า

ใบหน้าของหวางซือมู่พลันห่อเหี่ยวลงทันที ความสว่างสดใสในดวงตาก็พลันหม่นแสงลง

ตอนนี้เอง นางก็เห็นหลานเอ๋อร์กลืนน้ำลาย ขณะที่หอบหายใจก็เอ่ยพูดไปด้วย “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ สวี่ฮุ่ยหยวนถูกกรมอาญาจับตัวไปเพราะเหตุฉ้อโกงในการสอบขุนนางเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ”

หวางซือมู่ที่ได้ยินข่าวนั้นก็พลันเกิดความรู้สึกผสมผสานปนเปกัน อันดับแรกเป็นความตกใจและกังวล เป็นห่วงเรื่องอนาคตและความปลอดภัยของสวี่ซินเหนียน

ต่อมาก็เป็นความสุขเล็กน้อย

‘ที่แท้การที่เขาไม่ไปตามนัดก็ไม่ใช่เพราะไร้ใจต่อข้า แต่เพราะถูกกรมอาญาจับตัวไป จึงไม่อาจมาหาได้’

‘ข้าผิดเองที่ตำหนิเขา’

ตอนนี้เอง หลานเอ๋อร์ก็บอกถึงสิ่งที่นางเห็นในจวนสกุลสวี่ให้กับคุณหนูหวางฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ท่าทีเย็นชาจากสวี่ชีอันและความห่างเหินของสวี่หลิงเยวี่ย

‘เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาอยู่พรรคพวกเดียวกับบิดาของข้า พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพราะพ่อของข้าชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ หากพ่อของข้าผลักดันอยู่ในมุมมืดจริงๆ เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าคง…’ หวางซือมู่รู้สึกขมขื่นในใจ

หลานเอ๋อร์เอ่ยอย่างโกรธเคือง “ฮึ มีท่าทีย่ำแย่เช่นนี้แต่ยังกล้าขอให้คุณหนูช่วยสวี่ฮุ่ยหยวนอีก คนสกุลสวี่นี่ช่างไม่รู้จักยางอายจริงๆ”

หวางซือมู่ขมวดคิ้ว “พูดให้ละเอียดซิ” เมื่อผ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้นแล้วกล่าว “เป็นคำขอจากสวี่ชีอันคนนั้นหรือ”

‘ไม่ถูกสิ ข้ากับสวี่ฮุ่ยหยวนเพิ่งเคยพบหน้ากับแค่ครั้งเดียวและเคยพูดจากันไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นคนฉลาด แล้วจะมาขอความช่วยเหลือจากลูกสาวสมุหราชเลขาธิการหวางอย่างข้าได้อย่างไร’

‘เข้าไม่มีทางรู้ใจจริงของข้าแน่ เพราะแม้แต่บิดาข้าก็ยังไม่รู้เลย’

คุณหนูหวางผู้ชาญฉลาดรีบนึกย้อนถึงเบาะแสต่างๆ ในทันที

หลานเอ๋อร์ส่ายหน้า “เป็นนายหญิงของตระกูลสวี่เจ้าค่ะ ก็คือฮูหยินที่สวยงามมากๆ ที่พวกเราเคยพบในวันนั้นอย่างไรล่ะเจ้าคะ”

คำขอจากนายหญิงตระกูลสวี่…

สีหน้าของหวางซือมู่เคร่งเครียดอีกครั้ง ความคิดในสมองแล่นวาบ กำลังทำการไตร่ตรองและวิเคราะห์…

‘นางเป็นมารดาของสวี่ฮุ่ยหยวน เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ก็น่าจะเกิดความรู้สึกแย่ๆ กับข้าและตระกูลหวางสิ แล้วเหตุใดถึงมาขอความช่วยเหลือจากข้ากันเล่า’

‘สตรีที่สามารถสั่งสอนลูกสาวให้ฉลาดมีไหวพริบ สั่งสอนหลานชายให้เก่งกาจไม่เป็นรองใคร และสอนบุตรชายให้เป็นอัจฉริยะล้ำเลิศเช่นนี้ได้ ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่’

‘ข้าต้องคิดให้ดีๆ คิดให้ดีๆ ไม่อาจสะเพร่าได้แม้แต่น้อย…’

“หลานเอ๋อร์ นายหญิงผู้นั้นได้…ได้ด่าข้าหรือท่านพ่อของข้าหรือไม่ ท่าทีของนางเป็นอย่างไร” หวางซือมู่ถาม

“ทั้งบ้านนั้นมีแต่ท่าทีของนางที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ ตอนที่ขอความช่วยเหลือก็จริงใจมากเลยนะเจ้าคะ” หลานเอ๋อร์กล่าว

‘นี่…’ ดวงตาของหวางซือมู่เบิกกว้างขึ้นในทันใด ในใจมีการคาดเดาที่เข้าเค้าอยู่แล้ว

‘นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเชิญสวี่ฮุ่ยหยวนมาเข้าร่วมประชุมวรรณกรรมในนามของบิดา เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่ข้าก็ยังเชิญสวี่ฮุ่ยหยวนไปชมทะเลสาบในเวลาสั้นๆ เหมือนกัน…เรื่องไปชมทะเลสาบนี้ หากเป็นผู้ชายจิตใจหยาบกระด้างอาจจะไม่คิดอะไรมาก แต่ในฐานะที่เป็นสตรี ทั้งยังเป็นสตรีที่ฉลาดเกินใครเช่นนี้ นางอาจจะสังเกตได้ก็เป็นได้’

‘แม้อาจจะไม่แน่ใจในความคิดของข้า อย่างก็น่าจะพอเดาได้บ้าง…ดังนั้น นี่คือโอกาสลองใจอย่างนั้นหรือ’

‘ท่าทีที่นางมีต่อข้าไม่ใช่การต่อต้าน และไม่ได้มองข้าเป็นศัตรูชวนเกลียดขี้หน้าเพราะเป็นบุตรีของสกุลหวางด้วย’

‘นางกำลังแสดงท่าทีของตนออกมาให้ข้าเห็น จากนั้น นายหญิงบ้านสกุลสวี่ก็ขอความช่วยเหลือกับข้า…ผ่านตัวหลานเอ๋อร์ เป็นการบอกใบ้กับข้า’

‘อย่างที่คิด นายหญิงของสกุลสวี่เป็นคนฉลาดมากจริงๆ…นางเป็นคนเดียวในทั้งครอบครัวที่มองใจของข้าออกทะลุปรุโปร่ง…’ หวางซือมู่กำหมัดแน่น ร่างกายบอบบางสั่นสะท้าน

ขณะเดียวกันก็มีความตื่นเต้นราวกับเจอคู่แข่งหมากรุกด้วย

“หลานเอ๋อร์ ไปที่เขตพระราชฐาน ข้าต้องไปที่ที่ทำการเพื่อหาท่านพ่อ” หวางซือมู่กล่าวเน้นทีละคำ

………………………………………………………….